ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 22 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง
ระยะนี้ไป๋หมัวหมัวรู้สึกกังวลใจมากอยู่ ตั้งแต่ซูหว่านออกจากหอแรงงาน ถึงแม้ว่าขันทีวังจะให้เงินรางวัลตัวเองก้อนใหญ่ก็ตาม แต่ไป๋หมัวหมัวก็ยังไม่เห็นพระราชโองการที่จะย้ายตนเองออกจากหอแรงงานเสียที
หรือว่าทั้งชีวิตนี้ของตัวเองต้องแก่ตายอยู่ที่หอลำบากข้นแค้นแห่งนี้กัน
ฤดูหนาวของเมืองหลวงนั้นเหน็บหนาวนัก แต่ใจของไป๋หมัวหมัวเหน็บหนาวกว่าลมตะวันตกเฉียงเสียอีก ในช่วงที่ไป๋หมัวหมัวหมดกำลังใจ ขันทีวังก็ได้ถือพระราชโองการพร้อมกับภารกิจใหม่เข้ามา แม้ว่าจะสายไปหน่อยก็ตาม
ในราชโองการข้อหนึ่ง คือให้ไป๋หมัวหมัวเลื่อนจากผู้คุมเล็กๆ ในหอแรงงานไปเป็นหัวหน้าฝ่ายซ้ายในศาลจงเหรินทันที
ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ที่คุมขังนักโทษทั้งสองที่ แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างมากไม่ใช่หรืออย่างไร
ศาลจงเหรินอยู่ในความดูแลกิจของราชวงศ์โดยตรง นอกจากข้างหลวงภายในวังหลวงที่ต้องโทษร้ายแรงแล้ว ผู้ต้องขังส่วนใหญ่มักจะเป็นเหล่าองค์ชายทั้งหลายที่กระทำความผิดและไม่ฟังคำสอน องค์ชายเหล่านี้ปกติแล้วจะมีนิสัยสูงส่ง มาตราฐานสูงมากในจวนจงเหริน แต่ดันมีแค่จวนจงเหรินที่ถูกคุมโดยฝ่าบาทโดยตรง หัวหน้างานทุกคนในศาลจงเหรินต้องได้รับคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาทกันทั้งนั้น สำหรับเหล่าองค์ชายไม่มีใครแกร่งกลัวสิ่งใดพวกนี้ ฉะนั้นตั้งแต่ได้เข้ามาที่จวนจงเหริน ทุกคนต้องเชื่อฟัง เจ้าอยากอยู่ดีกินดี มีอำนาจพิเศษ ได้สิ เอาเงินมาทุกอย่างสะดวกหมด!
พูดได้ว่า ศาลจงเหรินเป็นที่ที่แสวงหากำไรได้หลายทางมาก ขุนนางต่างๆ ในศาลจงเหรินต่างก็เป็นขุนนางขั้นห้า ไม่เพียงแค่เสพสุขจากเบี้ยเลี้ยงขิงศาล คนในศาลจงเหรินนับว่าแยกตัวออกจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง สามารถขออนุญาติซื้อบ้านนอกวังของตนเองได้
ตอนที่รับพระราชกฤษฎีกา มือทั้งสองของไป๋หมัวหมัวล้วนสั่นเครือไปหมด
“ขอบพระคุณขันทีวังเจ้าค่ะ!”
ความสุขเปรมปรีดิ์ผ่านไป ไป๋หมัวหมัวควักพันธบัตรที่ไม่เล็กเลยออกมาจากอก ส่งไปตรงหน้าของวังอี้ แต่วังอี้กลับส่ายหัวไปมา ยิ้มให้ไป๋หมัวหมัวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “ไป๋หมัวหมัว ล่าสุดเจ้าไม่ใช่มีแค่โชคทางการเงินเท่านั้นนะ เมื่อถึงที่ศาลจงเหรินเจ้ต้องปฏิบัติตัวดีๆ ต่อไปนะ ฝ่าบาทมองอยู่นะ!”
ถึงแม้จะฟังความหมายที่วังอี้พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ไป๋หมัวหมัวก็ขอบพระคุณอย่างยิ่งและก้มหัวตอบตกลงไป ส่งวังอี้ออกจากหอแรงงานด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความสุข
ไป๋หมัวหมัวออกจากหอแรงงานไปแล้ว ตำแหน่งเดิมของนางก็มีเย่ว์เหมยคนโปรดของนางมารับช่วงแทนไว้แล้ว
เมื่อมาถึงที่จวนจงเหริน ไป๋หมัวหมัวรีบเปลี่ยนเป็นชุดพนักงานศาลฝ่ายซ้ายของศาลจงเหริน เป็นชุดผ้าไหมสีเข้มปักด้วยสัญลักษณ์ของราชวงศ์ต้าชาง
เมื่อไป๋หมัวหมัวได้สวมใส่ชุดขุนนางใหม่ชุดนี้ ในใจช่างชื้นบานเหลือเกิน เดินหน้ารับตำแหน่งในวันแรก นางรีบพาผู้คุมหญิงทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การปกครองของนางออกตรวจห้องขังฝั่งซ้ายที่นางรับผิดชอบ หลังจากนั้น นางก็ได้อึ้งกับภาพตรงหน้า
“ไป๋หมัวหมัว บังเอิญมากทีเดียวเชียว ได้มาเจอกับท่านที่นี้ด้วย”
ในห้องขังที่สะอาดเรียบร้อย ซูหว่านนั่งคัดจันอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ได้ยินเสียงใหญ่ๆ ของไป๋หมัวหมัวมาตั่งแต่ไกล รอให้นางพาคนใกล้เข้ามา ซูหว่านอดใจไม่ไหวที่ทักทายเขาไปว่า “ใช่แล้ว ดูความจำของข้าสิ ตอนนี้ท่านเป็นผู้คุมไป๋แล้ว!”
