ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 26-1 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง (ปัจฉิมบท)
เหยียนอวี่นั่วเพิ่งจะรู้ข่าวที่ลู่มู่สวินและเหยียนอวี่ชิงถูกจับในเช้าวันที่สองและในเวลาเดียวกันสำนักพระภูษายังกระจายข่าวที่สวีปิงเยวี่รายงานมีความดีความชอบถูกพระทัยฝ่าบาท จึงได้เข้าวังกลางเป็นอวี่เฉียนซ่างอี๋
อวี่เฉียนซ่างอี๋คือนางกำนัลที่ใกล้ชิดพระองค์
หรือก็คือนางกำนัลที่ตำแหน่งสูงที่สุดในวังหลัง
จากนางกำนัลในกองพระภูษาไปเป็นนางกำนัลใกล้ชิดของฝ่าบาท นี่เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชัดๆ
ขันทีที่อำนาจเงินตราในกองพระภูษาต่างพากันรายล้อมสวีปิงเย่ว์ยิ้มแย้มป้อยอประจบประแจงก่อนที่นางจะไป
สวีปิงเย่ว์ยิ้มรับต่อหน้าพวกคนประจบสอพลอเหล่านั้น
เมื่อนางเดินออกจากประตูใหญ่กองพระภูษาอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้พบกับเหยียนอวี่นั่วที่เพิ่งได้ทราบข่าวจากสำนักหมอหลวงกลับมา
ทั้งสองอาจกล่าวกรรมบันดาลให้พบกันโดยแท้
“สวีปิงเย่ว์! เจ้าทำเกินไปแล้วนะ เจ้าใส่ร้ายหมอหลวงลู่กับอวี่ชิง
ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
เวลานั้น
เหยียนอวี่นั่วได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสวีปิงเย่ว์อย่างกระจ่างแจ้ง เห็นหน้านางที่แสดงความพอใจที่แผนสำเร็จออกมา นางก็อดไม่ได้รีบพุ่งเข้าใส่
แต่ยังไปไม่ถึงตัวสวีปิงเย่ว์ก็ถูกนางกำนัลระดับล่างที่อยู่ด้านหลังของสวีปิงเย่ว์ขวางเอาไว้
“นังบ่าวสามหาวใจ บังอาจกล่าววาจาหยาบคายกับท่านสวีซ่างอี๋
เจ้ารู้หรือไม่ว่าได้ทำผิดอะไรลงไป”
ใช่สิ
ตอนนี้สวีปิงเย่ว์ได้เป็นสวีซ่างอี๋แล้วและมีตำแหน่งนางยังสูงกว่าเลี่ยวซืออี๋อยู่ครึ่งขั้น
นี่สินะที่เขาเรียกว่าหนูตกถังข้าวสาร
เหยียนอวี่นั่วถูกนางกำนัลสองนางกั้นเอาไว้
มือทั้งสองข้างก็ถูกหนีบไว้ มองนางที่หน้าตาร้อนรนและท่าทีจนใจนั่นแล้ว
สวีปิงเย่ว์ยิ้มอย่างสบายใจ “เหยียนอวี่นั่ว เจ้าจะตบข้าอีกแล้วหรือ หึ
พวกเจ้า…มาอ้าปากนางซะ!”
“เพียะๆ !”
”เพียะๆ !”
