มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 39 เส้นสีแดงเล็กๆ
ยิ่งเดินลึกเข้าไป อุโมงค์ทางเดินก็ยิ่งมืดมิด กระบี่คมจักรวาลลอยอยู่เหนือพื้นสองฉื่อ มุ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ดูเหมือนวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากชิงเอ๋อร์ออกมาจากสำนักแม่ชี นี่ก็เป็นครั้งที่สามที่นางคิดถึงคำว่าสุสาน นางรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก จึงเข้าไปใกล้จิ๋งจิ่ว จับคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น
ทั้งสองด้านของอุโมงค์ทางเดินเป็นผนังหินที่มีความแข็งแกร่ง บนผนังหินอักขระสลักเอาไว้ ด้านในผนังหินมีค่ายพลังปิดกั้นที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแอบซ่อนอยู่
ที่นี่คือคุกกระบี่ของชิงซานที่ร่ำลือกันอย่างนั้นหรือ? จิ๋งจิ่วมาที่นี่ทำไม?
ชิงเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากในผนัง จึงเข้าใจสาเหตุทันที
ด้านล่างของยอดเขาซั่งเต๋อมีเส้นปราณเหมันต์อยู่เส้นหนึ่ง ที่นี่คือสถานที่ที่หนาวเย็นที่สุดในหมู่ยอดเขาของชิงซาน เหมาะที่จะให้เสวี่ยจีได้ใช้บำเพ็ญเพียรและใช้ชีวิตมากที่สุด
สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือในเวลาปกติคุกกระบี่ไม่ได้เงียบสงบเหมือนอย่างในตอนนี้ ภายในห้องขังทั้งสองด้านของอุโมงค์ทางเดินจะมีพลังคลุ้มคลั่งดุจมหาสมุทรและขุนเขาแผ่กระจายออกมา
พลังที่คลุ้มคลั่ง ชั่วร้ายและสกปรกเหล่านั้น ถึงแม้จะเพียงแค่นิดเดียว แต่มันก็สามารถทำไมต้นไม้แห่งเต๋าของผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาปนเปื้อนได้ หรือกระทั่งทำลายใจแห่งเต๋าของพวกเขาไปเลยก็เป็นได้
ภายในห้องขังหินเหล่านั้นคุมขังปีศาจและมารชั่วร้ายที่มีสภาวะและพลังที่น่ากลัวเอาไว้จำนวนมาก เมื่ออยู่บนโลก พวกมันเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่สามารถทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ได้
แต่ในวันนี้นักโทษเหล่านั้นกลับไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา หากแต่พยายามเก็บพลังของตัวเองอย่าสุดชีวิต ไม่กล้าปล่อยให้พลังเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย
เสวี่ยจีนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของกระบี่คมจักรวาล
นางห่มผ้าห่มเอาไว้ มิได้มองดูห้องขังที่อยู่ทั้งสองด้านของอุโมงค์ทางเดินแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ได้ปลดปล่อยแรงกดดันออกมา อีกทั้งยังใช้เจตน์กระบี่ของเพลงกระบี่แบกสวรรค์สะกดพลังของตัวเองเอาไว้อยู่ แต่นักโทษเหล่านั้นก็ยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของนางได้อย่างชัดเจน รู้สึกหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก
ปีศาจเหล่านั้นถึงขนาดคุกเข่าลงไปบนพื้นภายในห้องขัง หน้าผากจรดลงไปกับพื้น หันหน้าออกไปทางด้านนอกประตูหิน ไม่กล้าลุกขึ้นมา เพื่อต้องการแสดงออกถึงการยอมศิโรราบ
ในเวลานี้ แรงกดดันของสิ่งมีชีวิตระดับสูงกำลังบดขยี้สิ่งมีชีวิตระดับต่ำ
จิ๋งจิ่วมองดูแผ่นหลังของเสวี่ยจี นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จู่ๆ เสวี่ยจีพลันส่งเสียงอิ๋งออกมา
