ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 26-2 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง (ปัจฉิมบท)
“นี่คือจดหมายระหว่างเหยียนอวี่ชิงและสวีปิงเย่ว์ สองคนนี้วันๆ คิดแต่จะเล่นงานเจ้าอย่างไรดี หากเจ้ายังจะทำตัวเป็นคนโง่แสนใจดีเช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะช่วยสนองเจ้าให้เจ้า ลู่มู่สวินและซูหว่านได้ไปตายด้วยกันสามคน!” พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของซูรุ่ยเยียบเย็นจนน่าหวาดกลัว
นี่คือ…
เหยียนอวี่นั่วมองกระดาษที่ปลิวกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
นางจำลายมือของเหยียนอวี่ชิงได้
อ่านข้อความในจดหมายที่สวีปิงเย่ว์กับเหยียนอวี่ชิงวางแผนว่าจะทำร้ายตนเองอย่างไร
สายตาของเหยียนอวี่นั่วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
นางจะตายได้ยังไง
ไม่ใช่เพราะนางกลัวตายแต่นางตายไม่ได้
นางยังไม่ได้ช่วยลู่มู่สวินกับซูหว่านออกมาเลย
นางจะตายไม่ได้ ตายไม่ได้เด็ดขาด!
“ฝ่าบาทได้โปรดชี้แนะหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
อันที่จริงแล้วเหยียนอวี่นั่วเพียงแค่ใจดีมากเกินไป
ไม่ได้โง่เขลาจริงๆ นางฟังออกว่าฝ่าบาทมีความนัยแฝงอยู่
ดังนั้นเหยียนอวี่นั่วในเวลานี้จึงได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
นางรู้ว่าที่ฝ่าบาทตรัสสิ่งเหล่านี้กับนางไม่ได้เพียงจะเยาะเย้ยความโง่ของนางเท่านั้น
“ข้าสามารถยืดเวลาโทษประหารของลู่มู่สวินและซูหว่านไปได้”
ได้เห็นเหยียนอวี่นั่วในที่สุดก็เข้าใจถ่องแท้
ซูรุ่ยก็อดยิ้มไม่ได้ “เจ้าไม่ต้องอยู่ที่กองพระภูษาแล้ว
จากพรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าไปรับใช้เหลียงเฟย นางเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว
หากเจ้ารับใช้นางเป็นอย่างดี นางก็จะช่วยเจ้าให้สมปรารถนาได้”
แค่อวี่เฉียนซ่างอี๋คนหนึ่งไม่ใช่คู่ปรับของพระสนมเหลียงเฟย
แต่การได้อยู่กับเหลียงเฟย ซูรุ่ยคิดว่าจะทำให้นาง ‘ฉลาด’ ขึ้นกว่าตอนนี้ได้อีกเยอะ
“หม่อนฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ!”
เมื่อซูรุ่ยกล่าวจบ
เหยียนอวี่นั่วก้มหัวคำนับขอบพระทัย
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงเงาของฝ่าบาทและวังอี้
ถ้าหากวังหลังเป็นที่ที่คนกินคนละก็
นางก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ รอให้ถูกคนอื่นกิน ไม่มีทาง!