ตอนนี้ในใจของไป๋หมัวหมัวสับสนมึนงงมาก นั่นเองที่ทำให้นงนึกถึงคำพูดที่แสนจะมีความหมายลึกๆ ของขันทีวังตอนที่ได้รับราชโองการขึ้นมาทันที
ความหมายของคำว่าทำอะไรที่เราถนัดและคุ้นชินดีกว่าทำอะไรที่เราไม่รู้!
สมกับที่เป็นฝ่าบาทถึงปรับเปลี่ยนตนให้มาอยู่ที่ศาลจงเหริน ความในก็คือให้มารับใช้สะใภ้ผู้นี้ต่อไปนี้เอง!
ก็ดี ก็ดี อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าครั้งที่แล้วตนเองรับใช้ได้ดีมากไม่ใช่หรือ ไป๋หมัวหมัวแค่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็รีบให้ลูกน้องของตนเปิดประตูห้องขังของซูหว่านออก แล้วจึงโบกมือไล่คนอื่นๆ ทันที ก่อนจะเดินยิ้มแย้มมาเบื้องหน้าของซูหว่าน “แม่นางซู เรียกข้าว่าไป๋เพ่ยก็พอแล้ว นี้เป็นนามของบ่าวเฒ่าเอง ผู้คงผู้คุมอะไรกัน บ่าวมิกล้าประมาทต่อหน้าของแม่นางหรอกเจ้าค่ะ”
ไป๋เพ่ยไม่คิดอีกเลยว่าเหตุใดซูหว่านถึงชอบอยู่ที่ที่แปลกๆ เช่นนี้ นางรู้แค่ว่าหากรับใช้แม่น่างผู้นี้ให้ดี ก็สามารถเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นๆ เรื่อยๆ แน่นอน!
“อืม”
ฟังที่ไป๋เพ่ยพูด ซูหว่านก็ได้พยักหน้าตอบตกลงเบา ๆ “มีท่านอยู่ ข้าก็วางใจ ต่อไปนี้ถ้ามีคนมาเยี่ยมข้าอีกละก็ ผู้ชายห้ามเข้า ผู้หญิงปล่อยเข้ามาให้หมด”
ผู้ชายห้ามเข้า?
สีหน้าไป๋เพ่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “งั้นฝ่า…ข้าพูดถึงอ๋องท่านไหนหนอ?”
“เขา?”
ซูหว่านหัวเราะ “อันนี้ท่านไม่ต้องสนใจ”
ไม่ว่าจะเป็นหอแรงงานหรือศาลจงเหริน ไม่มีที่แห่งใหนที่ห้ามซูรุ่ยได้อยู่แล้ว
“ได้เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋เพ่ยตอบตกลง นางก้มตัวลงมองดูรอบ ๆ ห้องขังที่ซูหว่านอยู่ เป็นความจริงที่ของใช้ในชีวิตประวันครบคัน
หรือว่าฝ่าบาทยังคงเสด็จมาที่นี้ทุกคืน?