ม่านตาของจิ๋งจิ่วหดเล็กลงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า “ประชากรของเจ้า เอาไว้ข้าจะหาโอกาสที่เหมาะสมปล่อยออกไป ส่งกลับไปยังแคว้นเสวี่ย”
เสวี่ยจีไม่ได้พูดอะไร
กระบี่คมจักรวาลบินไปอย่างเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของคุกกระบี่
ที่นี้กลับไม่ใช่สถานที่ที่มืดมิดที่สุด ด้านหน้าคล้ายมีแสงไฟส่องออกมา ส่องสว่างผนังและพื้น
ภายในห้องขังห้องหนึ่งพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วรู้ว่าคนที่ถูกขังอยู่ภายในห้องขังห้องนี้ก็คืออาจารย์อาไท่หลู
ผู้อาวุโสที่มีความอาวุโสที่สุดในชิงซานในเวลานี้ก็รู้สึกตกตะลึงถึงการมาเยือนของเสวี่ยจีเช่นเดียวกัน เขาคิดอยากจะมองดูนางเสียหน่อย
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในคุกกระบี่ อากาศก็ยิ่งแห้งขึ้นเรื่อยๆ อุโมงค์ทางเดินก็ยิ่งกว้างขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นโถงแห่งหนึ่ง บนพื้นโถงปูด้วยแผ่นหิน รอบด้านมีตะเกียงไฟแขวนเอาไว้อยู่
ทางด้านขวาของโถงมีอุโมงค์ทางเดินอยู่เส้นหนึ่ง ตะเกียงที่แขวนอยู่ทั้งสองด้านของอุโมงค์เชื่อมต่อกันเป็นเส้นยาวสองเส้น ตรงยาวไปถึงห้องหินที่โดดเดี่ยวห้องหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกที่สุด
กระบี่คมจักรวาลบินไปทางนั้นอย่างเงียบๆ ไม่พบอุปสรรคใดๆ ทั้งสองด้านของอุโมงค์ทางเดินก็ไม่มีพลังของข่ายพลังใดๆ
การตกแต่งภายในห้องขังห้องนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ว่ามีความครบครัน นอกจากเตียงแล้วก็ยังมีโต๊ะและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ดูประณีตเป็นอย่างมาก
บนผนังหินมีสายน้ำเล็กๆ ไหลลงมา สาดกระเซ็นเป็นหยดไข่มุก ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว และภูเขาเขียวขจีที่วัตถุวิเศษฉายออกมายิ่งดูเหมือนดินแดนเซียนเมื่ออยู่ท่ามกลางไอหมอก
ชิงเอ๋อร์คิดในใจว่านี่สิถึงพอจะใช้รับแขกได้ ห้องขังที่น่ากลัวที่เดินผ่านมาก่อนหน้านี้ไหนเลยจะให้คนอยู่อาศัยได้ เพียงแต่…ห้องหินห้องนี้เก่าไปหน่อย หวังว่าองค์หญิงเสวี่ยจีคงจะไม่รังเกียจอะไรนะ
“ที่นี่มีเส้นปราณเหมันต์อยู่เส้นหนึ่ง เพียงพอให้เจ้าได้ใช้ เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ไปก่อนสักระยะ จากนั้นค่อยดูว่าจะจัดการกันอย่างไร”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ จิ๋งจิ่วก็พาชิงเอ๋อร์ออกมาจากห้องหิน เดินตรงไปยังอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์
สีหน้าของเขาเป็นธรรมชาติ ฝีเท้ามั่นคง เสียงพื้นรองเท้าสัมผัสกับพื้นที่ดังออกมาไม่หนักไม่เบา
ประตูห้องหินค่อยๆ ปิดลง
จิ๋งจิ่วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด บรรยากาศที่ตึงเครียดและกดดันกลับค่อยๆ ลุกลามออกมา ปกคลุมอุโมงค์ทางเดินทั้งเส้นเอาไว้
ทันใดนั้นเอง ภายในห้องหินก็มีเสียงอิ๋งอิ๋งของเสวี่ยจีดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วคล้ายมิได้ยิน ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
ก้าวก้าวนี้คือก้าวที่สิบสาม
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ภายในอุโมงค์ที่เงียบสงบพลันมีเสียงกระบี่ดังชัดเจนขึ้นมาสิบกว่าเสียง