แววตาของเหยียนอวี่นั่วเปลี่ยนเป็นแน่วแน่
ความรู้สึกของนางได้ถูกเปลี่ยนไปแล้วในค่ำคืนหนาวเหน็บนี้
มีบางคน
เมื่อถูกต้อนจนจนมุมก็จะระเบิดพลังที่ซ่อนไว้ออกมาได้
แต่บางคน
เมื่อคนสำคัญอับจนหนทาง เพื่อคนผู้นั้น
นางถึงจะกระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นในตัวออกมาได้
เหยียนอวี่นั่วเป็นคนเช่นนี้
ท่ามกลางความสิ้นหวังที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด กลับทำให้นางแข็งแกร่ง
ฤดูหนาวผ่านพ้นไปและย่างสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ตั้งแต่เหยียนอวี่นั่วเข้ามาอยู่ในตำหนักซิ่วหนิงก็ได้รับความโปรดปรานจากเหลียงเฟยด้วยความรวดเร็วดังคาด
แม้ว่าตอนนี้สุขภาพของพระสนมจะดีขึ้นมากแล้ว
แต่พิษที่ออกฤทธิ์ช้าภายในร่างกายกลับไม่สามารถขจัดไปง่ายๆ เป็นเหตุให้อายุขัยของพระนางเหลือไม่มากนัก
รู้สึกถึงอายุขัยของตนที่อยู่ได้อีกไม่นาน
เหลียงเฟยยิ่งอบรมสั่งสอนเหยียนอวี่นั่วอย่างจริงจังมากขึ้น
พระนางจะเปลี่ยนหญิงผู้ไม่กล้าแม้แต่จะฆ่าไก่ให้เป็นหญิงสาวที่ฆ่าคนได้ในพริบตาอย่างเลือดเย็น
ขั้นตอนนี้ยากเย็นแสนสาหัสแต่กลับทำให้เหลียงเฟยรู้สึกภาคภูมิใจ
นางจะสิ้นพระชนม์แล้ว
แต่นางจะปั้นคลื่นลูกใหม่มาสร้างกระแสในวังหลังแห่งนี้แทนที่นางด้วยน้ำมือตนเอง
เหยียนอวี่นั่วในเวลานี้ผ่านเรื่องราวมามากมายเหลือเกิน
นางไม่ไร้เดียงสาเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วเหลียงเฟยสั่งสอนอย่างไร
นางก็ทำอย่างนั้น
นางสาบานภายในใจ
จะต้องพาซูหว่านและลู่มู่สวินออกมาให้ได้
ชีวิตที่เหลืออยู่ในชาตินี้
ขอใช้ตนเองปกป้องพวกเขาก็พอ…
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนอีกครา
ซูหว่านที่ยังคงถูก ‘จองจำ’ ในศาลจงเหรินจู่ๆ ก็ได้รับสาสน์ว่าภารกิจสำเร็จลุล่วง
เรื่องนี้ทำเอาซูหว่านตกใจไปชั่วครู่
เธอนึกว่าการจะทำให้เหยียนอวี่นั่วเปลี่ยนสภาพได้สมบูรณ์อย่างน้อยต้องใช้เวลาปีกว่า
ไม่นึกเลยว่าจะสำเร็จรวดเร็วถึงขนาดนี้
วันนี้
สำหรับคนส่วนใหญ่ในพระราชวังนั้นเป็นเพียงวันอันแสนยุ่งเหยิงเหมือนเช่นทุกวัน
แต่สำหรับเหยียนอวี่นั่วแล้ว กลับเป็นวันที่มีความหมายนัก
ภายในศาลอาญาหลวง
กลิ่นคาวเลือดสดที่สาดอยู่เต็มพื้นฉุนขึ้นจมูก สวีปิงเย่ว์นอนจมกองเลือด
ตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผล นางเบิกตาโพลงมองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างกราดเกรี้ยว
“เหยียนอวี่นั่ว นังคนชั่ว! เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้า!! เป็นเจ้า!”