แค่คิดถึงเรื่องครั้งที่แล้วที่ตัวเองบังเอิญเจอกับฝ่าบาท ไป๋เพ่ยหนาวสั่นไปทั้งตัว นางเตือนตัวเองในใจเงียบๆ ว่าคราวหลังห้ามผ่านมาที่แม่นางซูตอนดึกๆ
วันเวลาที่อยู่ศาลจงเหรินที่จริงมันสะดวกสบายกว่าที่หอแรงงานมากโข ถึงแม้รอบนี้จะถูกขังไว้ในที่แคบๆ แต่ซูหว่านกลับสามารถนอนบนเตียงใหญ่ ๆ เพื่อพักผ่อนอย่างผ่อนคลาย
ส่วนตงฟางหลี่ที่โดนคุมขังเหมือนกันในห้องขังฝั่งขวาของศาลจงเหริน โชคชะตากลับต่างกันโดนสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าวันนั้นจะแอบจูบไม่สำเร็จ แต่เขาก็เคยใช้มือของเขาอบกอดซูหว่านจริงๆ เพราะฉะนั้นตั้งแต่คืนแรกที่เขาเข้าศาลจงเหรินมา มือของตงฟางหลี่ก็โดนซูรุ่ยหักทิ้งแบบสดๆ ณ เวลานั้นตงฟางหลี่ที่เจ็บเจียนตายยังคงตะโกนเรียกขอให้จงเจิ้งและจงลิ่งในราชวังเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง ตอนนั้นตงฟางหลี่ไม่รู้เลยว่า ก่อนที่ซูรุ่ยจะมาถึงที่ห้องขังนี้ เขาได้จัดการกับจงลิ่งและคนอื่น ๆ ในศาลจงเหรินเรียบร้อยหมดแล้ว
อยู่ต่อหน้าอำนาจที่เด็ดขาดกับความสามารถนั้น ทุกอย่างเป็นเหมือนลมที่ไร้ตัวตน
ตามมาด้วยหิมะรอบแรกในฤดูหนาว หิมะสีขาวปกคลุมทั่วเมืองหลวง ขาวโพลนไปทั้วทุกมุม
และแล้วเหยียนอวี่นั่วก็ใช้เงินซื้อคน เพื่อให้ตัวเองได้มีกาสได้เข้ามาเจอซูหว่านสักครั้ง ครั้งนี้ซูหว่านคงไม่ต้องแสดงอะไรมากมาย
เธอแค่สั่งล่วงหน้าให้ไป๋เพ่ยเปลี่ยนห้องขังของตัวเองให้เป็นห้องคุมขังธรรมดาก็เท่านั้นเอง
ภายในห้องขังที่ไม่ได้เห็นเดือนและตะวัน มีแต่เทียนที่พลิวไหวพัดไปมาในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ตอนที่เหยียนอวี่นั่วเจอซูหว่าน นางกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ในห้องขังด้วยความสงบ
“เสี่ยวหว่าน”
“พี่อวี่นั่ว ท่านมาแล้วหรือ?”
ได้เจอกับเหยียนอวี่นั่ว ซูหว่านยิ้มให้นางโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง แล้วมองเห็นรอยแผลที่แขนอันน่ากลัวเลือนรางที่อยู่ภายใต้เสื้อนักโทษสีขาวของนาง เหยียนอวี่นั่วหันหน้าหนีอย่างทำใจไม่ได้ “เสี่ยวหว่าน เรื่องนั้นข้ารู้หมดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าบริสุทธิ์ อวี่ชิงเขา……”
ซูหว่านส่ายหัวให้เหยียนอวี่นั่ว ราวกำลังบอกว่ากำแพงนี้มีหูอยู่ “พี่อวี่นั่ว ข้ารู้ว่าพี่จะพูดอะไร ผู้ใดเป็นคนทำ ผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้รับผลที่ตามมา เหยียนเหม่ยเหรินมีบุญคุณต่อข้า ข้าไม่อยากเป็นภาระของนาง”
พูดไป ซูหว่านก็เขียนลงกระดาษที่วางอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ แปดคำ ‘รู้จักบุญคุณ ทำดีได้ดี’
เห็นซูหว่านใจกว้างขนานนี้ เหยียนอวี่นั่วกัดริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น โดยสัญชาติญาณ ถึงแม้ว่าเหยียนอวี่นั่วจะถามตนเองว่าสามารถทำเพื่อพี่น้องได้ถึงขั้นนี้หรือไม่ แต่จนถึงวันนี้นางมองในมุมมองของคนภายนอก นางกลับเจ็บปวดใจแทนซูหว่านนัก
นางรู้ว่าที่ซูหว่านอยู่อย่างสุขสบายทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะว่าศาลจงเหรินยังไม่ได้สอบสวนคดีของนาง ถ้าได้เปิดการสอบสวนเมื่อไหร่ต้องมีบทลงโทษแน่ๆ ถึงครานั้นต้องเป็นฉากที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดอย่างแน่นอน
ในตอนที่เหยียนอวี่นั่วไปเยี่ยมซูหว่านที่ศาลจงเหริน เสิ่นเฉิงเป่ยอยู่ที่ค่ายทหารเวรยามดื่มสุราแก้ทุกข์เพียงลำพัง เรื่องของซูหว่าน สวีปิงเย่ว์บอกเขาหมดแล้ว แต่ถึงตอนนี้เสิ่นเฉิงเป่ยก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าซูหว่านมีอะไรเกี่ยวข้องกับรุ่ยอ๋อง
รุ่ยอ๋องเขาไปเป็นใครกัน? ถ้าเขาอยากได้นางข้าหลวงสักคน แค่เอ่ยปากขอฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องมอบคนที่เขาหมายปองไว้ให้เขาแน่นอน
ซูหว่านต้องโดนใส่ร้ายป้ายสีแน่ สำหรับจุดนี้เสิ่นเฉิงเป่ยเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ
เขาจะหาวิธีช่วยซูหว่าน! ใช่แล้ว ต้องช่วยนางให้ได้!
แววตาของเสิ่นเฉิงเป่ยดูมั่นใจขึ้น เขาจะไปจวนจงเหรินพรุ่งนี้เลย เขาจะไปเจอซูหว่านกับตาและให้นางเล่าทุกอย่างให้ตนฟัง