ชิงเอ๋อร์ใบหน้าขาวซีด รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จึงเหลียวหน้ากลับไปมองดูห้องหิน ก่อนจะเห็นลำแสงกระบี่สิบสามสายปรากฏขึ้นในอุโมงค์ จากนั้นก็หายเข้าไปในผนังหิน หลงเหลือเพียงเจตน์กระบี่ที่ดุร้ายและรุนแรงจำนวนนับไม่ถ้วน คล้ายรสชาติอันน่าดื่มด่ำที่ไม่เคยจางหายไปไหน
เจตน์กระบี่เหล่านั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แล้วก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก สภาวะเองก็สูงส่งเป็นอย่างมาก นางเพียงแค่มองก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกขึ้นมา
เพียงแค่พริบตา อุโมงค์ทางเดินที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรผิดปกติก็ถูกข่ายพลังกระบี่ปิดกั้นนี้ปิดผนึกเอาไว้ ตรงกลางคล้ายมีคูน้ำสิบกว่าสายขวางกันเอาไว้ ไม่สามารถเดินทะลุผ่านไปได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ชิงเอ๋อร์มองจิ๋งจิ่วอย่างตกตะลึง พบว่าใบหน้าของเขาขาวซีด ดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง ราวกับสูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมาก แต่สีหน้ากับคล้ายดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
ข่ายพลังปิดกั้นนี้มีชื่อว่าสรรพสิ่งเยือกแข็ง ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จากบ่อน้ำในสารทฤดูที่อยู่ในเพลงกระบี่ของชิงซาน แต่อานุภาพและระดับชั้นนั้นสูงกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า ประกอบขึ้นมาจากข่ายพลังกระบี่สิบสามข่าย ภายในแอบซ่อนเจตน์กระบี่เอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน
หลังออกมาจากห้องหิน จิ๋งจิ่วเดินไปสิบสามก้าว ภายในอุโมงค์ทางเดินมีลำแสงกระบี่สิบสามสายปรากฏขึ้นมา เขามิใช่กำลังวางข่ายพลัง หากแต่กำลังปิดประตู
“ข้าบอกว่าเชิญเจ้ามาพักผ่อนที่ชิงซานสักระยะหนึ่ง เพียงแต่ระยะหนึ่งที่ว่านี้เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ยังมิอาจรู้ได้”
เขามิได้หันหน้ากลับไป หากแต่มองดูโถงตรงเบื้องหน้าที่ถูกตะเกียงไฟส่องสว่างพลางกล่าวว่า “ก่อนที่จะหาวิธีที่เหมาะสมได้ ข้าได้แต่ต้องขังเจ้าเอาไว้ก่อน นี่เป็นวิธีแก้ไขปัญหาเพียงวิธีเดียว”
ภายในห้องหินเงียบไปเป็นเวลานาน จากนั้นก็มีเสียงอิ๋งอิ๋งของเสวี่ยจีดังขึ้นมาอีกครั้ง ฟังดูค่อนข้างอ่อนแรง ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือว่ากำลังเศร้า
“เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังอันแข็งแกร่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะเชื่อใจพลังนั้น ถึงขนาดที่ว่าทำลายพลังที่ว่านั้นไปเสียดีกว่า”
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “เจ้าน่าจะเข้าใจในจุดนี้ดี ดังนั้นได้โปรดเห็นด้วยกับวิธีการของข้า แล้วก็ขออย่าได้โกรธ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็สืบเท้าเดินออกไปด้านนอก
ชิงเอ๋อร์มองดูเขา รู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออก ในใจคิดว่านี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
เจ้าไม่ได้จะเชิญเสวี่ยจีมาเป็นผู้พิทักษ์อยู่ที่ชิงซานหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงจับนางมาขังไว้ในคุกกระบี่ล่ะ?
หรือว่าสิ่งที่เจ้าพูดตอนอยู่ที่สำนักแม่ชีล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก เพียงแค่อยากจะหลอกนางมาที่ชิงซานเท่านั้น?