“หึ”
เหยียนอวี่นั่วนั่งคุกเข่าลงช้าๆ ไม่สนใจกระโปรงวังสีน้ำเงินที่ถูกอาบด้วยสีแดงสดเลยแม้แต่น้อย
“จะเป็นข้าได้อย่างไรกัน จดหมายลับที่เจ้ากับจวนรุ่ยอ๋องส่งหากัน
ไม่ใช่ข้าที่นำไปให้ฮ่องเต้เสียหน่อย”
หรือว่า…
หรือว่าจะเป็นนาง
สวีปิงเย่ว์ได้ยินคำพูดของเหยียนอวี่นั่ว
แววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “ไม่ ต้องเป็นเจ้าแน่นอน
จนป่านนี้แล้วเจ้ายังวางแผนบิดเบือนความจริง มีความหมายอันใดกัน”
“หึ สวีปิงเย่ว์ เสียแรงที่ฉลาดเสียเปล่า จนป่านนี้แล้วจู่ๆ
เหตุใดเจ้าก็สับสนขึ้นมาเล่า”
พูดถึงตรงนี้เหยียนอวี่นั่วโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของสวีปิงเย่ว์เบาๆ
“ข้าบอกเหยียนอวี่ชิงว่าเหลียงเฟยอีกไม่กี่เพลาก็จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา
แต่พลานามัยของนางไม่แข็งแรง ไม่สามารถมีทายาทได้
จึงจะเลือกลูกหลานราชวงศ์มารับอุปการะภายใต้ชื่อของนาง เพื่อลูกชายของตัวเอง
นางจึงจำต้องขายเจ้าไงเล่า”
ที่จริงแล้วเหยียนอวี่ชิงไม่ได้อยู่ดีกินดีนัก
ครั้งที่อยู่ในจวนรุ่ยอ๋อง ตงฟางหลี่ไม่ได้รักนางด้วยใจจริง
หลังจากนั้นช่วยนางออกมาอย่างลำบากลำบนเพียงเพราะเด็กในท้องของนางเท่านั้น
บัดนี้เด็กได้ถูกตงฟางหลี่นำตัวไปแล้ว สำหรับเหยียนอวี่ชิง
ตงฟางหลี่กลับไม่ชอบหน้ามานานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเขาตกต่ำเช่นทุกวันนี้เพียงเพราะหญิงผู้นี้
ตงฟางหลี่คิดแม้แต่ที่จะฆ่านาง
ดังนั้นวันคืนในจวนรุ่ยอ๋องของเหยียนอวี่ชิงเหมือนตายทั้งเป็น
แต่เวลานี้ผู้ที่เป็นบุคคลสำคัญแห่งตำหนักซิ่วหนิงอย่างเหยียนอวี่นั่วได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางอีกครั้ง
เหยียนอวี่ชิงคิดมาตลอดว่าเหยียนอวี่นั่วยังเป็นคนใจดีไร้เดียงสาคนนั้นที่เชื่อใจนางอย่างหมดใจ
นึกถึงการพรากจากลูกของตนเอง
ทั้งยังเรื่องที่โดนตงฟางหลี่หักหลัง เหยียนอวี่ชิงที่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ทำ
แต่ถ้าทำก็ทำโดยไม่ยอมฟังอีร่าค่าอีรมจึงปลอมจดหมายระหว่างสวีปิงเย่ว์กับตงฟางหลี่ขึ้นมาและประทับตราจวนรุ่ยอ๋อง
จากนั้นก็ส่ง ‘หลักฐานความผิด’ ทั้งหมดให้กับเหยียนอวี่นั่ว
“เหยียนอวี่นั่ว เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ”
ได้ฟังเหยียนอวี่นั่ว
สวีปิงเย่ว์เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้า เบื้องหน้านางก็ยังเป็นคนเดิม
แต่ในแววตาของนางนั้นไม่มีความรู้สึกที่คุ้นเคยอีกแล้ว
“มนุษย์เราเปลี่ยนกันได้ ข้าถูกพวกเจ้าบังคับให้ข้าเปลี่ยนไงเล่า”
ถ้าตอนนี้นำการได้พบกับเหยียนอวี่นั่วมาเขียนเป็นหนังสือล่ะก็
จะต้องใช้ชื่อเรื่องว่า ‘การพลิกเกมของแม่พระ’ อย่างแน่นอน
เมื่อกล่าวจบเหยียนอวี่นั่วลุกขึ้นช้าๆ
และจากไปอย่างเยือกเย็น “ขันทีวังกำชับให้สังหารนางวันนี้ ดีใจเสียเถอะ”
กล่าวจบ
เหยียนอวี่นั่วจากไปไม่มีแม้แต่เหลียวมอง
“เหยียนอวี่นั่ว! เจ้าไม่ตายดีแน่!”
“เหยียนอวี่นั่ว ต่อให้ลู่มู่สวินออกมาได้ก็ไม่ชอบเจ้าแล้ว!”