เสียงตบดังก้องทั่วไม่มีที่สิ้นสุดตามการตบของพวกนางกำนัล
หน้าทั้งสองด้านของเหยียนอวี่นั่วถูกตบจนหน้าบวมช้ำแดงก่ำ เลือดสีแดงสดค่อยๆ
ไหลออกจากมุมปาก
“พอแล้ว”
สวีปิงเย่ว์ทำสัญญาณมือหนึ่งครั้ง
ค่อยๆ เดินทีละก้าวๆ ไปอยู่ต่อหน้าเหยียนอวี่นั่ว
นางเผยยิ้มเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นใช้นิ้วเรียวยาวของตนบีบคางของเหยียนอวี่นั่วไว้
“เหยียนอวี่นั่ว อย่างเจ้าคู่ควรจะมาต่อกรกับข้าหรือ
เจ้าทำให้พี่เสิ่นต้องจงเกลียดจงชังข้า
ข้าจะทำให้หมอหลวงลู่ของเจ้าได้ตายไม่มีหลุมฝัง”
ในขณะที่สวีปิงเย่ว์กำลังพูดก็อดใจไม่อยู่เอียงตัวไปกระซิบยังข้างหูเหยียนอวี่นั่วเบาๆ
“ตายจริง ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าฝ่าบาททรงปล่อยตัวรุ่ยอ๋องออกจากศาลจงเหรินแล้ว
ข้ายังได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างสาหัสนัก
เกรงว่าชาตินี้คงจะมีทายาทไม่ได้อีก
เจ้าว่าเขาออกมาแล้วยังจะสนใจความเป็นความตายของซูหว่านอีกหรือไม่?”
รุ่ยอ๋องออกมาแล้วรึ
และยังไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดชีวิตอีกหรือ
ได้ฟังคำพูดของสวีปิงเย่ว์
สมองเหยียนอวี่นั่วพลันนึกถึงเด็กในท้องของเหยียนอวี่ชิง
งั้นก็เป็น…ลูกของรุ่ยอ๋องนะสิ
ถ้าข้าไปข้อความช่วยเหลือจากชายรุ่ยอ๋อง
พระองค์จะยื่นมือช่วยหรือไม่นะ
ชั่วขณะหนึ่งสมองของเหยียนอวี่นั่วถาโถมด้วยความคิดไร้สาระที่ไม่อาจสลัดมันออกไปได้
นางจะไปขอร้องรุ่ยอ๋อง รุ่ยอ๋องต้องเห็นแก่หน้าของอวี่ชิงและต้องยอมช่วยพวกเขาแน่ ๆ
ต้องบอกว่า
เหยียนอวี่นั่วเวลานี้ยังโลกสวยมองคนในโลกใบนี้ดีเกินไปนัก
เมื่อนางดั้นด้นระหกระเหินมายังจวนรุ่ยอ๋องจนได้พบรุ่ยอ๋อง
อีกทั้งหลังจากนำเรื่องของอวี่ชิงและลู่มู่สวินบอกกับตงฟางหลี่แล้ว
ตงฟางหลี่ก็มีสีหน้ายินดีตกปากรับคำเหยียนอวี่นั่ว
รับปากจะช่วยสองคนนั้นออกมาให้ได้
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน
ก็มีข่าวลือมาจากศาลจงเหรินว่าเหยียนอวี่ชิงติดโรคสิ้นชีพแล้ว
อีกทั้งยังมีจดหมายที่เหยียนอวี่ชิงเขียนด้วยเลือดหนึ่งฉบับแนบไปพร้อมกับข่าวที่ลอยเข้าวัง
ในจดหมายเลือดนางยอมรับว่าตนเองมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหมอหลวงลู่ยอมรับว่าโทษของตนนั้นต่อให้ตายก็ยังชดใช้ไม่หมด
เหยียนอวี่ชิงตายแล้วงั้นหรือ
ในฐานะที่เป็นพี่สาวของเหยียนอวี่ชิง
เหยียนอวี่นั่วรีบไปรับศพที่ศาลจงเหรินแต่เพียงลำพัง
แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นศพแปลกหน้าและศพร่างนั้นไม่ใช่ของเหยียนอวี่ชิง
อย่างไรเสียเหยียนอวี่นั่วก็เป็นคนสนิทสนมคุ้นเคยสำหรับเหยียนอวี่ชิง
เวลานั้นต่อให้นางโง่ยิ่งกว่านี้ก็เข้าใจเรื่องราวบางอย่างบ้างแล้ว
การตายลวงของเหยียนอวี่ชิง
ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือขององค์ชายรุ่ยอ๋อง
และนางก็
‘สารภาพผิด’ ก่อนที่จะ ‘ตาย’ เพื่อยืนยันความผิดของลู่มู่สวิน
ทำให้เขาไม่มีวันล้างความผิดได้ อันที่จริงลู่มู่สวินเป็นคนวงใน
หากเขาถูกบีบจนต้องเปิดโปงเรื่องความสัมพันธ์ของรุ่ยอ๋องและเหยียนอวี่ชิง
เช่นนั้นรุ่ยอ๋องก็ต้องมาเกี่ยวพันด้วย
ทว่าหยียนอวี่ชิงคนทรามก็ยื่นคำร้องต่อศาลเสียก่อน จึงกลายเป็น
‘คนตายไม่สามารถให้การได้’ ไปเสียแล้ว
ตอนนี้ต่อให้ลู่มู่สวินมีสักร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้
เหยียนอวี่นั่วตอนนี้เพิ่งจะนึกได้
ตอนนี้ต่อให้วิ่งไปกราบทูลเรื่องจริงทั้งหมดให้ฝ่าบาททรงทราบ ฝ่าบาทก็ไม่เชื่อนางแน่นอน
กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1] นี้ช่างทำได้บรรเจิดเสียจริง!
