ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 24 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง
วังหลวง กองพระภูษา
เพราะว่าสวีปิงเย่ว์ขอลาหยุด จึงทำให้เหยียนอวี่นั่วไม่มีเวลาว่างแทบทั้งเช้า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กว่าจะถึงเวลาเที่ยงที่พักผ่อนเพียงได้ครู่เดียว เฉินจี๋ที่ไม่รู้ว่านั้นโผล่มาจากที่ไหน จู่ๆ ก็ลากเหยียนอวี่นั่วออกไปข้างนอก
“เฉินกงกง เฉินกงกง เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เฉินจี๋ทำให้เหยียนอวี่นั่วรู้สึกงุนงง ตลอดทางที่วิ่งตามเขาไปก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยไปด้วย
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน?”
เฉินจี๋กลอกตาไป เท้าก็หาได้หยุดเดินไม่ เร่งรีบพาเหยียนอวี่นั่วออกจากกองพระภูษาไป ในขณะเดียวกันไป๋เพ่ยยังยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าที่กังวล
“ไป๋ซือซื่อ!”
เมื่อเหยียนอวี่นั่วได้เห็นสีหน้าของไป๋ซือซื่อทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นรู้สึกเครียดขึ้นตามไปด้วย “ผู้คุมไป๋นี่ท่านมาได้อย่างไรกัน? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซูหว่านอย่างนั้นหรือ?”
“เฮ้อ”
เมื่อได้ยินที่เหยียนอวี่นั่วถามไป๋เพ่ยก็ถึงกับถอนหายใจพร้อมหยิบจดหมายออกมาจากอก “นี่คือจดหมายที่แม่นางซูหว่านเหลือไว้ให้กับเจ้า เจ้าดูเอาเองเถอะ!”
จดหมายของซูหว่าน?
เหยียนอวี่นั่วรับจดหมายนั้นมาพร้อมกับรีบเปิดอ่านในทันที เนื้อหาข้อความที่เขียนภายในจดหมายนั้นบอกเพียงข้อความง่ายๆ นั่นก็คือขอให้เหยียนอวี่นั่วจงใช้ชีวิตต่อไป ให้สวีปิงเย่ว์และเสิ่นเฉิงเป่ยอยู่สุขสบายดีเช่นเดียวกัน เนื้อหาที่เขียนภายในจดหมายดูแล้วอย่างกับจดหมายลาตายฉบับหนึ่งทีเดียว
“ผู้คุมไป๋ ท่านรีบพาข้าไปหาซูหว่านที ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับซูหว่าน!”
ยังไม่ทันที่จะได้อ่านจดหมายเสร็จ เหยียนอวี่นั่วก็ก็หน้าถอดสี จับมือไป๋เพ่ยแล้ววิ่งออกไปด้านนนอก
“โธ่ อย่าได้รีบร้อนขนาดนั้น! ตอนนี้ซูหว่านนางไม่ได้เป็นอันใดแล้ว!”
ไป๋เพ่ยคว้าข้อมือของเหยียนอวี่นั่วเอาไว้ “เมื่อครู่นี้ซูหว่านคิดฆ่าตัวตายอยู่ที่ศาลจงเหริน แต่ตอนนี้นางได้รับการช่วยเหลือแล้ว จดหมายฉบับบนี้ข้าเจอมันวางอยู่บนโต๊ะ ข้าจึงรีบนำมาส่งให้ท่าน”
“อะไรนะ?”
เมื่อได้ยินว่าซูหว่านคิดสั้น สีหน้าของเหยียยนอวี่นั่วและเฉินจี๋ก็เปลี่ยนเป็นตะลึงงัน
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เหตุใดแม่เด็กผู้นั้นจึงได้คิดสั้นเช่นนี้ได้?”
เฉินจี๋ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจหนึ่งหรู “โลกนี้มันจะรีบเร่งอะไรนักนะ ฝ่าบาทยังไม่ทันที่จะตัดสินโทษนางไม่ใช่หรอกหรือ นางจะกลัวสิ่งใดกันเล่า”
“นี่ก็…ไม่ใช่เรื่องของรุ่ยหวัง”
เมื่อไป๋เพ่ยกล่าวถึงตรงนี้สีหน้าก็แสดงความอึดอัดขึ้นมา “เมื่อตอนสายข้าผ่านไปทางห้องขังของแม่นางซูหว่าน ข้าบังเอิญได้ยินนางคุยกับใครอีกคน แม่นางผู้นั้นกล่าวว่าตนกับคู่มั้นของแม่นางซูหว่านนั้นรักกันด้วยใจจริง ต้องการให้แม่นางซูหว่านช่วยให้เขาทั้งคู่ได้สมหวัง! โธ่ เรื่องนี้มันช่างไม่ให้ความเมตตากับแม่นางซูหว่านบ้างเลย แม่นางซูหว่านเองก็น่าเวทนาแล้ว ยังมีคนที่ใช้โอกาสนี้มาทำให้นางทุกข์ใจเข้าไปอีก หากนางคิดสั้นในวินาทีนั้นย่อมมิได้เป็นเรื่องแปลกอันใด้เลย!”