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร ยังคงเดินหน้าต่อไป ฝีเท้ายังคงมั่นคง เสียงฝีเท้าที่กระทบลงกับพื้นยังคงเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่หนักไม่เบา
ไม่รู้ว่าภายในใจของเขาในเวลานี้กำลังรู้สึกหนักอึ้งหรือว่าผ่อนคลายกันแน่ หรือว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
ชิงเอ๋อร์ยิ่งรู้สึกหนาวเย็น มิใช่เป็นเพราะเส้นปราณเหมันต์ที่อยู่ใต้คุกกระบี่ แล้วก็มิใช่เพราะเหล่ามารชั่วที่น่ากลัวที่อยู่ภายในห้องขังทั้งสองด้านของอุโมงค์ทางเดินเหล่านั้น
นางรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วน่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่กล้านั่งอยู่บนไหล่ของเขา ค่อยๆ กลับเข้าไปในคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างเงียบๆ
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขามิได้พูดอธิบาย แล้วก็ไม่ได้สนใจ เดินตรงไปยืนอยู่ตรงหน้าซือโก่ว
ภายใต้แสงที่ส่องลงมา ก้นบ่อถูกส่องสว่าง
ซือโก่วกับเขาสบตากัน ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับรับรู้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งภายในจิตใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
……
……
ถูกต้อง
จิ๋งจิ้่วเห็นด้วยกับวิธีของถงเหยียน เขาพาเสวี่ยจีที่กำลังนอนหลับออกมาจากเขาเหลิ่งซาน ไม่ได้แจ้งชิงซาน แล้วก็ไม่ได้แจ้งเมืองไป๋เฉิง รวมไปถึงการที่รอนางตื่นขึ้นมาในสำนักแม่ชี และกล่าวคำพูดเหล่านั้นกับนาง…ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก
นี่มิใช่การสมรู้ร่วมคิด มิใช่กลอุบาย มิใช่ความเลือดเย็น ไม่ใช่ความละโมบ มิใช่ความหน้าด้านไร้ยางอาย หากแต่เป็นวิธีการแก้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียว
เสวี่ยจีคือลูกของราชินีแคว้นเสวี่ย หากไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อมาถึงโลกมนุษย์ นางอาจจะนำพาหายนะอย่างร้ายแรงมาสู่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้
สำนักบำเพ็ญพรตทุกสำนัก รวมไปถึงวัดกั่วเฉิง หรือกระทั่งสำนักวิถีมารอย่างนิกายเสวียนอินล้วนแต่จะต้องฆ่านางอย่างแน่นอน
สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับนักพรตไท่ผิงเมื่อในอดีต
เอาเสวี่ยจีมาเป็นผู้พิทักษ์ของชิงซานอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ จะต้องนำมาซึ่งการล้อมโจมตีจากทั่วทั้งโลกอย่างแน่นอน ต่อให้ชิงซานไม่กลัว…. แต่ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้นล่ะ?
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่มิได้เกี่ยวข้องกับความเห็นใจ จิ๋งจิ่วไม่อยากให้เสวี่ยจีต้องตาย เขาจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะขังนางเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องขังนางเอาไว้ได้จริงๆ
หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน จะมีที่ไหนบ้างที่สามารถขังเสวี่ยจีเอาไว้ได้?
