มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 49 บนโลกนี้ไม่มีคนเหมือนอย่างข้า
จัวหรูซุ่ยรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ ในใจคิดว่าท่านมองข้าทำไม? ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นมาจากด้านล่าง จึงเดินไปริมหน้าต่างมองลงไป
บริเวณโถงของเหลาสุราภายในที่พักเซียนมีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ นักเล่านิทานผู้นึงยืนอยู่ข้างโต๊ะ พลางกล่าวด้วยอารมณ์ตื่นเต้นว่า “เมื่อวานพวกเราเล่าถึงงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ดอกเหมยเลือดที่อยู่ในภาพผืนนั้นกระจัดกระจายเป็นดวงดวง ไม่สามารถนับได้ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ว่ากันว่าตอนนี้ภาพภาพนั้นถูกฝ่าบาทเก็บซ่อนเอาไว้ภายในวัง ก็เหมือนกับหมากล้อมกระดานนั้น งานประลองวิถีพรตดำเนินมาถึงตอนนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วนั้นไม่มีใครสามารถต่อกรได้แล้ว แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าในเวลานี้เอง ที่ราบหิมะพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน….”
จิ๋งจิ่วย่อมไม่สนใจฟังเรื่องเหล่านี้ เขาเดินเข้าไปนั่งในห้อง ส่งสัญญาณบอกให้กู้ชิงตักน้ำแกงขาวให้ตนเองชามหนึ่ง
กู้ชิงรู้สึกตกใจ รีบตักน้ำแกงมาชามหนึ่ง ฟองที่อยู่บนน้ำแกงก็ตักออกจนสะอาด ไม่มีคราบน้ำมันเลยแม้แต่หยดเดียว
หลิ่วสือซุ่ยสังเกตเห็นถึงรายละเอียดนี้ รู้สึกนับถือเป็นยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วจิบชาเป็นบางครั้ง น้อยครั้งนักที่จะกินข้าว กระทั่งในตอนที่กินหม้อไฟเป็นเพื่อนเจ้าล่าเยวี่ย ส่วนใหญ่เขาก็เพียงแค่คีบผักขึ้นมาใบหนึ่ง การที่ตักน้ำแกงขึ้นมาดื่มเหมือนอย่างวันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นน้อยมาก นี่แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่เลวเลยจริงๆ มิใช่เป็นเพราะเรือนอี้เหมารับปากว่าจะรักษาจุดยืนที่เป็นกลางในศึกแย่งชิงราชบัลลังก์ หากแต่เป็นเพราะงานแต่งงานของหลีเกอร์งานนั้น
การช่วยให้คนแต่งงานได้สำเร็จ สำหรับสำนักฌานแล้วถือว่าเป็นบุญ และในด้านนี้เขากับศิษย์พี่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากวัดกั่วเฉิงเป็นอย่างมาก
น้ำแกงภายในชามเป็นสีขาวนวล มองดูเหมือนจะมีรสชาติเข้มข้น แต่กลับไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย เขาดื่มลงไปคำหนึ่ง พบว่าเครื่องที่ใช้ทำน้ำแกงนั้นคือน้ำเต้าหู้ แล้วก็ยังมีหัวเชื้อน้ำแกงกับมันหมูผัดกระเทียมและเห็ดอีกสองสามอย่าง
นี่เป็นเพราะการรับรู้ที่เฉียบคมและความทรงจำในวัยเด็ก มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสนใจในอาหาร
การกินมีไว้เพื่อดำรงอยู่ แต่กลับถูกคนธรรมดาทำให้มันซับซ้อนถึงเพียงนี้ เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยจำเป็น จึงส่ายศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย
กู้ชิงนึกว่าเขาไม่ชอบเสียงดังวุ่นวายที่ดังมากจากด้านล่าง จึงโบกมือปล่อยเจตน์กระบี่แบกสวรรค์ออกมากลายเป็นข่ายพลังเล็กๆ ข่ายหนึ่ง ปิดกั้นเสียงและกลิ่นจากโลกภายนอกเอาไว้