“จิ๊ๆๆ!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ไป๋เพ่ยกล่าวเฉินจี๋ก็เหล่ตามองและเอ่ยขึ้นว่า “บนโลกใบนี้ หญิงชั่วนั้นมีมากมายนัก!”
“หรือว่าแท้จริงแล้ว…ไม่ใช่ ไม่น่าใช่”
หลังจากที่เหยียนอวี่นั่วได้ฟังที่ไป๋เพ่ยได้กล่าว นางจึงก้มลงอ่าน ‘จดหมายลาตาย’ ที่ซูหว่านนั้นมอบให้อย่างละเอียดอีกครั้งและสีหน้าของนางเปลี่ยนไปอีกครั้ง
แม่นางที่แย่งคู่หมั้นของแม่นางซูหว่านไปนั่นก็คือ…สวีเย่ว์ปิงงั้นหรือ?
“ผู้คุมไป๋ ท่านรู้หรือไม่ว่าแม่นางที่ไปขอพอแม่นางซูหว่านนั้นมีนามว่าอันใด?”
จู่ๆ เหยียนอวี่นั่วก็คว้ามือไป๋เพ่ยและบีบมือนางแล้วถามไป
“ชื่ออะไรนะ?”
ไป๋เพ่ยขมวดคิ้ว “คือ…ที่ศาลของเรามีบันทึกไว้ เหมือนจะชื่อ ปิง เอ่อ เย่ว์ อะไรสักอย่างนี่แหละ”
“สวีปิงเย่ว์?”
เหยียนอวี่พูดชื่อนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อได้ยินนางเอ่ยขึ้น ไป๋เพ่ยตาลุกวาวและตบมือดังฉาด “ใช่ๆ ๆ ชื่อว่าสวีปิงเย่ว์”
“สวีปิงเย่ว์? เมื่อครู่ข้ายังเห็นนางเดินลับๆ ล่อๆ ไปทางค่ายทหารเวรยาม เหอะเหอะ นังเด็กนั่น ข้ามองออกแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร”
พอเอ่ยถึงสวีปิงเย่ว์ เฉินจี๋ก็เผยท่าทีไม่พอใจของตนเองต่อนางออกมา
เมื่อเหยียนอวี่นั่วได้ยินเช่นนั้นก็คว้าแขนเสื้อเฉินจี๋ทันที “เฉินกงกง ท่านช่วยข้าที พาข้าไปยังค่ายทหารเวรยามทีเถอะ จะต้องไปถามเสิ่นเฉิงเป่ยและสวีปิงเย่ว์ให้เข้าใจ!”
“นี่…”
แม้ว่าเฉินจี๋ลำบากใจอยู่บ้าง แต่พอได้เห็นท่าทางร้อนรนของเหยียนอวี่นั่วและสังเกตไป๋เพ่ยที่ขยิบตาให้ตนแล้ว เฉินจี๋ก็คิดขึ้นได้ “ได้! ข้าก็อยากเห็นกับตาของตนเองเช่นกันว่าหมาชายหญิง[1] กันนั่นจะไร้ใจไร้คณธรรมขนาดไหนกัน! ไป! ข้าพาไปเอง ”
“ข้าก็จะไปดูด้วย”
ยังไม่ทันได้รับอนุญาต ไป๋เพ่ยก็ไปเดิมตามอยู่ด้านหลังของทั้งคู่แล้ว
นี่เป็นภารกิจที่ซูหว่านมอบหมายให้ นางจะต้องเห็นเรื่องราวทุกอย่าง จำให้ขึ้นใจ จากนั้นจึงจะกลับไปรายงายกับนายหญิงของตนเองได้…
ค่ายทหารเวรยามตอนเที่ยงวันมีผู้คนไม่มากนัก ส่วนใหญ่กำลังผลัดเวรกันพักกินข้าว ในวันนี้เฉินเฉิงเป่ยและสวีปิงเย่ว์เองก็นัดกันที่ลานฝึกซ้อมแห่งนี้
เฉินจี๋พาเหยียนอวี่นั่วและไป๋เพ่ยเดินวนรอบค่ายอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับเงาของเฉินเฉิงเป่ยตามคำแนะนำของคนอื่นๆ ในตอนที่เขากำลังพูดคุยกับสวีปิงเย่ว์ น้ำเสียงของเฉินเฉิงเป่ยฟังดูไม่สงบอยู่เล็ก เสียงก็ดังมาก อยู่ไกลแค่ไหนก็ยังได้ยินเสียงของพวกเขา
“ข้าไม่เชื่อ เสี่ยวหว่านไม่ทำเช่นนี้กับข้าแน่ๆ! นางต้องตั้งใจพูดเช่นนั้นเพราะอยากให้ข้ายอมแพ้เท่านั้น!”