เมื่อคิดถึงลู่มู่สวินที่ถูกต้อนเสียจนมุมก็พลอยคิดถึงซูหว่านที่ถูกจองจำในศาลจงเหรินที่ไร้หนทางแก้ต่างให้ตนเองเช่นเดียวกัน
เหยียนอวี่นั่วรู้สึกได้เพียงความไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
เหตุใดกัน
เหคุใดคนดีจึงไม่ได้ดีเล่า
พวกเขาทำผิดอันใดจึงต้องพบกับความอยุติธรรมเยี่ยงนี้
ในเวลาเช่นนี้
กลับไม่มีความช่วยเหลือใดๆ จากเสิ่นเฉิงเป่ยตามเนื้อเรื่องเดิม
ทั้งยังสูญเสียที่พักผิงอย่างลู่มู่สวินไปอีกหรือแม้กระทั่งความรักใคร่เป็นพิเศษจากฮ่องเต้ตงฟางเย่าก็ยังไม่มี
จนกระทั่งวันนี้เหยียนอวี่นั่วอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้
ในที่สุดก็รู้ซึ้งถึงความมืดมนไร้ความปราณีของวังหลังแล้ว…
หลังจากสวีปิงเย่ว์รับตำแหน่ง
นางก็เริ่มใช้อำนาจของตนเองกำจัดเสี้ยนหนามไม่หยุดหย่อน
นางเริ่มจากการใส่ร้ายเลี่ยวซืออี๋จากกองพระภูษา
จากนั้นกำจัดมิตรสหายของเหยียนอวี่นั่วในกองพระภูษาทีละคนและเปลี่ยนเป็นคนของนางเอง เป็นเช่นนี้ส่งผลให้ชีวิตขิงเหยียนอวี่นั่วในกองพระภูษาเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก
คนรักถูกใส่ร้าย
ผู้เดียวที่จริงใจกับนางก็มีเพียงน้องสาวที่ติดคุกไปเสียแล้ว
แม้แต่ผู้ที่กัดฟันสู้มาตลอดอย่างนางจะอยู่ที่วังหลังก็อยู่ยาก
ไปที่ไหนก็ถูกควบคุม เหยียนอวี่นั่วที่มีจิตใจไม่ย่อท้อต่อการช่วยเหลือผู้อื่น
ในสถานการ์ณเลวร้ายเช่นนี้ ในที่สุดใจของนางก็ค่อยๆ เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ
“เหตุใดกัน เหตุใดฟ้าดินจะต้องไม่เป็นธรรมเยี่ยงนี้!”