หลิ่วสือซุ่ยถอนใจออกมาอีกครั้ง ในใจคิดว่าศิษย์น้องกู้ชิงนั้นยอดเยี่ยมกว่าตนนัก คุณชายมีเขาคอยรับใช้ดูแล ตนเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงอีก สามารถตั้งใจเรียนหนังสืออยู่ที่เรือนอี้เหมาได้
นักเล่านิทานที่อยู่ด้านล่างกำลังเล่าถึงเรื่องราวหลังจากนั้นอีกหกปี กู้ชิงและเซี่ยงหว่านซูพาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินทางเข้าไปในที่ราบหิมะ ใกล้จะพบเจอจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่า ในเวลานั้นจัวหรูซุ่ยกำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในถ้ำบนยอดเขาเทียนกวง ไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องราวนี้ จึงฟังอย่างออกรสออกชาติ ทันใดนั้นพบว่าเสียงพลันหายไป จึงอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ เขากล่าวกับกู้ชิงว่า “ทำไมต้องมาตัดไปในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ด้วย?”
กู้ชิงยิ้มๆ กล่าวถามว่า “เหตุใดคนธรรมดาถึงรู้เรื่องราวของอาจารย์?”
“สำหรับคนธรรมดาแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตนั้นมิได้ต่างอะไรกับเซียน ดังนั้นย่อมต้องมีข่าวลือบางอย่างเล็ดรอดออกมาบ้าง”
กู้ชิงนั่งลงพลางกล่าวว่า “คนอย่างอาจารย์อาเล็ก ในโลกมนุษย์เกรงว่าคงจะมีชื่อเสียงโด่งดังกว่านักพรตไป๋เสียอีก”
การที่จิ๋งจิ่วมีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้ย่อมต้องเป็นเพราะเหตุผลสองสามข้อนั้น อย่างเช่นความมหัศจรรย์ต่างๆ ในเรื่องเล่าเหล่านั้น
น้ำแกงที่อยู่ภายในหม้อไฟเดือดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ผักต่างๆ ถูกทยอยใส่ลงไปในหม้อ ทั้งสี่คนเริ่มกินอาหาร ไม่มีใครพูดจา ภายในห้องส่วนตัวเงียบสงัด ได้ยินแต่เพียงเสียงเดือดของน้ำแกง เสียงลอยขึ้นลงของใบผัก และเสียงเนื้อที่สัมผัสถูกขอบหม้อที่ร้อนระอุ
การกินโดยไม่พูดนั้นไม่เข้ากับนิสัยของจัวหรูซุ่ย ถึงแม้จะเคยอยู่กับจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยในวังแคว้นฉู่ในดินแดนแห่งความฝันมาระยะหนึ่ง เขาก็รู้สึกยังไม่ชิน เขากินเนื้อแพะติดมันหมดไปเจ็ดจานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกชาขึ้นมาดื่มล้างปาก จากนั้นหยิบเอาเมล็ดทานตะวันกำหนึ่งเดินออกไปจากห้องส่วนตัวเพื่อไปฟังเรื่องเล่าต่อ
เขาผลักประตูออกไป ข่ายพลังย่อมต้องเปิดออกเป็นช่อง
เสียงของนักเล่านิทานดังลอยเข้ามาอีกครั้ง
“ดูอย่างการแต่งงานที่สร้างความตกตะลึงไปทั้งเมืองเจาเกอครั้งนี้ เรียกได้ว่าไม่เหมาะสมกันเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ท่านจิ๋งจะเป็นขุนนางใหญ่ของวัดไท่ฉาง แต่จะไปเทียบกับท่านอัครมหาเสนาบดีได้อย่างไร? เช่นนั้นเหตุใดสุดท้ายท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินถึงได้ยอมยกหลานสาวคนเล็กสุดที่รักให้แต่งกับคุณชายตระกูลจิ๋ง? นี่ย่อมต้องมิใช่เป็นเพราะว่าคุณชายตระกูลจิ๋งเป็นเพื่อนเรียนหนังสือขององค์ชายสอง หากแต่มีความเกี่ยวข้องกับความลับที่สำคัญที่สุดอันนั้นของตระกูลจิ๋ง….”