เฉินเฉิงเป่ยตื่นข่าวจนเสียงสั่น “ฉันจะไปเจอนางด้วยตนเอง ถ้านางไม่อยากเจอข้า ข้าก็จะรอนางอยู่หน้าศาลตลอดไป”
“พี่เฉิน เหตุใดพี่ยังไม่เข้าใจอีก”
สวีปิงเย่ว์นำหยกที่เสิ่นเฉิงเป่ยเคยมอบให้ซูหว่านออกมา “นางได้นำหยกชิ้นนี้มาคืนพี่แล้วนางคงจะไม่เจอพี่แล้วจริงๆ นางอยู่ที่จิ่นฟังไจมานาน ได้เห็นผ้าไหมและหยกของเจ้านายจนเคยชิน นางต้องการเป็นพระชายา ต้องการเป็นเจ้านายคน ความรู้สึกเป็นเช่นนี้แล้วก็คงไม่อาจตำหนิอะไรได้! พี่เฉิน พี่ยอมแพ้เถอะ! ต่อให้พี่ได้เจอนางแล้วยังไงต่อเล่า วันนี้ก่อนจะไปหานาง ข้าก็ไม่เชื่อว่าเรื่องระหว่างนางกับรุ่ยอ๋องจะเป็นเรื่องจริง ข้านึกว่านางคงจะอึดอัดที่ไม่ได้เจอพี่ ข้าคิดว่านางจิตใจดีมาตลอด คิดว่านางไม่อยากให้พี่ต้องเหนื่อยใจ แต่…ที่แท้ไม่ใช่เลย”
ในตอนนี้ดวงตาของสวีปิงเย่ว์แดงก่ำ นางยื่นมือมาจับที่ชายเสื้อของเฉินเฉิงเป่ย “พี่เฉิน พี่ลืมนางไปเสียเถอะ ในโลกนี้ยังมีผู้หญิงดีๆ อีกมากมาย ไม่จำเป็นจะต้องเสียใจให้คนที่ไม่รักพี่แล้ว”
“ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
ถ้าไม่ได้ยินจากปากของซูหว่านด้วยตนเอง เสินเฉิงเป่ยคิดว่าตนคงไม่อาจยอมแพ้ได้ เขาไม่เชื่อ ไม่ยอมเชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้เด็ดขาด
สามคนที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นได้ยินคำพูดทั้งหมดของทั้งคู่ ไป๋เพ่ยอดที่จะกระซิบถามไม่ได้ “นี่คือพี่น้องที่รักของแม่นางซูจริงหรือเนี่ย ต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง”
“เหอะเหอะ”
เฉินจี๋เค้นหัวเราะออกมาสองที “ในวังหลวงมีแต่คนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างเช่นนี้มากมาย คงต้องโทษซูหว่านที่โง่เขลาเกินไป เชื่อคนง่ายไปเสียหมด อยากเป็นคนดีงั้นหรือ? ใครว่าทำดีแล้วได้ดีกัน? ในวังนี้คนดีๆ คงตายไปหมดแล้ว! ” เมื่อพูดจบ เฉินจี๋ก็อดไม่ได้ที่จะสะกิดเหยียนอวี่นั่วที่ใบหน้าหม่นหมอง “อวี่นั่วเอ่ย ช่วงนี้เจ้าชอบไปกับสวีปิงเย่ว์อยู่บ่อยๆ ดูท่าทางนางให้ออกเล่า ซูหว่านเป็นตัวอย่างให้คุณแล้ว! อย่าโง่ไปรับผิดแทนคนอื่นอย่างซูหว่านเชียว นางช่างโง่เขลาจริงๆ โง่บรมจริงเชียว ”
โง่เขลาหรือ?
แน่ล่ะ ซูหว่านคือคนโง่เขลา รับผิดแทนพี่น้องที่รัก สุดท้ายยอมปล่อยกระทั่งคนที่ตนรัก
แต่ทว่า คนอย่างสวีปิงเย่ว์เล่า เหมาะสมแล้วงั้นหรือ
ผู้ที่เดินหมากมักจะอ่านเกมไม่ออก แต่คนที่ยืนดูข้างๆ จะอ่านเกมออกเสมอ
เหยียนอวี่นั่วคือผู้ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ หมากกระดานนี้ เป็นผู้ชมที่รู้บาปบุญคุณโทษและความเป็นธรรมและนางทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
“สวีปิงเย่ว์!”
นางไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าไป ไปยืนต่อหน้าสวีปิงเย่ว์และเฉินเฉิงเป่ย นางยกมือขึ้นและตบลงไปยังใบหน้าของสวีปิงเย่ว์
“ตบนี้ ข้าตบแทนให้ซูหว่าน”
ตั้งแต่เล็กจนโตเหยียนอวี่นั่วไม่เคยลงมือกับใครมาก่อน ยิ่งไม่เคยตบหน้าใคร ครั้งนี้นางโกรธมากจริงๆ จึงได้ใจร้อนเช่นนี้ และหลังจากที่ได้ตบหน้าของสวีปิงเย่ว์ไปแล้ว ในใจที่แสนอัดอั้นของเหยียนอวี่นั่วนั้นก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
ที่แท้ การตบหน้าคนทำให้นางที่โมโหก็ทำให้สบายใจขึ้นไม่น้อย
——
[1] หมาชายหญิง เปรียบเปรยชายหญิงที่คบคู่สมสู่กันเหมือนสุนัช