เบื้องหลังคือการด่าทออย่างร้ายกาจมากขึ้นทุกทีของสวีปิงเย่ว์
เหยียนอวี่นั่วเดินออกมาจากศาลอาญาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แสงแดดอ่อนๆ
ของฤดูใบไม้ร่วงฉายลงบนใบหน้าของเหยียนอวี่นั่ว เหยียนอวี่นั่วเหม่อลอย
คิดไปถึงเวลานี้ของปีที่แล้ว นางได้เจอกับลู่มู่สวินที่สำนักหมอหลวงเป็นครั้งแรก
มู่สวิน…เสี่ยวหว่าน
ข้าทำได้แล้วนะ
พรุ่งนี้ข้าก็ไปรับพวกเจ้าที่ศาลจงเหรินได้แล้ว
บางทีตัวข้าในตอนนี้อาจจะทำให้พวกเจ้ารังเกียจดูแคลน
แต่เพื่อสิ่งที่ข้าอยากปกป้องแล้ว ข้าเหยียนอวี่นั่วผู้นี้ไม่มีทางเสียใจภายหลัง
วันที่สอง
ท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วง
เหยียนอวี่นั่วสวมเครื่องแบบเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน
รออยู่ที่ประตูใหญ่ของศาลจงเหรินอย่างสงบ
ประตูใหญ่ค่อย
ๆ ถูกเปิดออก ร่างของสองคนที่นางคุ้นเคยปรากฏขึ้นต่อหน้านาง
เหยียนอวี่นั่วหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว
นางกำลังตื่นเต้น นอกเหนือจากความตื่นเต้นนั้นมีแต่ความหวาดกลัวสุดกำลัง
นางรู้สึกว่าซูหว่านจิตใจดีถึงเพียงนั้น
ลู่มู่สวินก็อบอุ่น
ตัวนางในตอนนี้ไม่เหมาะสมจะเป็นพี่น้องกับซูหว่านและยิ่งไม่เหมาะจะเป็นคนรักของลู่มู่สวิน
“อวี่นั่ว”
เห็นเหยียนอวี่นั่วยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง
ลู่มู่สวินก็รีบเดินไปข้างหน้าคว้านางเข้ามาสู่อ้อมกอด
จริงๆ
แล้วนางทำอะไรเอาไว้ในวังบ้าง วังอี้ได้รายงานให้ซูหว่านฟังทุกวัน
ซูหว่านยังได้สนทนากับลู่มู่สวินเป็นระยะอีกด้วย
เหยียนอวี่นั่วนึกว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องทั้งหมด
แต่แท้จริงแล้ว พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งนานแล้ว
มองสองคนกอดกันอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
ซูหว่านเดินมาข้างๆ อย่างสงบ
เวลานี้ถ้ามีคนมารับเรา
จะเหมือนฉากจบอันแสนสุขในละครช่อง 3 รึเปล่านะ?
ซูหว่านก็แค่คิดเล่นๆ
เธอรู้ว่าซูรุ่ยส่งเสิ่นเฉิงเป่ยออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว
องค์ฮ่องเต้ไม่อาจให้อดีตรักเก่ามีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้แม้แต่นิดเดียว
ถึงเวลาต้องไปแล้วสินะ
ในโลกใบนี้
ซูหว่านใช้ชีวิตเหมือนแม่พระมาตลอด
แต่ว่าในโลกใบนี้กลับทำให้เธอเห็นอะไรหลายอย่างที่เธอไม่เคยเห็นในโลกใบอื่น
สันดานคนเดิมทีดีงามหรือชั่วช้า?
เป็นคนดีทำแต่ความดี
จะไม่ได้รับกรรมดีตอบแทนเลยหรือไร
จริงๆ
แล้ว นี่ก็เหมือนเรื่องความกตัญญูนั่นแหละ ความจงรักภักดีงี่เง่าและความกตัญญูล้วนทำให้เรื่องมันแย่ไปกันใหญ่
ขอแค่พวกเราทำตามกฎเกณฑ์ของตัวเอง ไม่ทำให้ตัวเองละอายใจก็พอ
“เสียวหว่าน”
ร่างเงาย้อนแสงที่คุ้นเคยตัดกับท้องฟ้าที่สดใส
เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นเคย
ซูหว่านหันไปด้วยความดีใจ
รีบมุ่งหน้าสู่ที่มาของเสียง หยักรอยยิ้มขึ้นอย่างสง่างาม