คุกสะกดมารไม่ได้ ต่อให้ชางหลงยังไม่ตายก็ขังเสวี่ยจีเอาไว้ไม่ได้ เพราะว่านางเป็นสิ่งมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ชางหลงได้ตายไปแล้ว
มีเพียงคุกกระบี่ของชิงซานเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเป็นห้องขังห้องนั้น
ห้องขังห้องนั้นเคยขังนักพรตไท่ผิงเอาไว้ มีการวางข่ายพลังสรรพสิ่งเยือกแข็งซึ่งเป็นข่ายพลังปิดกั้นที่แข็งแกร่งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ในตอนนั้นที่จิ๋งจิ่วสามารถพาเจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้าไปในห้องขังห้องนั้นได้ เป็นเพราะว่าตัวเขาคือกุญแจของค่ายพลังปิดกั้นอันนี้
วันนี้เขาพาเสวี่ยจีเดินเข้าไปในห้องขังห้องนั้น ก่อนจะเดินออกมาใหม่อีกครั้ง กระบวนการนี้คือการใช้กุญแจปิดประตูเหล่านั้นใหม่
ตอนนี้สภาวะของเขามิอาจเทียบกับเมื่อในอดีตได้ จึงไม่สามารถวางข่ายพลังสรรพสิ่งเยือกแข็งขึ้นมาใหม่ได้ แต่ประตูยังคงเป็นประตูเมื่อในอดีตเหล่านั้น กุญแจก็ยังเป็นกุญแจดอกนั้นอยู่
ต่อให้เสวี่ยจีจะเติบโตขึ้นอีกหน่อย แต่พลังและสภาวะของนางก็ยังมิอาจเทียบนักพรตไท่ผิงในตอนนั้นได้ ห้องขังห้องนั้นสามารถขังนักพรตไท่ผิงเอาไว้ได้สามร้อยปี เช่นนั้นมันก็สามารถขังนางเอาไว้ได้เช่นกัน
ในตอนที่เดินออกมาจากห้องขัง สีหน้าของจิ๋งจิ่วดูสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ แต่ความจริงเขากลับวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
มิใช่เป็นเพราะเกิดความรู้สึกผิดหรือความสงสารจนเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นในใจ เขาเพียงแต่กังวลว่าเสวี่ยจีจะพบเห็นถึงปัญหาและแหกคุกออกมาเสียก่อน
นี่เป็นการก้าวเดินที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขา
ช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ ในชีวิตอันยาวนานของเขาได้เคยประสบพบเจอเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
ครั้งที่หนึ่งคือการต่อสู้ภายในชิงซานเมื่อหกร้อยปีก่อน เขาตามศิษย์พี่ไปกินหม้อไฟ ก่อนจะถือกระบี่เดินขึ้นไปบนยอดเขามั่วเฉิง
ครั้งที่สองคือเมื่อสามร้อยปีก่อน เขากับหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงกินหม้อไฟ ก่อนจะถือกระบี่เดินเข้าไปหาศิษย์พี่
ส่วนอีกครั้งหนึ่งก็คือวันนี้
……
……
ภายในอุโมงค์ทางเดิน เจตน์กระบี่ได้หลบซ่อนเข้าไปในผนังหินจนหมด รับรู้ถึงพลังอันดุร้ายไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
แต่นอกจากสิ่งที่เล็กจิ๋วที่สุดในโลกอย่างยุงที่อยู่ในคุกสะกดมารแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะผ่านอุโมงค์เส้นนี้ไปได้
เสวี่ยจีห่มผ้าห่ม นั่งอยู่บนเตียงภายในห้องขังอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง นางพลันเงยหน้ามองไปยังที่ที่หนึ่ง
เสียงแปะเบาๆ ดังขึ้น
ผลึกน้ำแข็งที่เล็กเป็นอย่างมากเม็ดหนึ่งตกลงบนพื้น ก่อนจะแตกละเอียด มองไม่เห็นอะไร
นั่นคือยุงของคุกสะกดมารตัวหนึ่ง
จิ๋งจิ่วใช้ยุงที่ไม่มีใครมองเห็นเหล่านี้ทำเรื่องหลายเรื่อง แต่มันกลับไม่มีความหมายใดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง
ทันใดนั้นเอง เรื่องราวที่แปลกประหลาดอย่างมากได้เกิดขึ้น
บนใบหน้าของเสวี่ยจีพลันมีเส้นเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาเส้นหนึ่ง มันยืดยาวจากทางด้านซ้ายไปยังด้านขวา
คล้ายกับมีพู่กันที่มองไม่เห็นด้ามหนึ่งกำลังวาดภาพอยู่บนใบหน้าของนาง
เส้นเส้นนั้นเป็นสีแดงเหมือนโลหิต จากนั้นค่อยๆ แยกออกจากกันอย่างช้าๆ
เสวี่ยจีแสยะปาก หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีเสียง
คล้ายพึงพอใจต่อทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้
…………………………………………………………