ยามค่ำคืนอันมืดสนิท
นางยืนอยู่เพียงผู้เดียวบนทางเดินหลวงและตะโกนออกไปอย่างบ้าคลั่ง
วันพรุ่งนี้เป็นวันประหารของลู่มู่สวินและซูหว่าน
แต่เหยียนอวี่นั่วกลับทำอะไรไม่ได้เลย นางได้แต่มองคนที่ดีกับนาง
รักนางที่สุดต้องจากนางไป
บางครั้งการให้ใครสักคนได้เห็นถึงสัจธรรม
ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขารับความเจ็บปวดถึงเพียงนี้ก็ได้นี่
ให้นางเป็นผู้อยู่ในเหตุการ์ณทั้งหมด
ต้องมองคนรอบกายถูกใส่ความคนแล้วคนเล่า จากไปทีละคนทีละคน
แต่ตนเองกลับไม่มีความสามารถช่วยอะไรใครได้เลย ทั้งยังทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก
นี่เป็นการลงโทษที่เลวร้ายที่สุด
เหยียนอวี่นั่วสิ้นหวังแล้วกับโลกใบนี้
“เจ้าอยากจะรู้ว่าเหตุใดหรือ”
เสียงเยือกเย็นลอยมาทางด้านหลังของเหยียนอวี่นั่ว
เหยียนอวี่นั่วตกใจหันกลับไป
พบวังอี้กำลังถือคบโคมไฟสว่างไสวที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายผู้หนึ่งรูปร่างสง่างามยืนอยู่ด้านหน้าของวังอี้ นั่นก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ตงฟางเย่า!
“ฝ่าบาท!”
เหยียนอวี่นั่วลงไปคำนับกับพื้นโดยทันทีรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า
“ใต้ฝ่าพระบาท! หมอหลวงลู่และซูหว่านล้วนถูกกล่าวหาใส่ร้าย
ฝ่าบาทโปรดสืบความให้แน่ชัดด้วยเถิด!”
แต่ไหนแต่ไรเหยียนอวี่นั่วก็แทบไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
นางรู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของนาง
“ข้ารู้ดีว่าพวกเขาถูกใส่ร้าย”
ซูรุ่ยเหลือบตามองเหยียนอวี่นั่วที่อยู่บนพื้นอย่างเฉยชา
“ในวังหลังแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องใจดีพร่ำเพรื่อ
ความใจดีเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความโง่เขลาเบาปัญญา”
เมื่อได้เห็นสีหน้าตระหนกตกใจของเหยียนอวี่นั่ว
ซูรุ่ยยิ้มเยาะและค่อยๆ กล่าวต่อ
“ซูหว่านนั้นรู้ดีแก่ใจว่าเหยียนเหม่ยเหรินกระทำความผิด
แต่กลับรับผิดแทนนางดังนั้นนางจึงสมควรได้รับโทษที่นางไปแย่งชิงมา
สำหรับเจ้าและลู่มู่สวิน พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่ว่าเหยียนเหม่ยเหรินกำลังมีครรภ์
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยซูหว่านออกมา แต่พวกเจ้าก็ปล่อยมันไป เพื่ออะไรหรือ
ความสัมพันธ์พี่น้องน่าขันงั้นรึ? เหยียนอวี่นั่ว
เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเหยียนอวี่ชิง
นางไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่สาวเลยแม้แต่น้อย
แต่เจ้ายอมทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยซูหว่านออกมา
เพื่อช่วยคนที่ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่น้องและยังทำให้ลู่มู่สวินไร้ซึ่งหนทางแก้ต่างใหแก่ตนเอง
ตัวเจ้าที่ใจดีมีเมตตาเช่นนี้ ตอนนี้รู้ซึ้งถึงความน่ารังเกียจแล้วหรือยังเล่า”
ความน่ารังเกียจหรือ
เจ้าควรจะรู้สึกรังเกียจตัวเองอย่างที่สุด
เพราะความผิดของตนเองกลับทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน
ได้ฟังคำของซูรุ่ย
เหยียนอวี่นั่วคุกเข่านิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
ใจดีพร่ำเพรื่อคือโง่เขลาหรือ?
ในขณะที่เหยียนอวี่นั่วกำลังอึ้งไป
ซูรุ่ยก็โบกมือ วังอี้ที่อยู่ด้านข้างเข้าใจในทันที
หยิบจดหมายหนึ่งปึกขึ้นมาจากอ้อมแขน โยนลงไปบนพื้นหินเบื้องหน้าเหยียนอวี่นั่วเบา ๆ
——
[1] ถอนฟืนใต้กระทะ หมายถึงการใช้วิธีอ่อนเอาชนะวิธีแข็ง