ประตูห้องปิดลง ข่ายพลังปิดกั้นเสียงอีกครั้ง
จิ๋งจิ่ววางชามน้ำแกงที่อยู่ในมือลง
จัวหรูซุ่ยกินเนื้อแพะหมดไปเจ็ดจานแล้วลงไปฟังเรื่องเล่าที่ด้านล่าง กู้ชิงกินผักหมดไปตะกร้าหนึ่งแล้วกำลังเริ่มต้มผักใหม่ แต่เขาเพิ่งจะดื่มน้ำแกงขาวที่อยู่ในชามหมด
หลิ่วสือซุ่ยรีบลุกขึ้นเก็บชามและตะเกียบที่อยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่วไป ก่อนจะเอาชาที่พึ่งจะต้มใหม่เทลงไปในถ้วย จากนั้นวางลงตรงหน้าเขา
กู้ชิงนั่งลงไปบนเก้าอี้ มองดูเปลวไฟอย่างเงียบๆ พลางเขี่ยฟองที่อยู่ในน้ำแกงเป็นครั้งคราว
จิ๋งจิ่วมองดูกู้ชิง จากนั้นคิดถึงปู้ชิวเซียวขึ้นมาอีกครั้ง ในใจคิดว่าศิษย์คนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ในสายตาเผยแววตาชื่นชมออกมา
กู้ชิงรู้สึกตกใจอีกครั้ง แล้วก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา ในใจคิดว่าวันนี้ตัวเองทำเรื่องอะไรถูกกันแน่?
จิ๋งจิ่วกล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “หลังจบงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เจ้ากลับไปยังเรือนอี้เหมาแล้วตั้งใจเรียนหนังสือ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่าอยู่ที่เรือนอี้เหมาสบายมากขอรับ”
จิ๋งจิ่วคิดได้ตั้งแต่แรกแล้วว่านิสัยของเหล่าบัณฑิตที่เรือนอี้เหมานั้นจะต้องเข้ากันได้กับหลิ่วสือซุ่ยอย่างแน่นอน เขาถึงได้ให้หลิ่วสือซุ่ยไปที่นั่น
กู้ชิงกล่าวว่า “สถานะของเสี่ยวเหอไม่มีปัญหาอะไรในราชสำนัก แต่นางนั้นเป็นปีศาจจิ้งจอก นิสัยของเรือนอี้เหมาท่านเองก็รู้ดี อย่าให้นางเข้าไปในระเบียงลมลึกนัก”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ข้าจะคอยเตือนให้นางระวัง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไปเถอะ”
นี่คือการบอกให้หลิ่วสือซุ่ยออกไป
หม้อไฟกินเสร็จแล้ว เรื่องที่ควรจะเตือนก็พูดจบแล้ว แล้วจะอยู่ที่นี่ทำไมอีก?
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย กล่าวว่า “คุณชาย ท่านไม่โกรธ… ใช่ไหมขอรับ?”
จิ๋งจิ่วมองดูเขา
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าหากตัวเองยังถามต่อไป คุณชายจะโกรธขึ้นมาจริงๆ อย่างแน่นอน จึงรีบเดินออกไป
……
……
“…นอกจากสภาวะที่สูงส่ง พรสวรรค์ที่สูงส่ง ความอาวุโสที่สูงส่ง ใบหน้าและกิริยาท่าทางของอาจารย์เซียนก็ยังเป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นเหมือนคนที่อยู่ในรูปวาด ไม่สิ เป็นเซียนอย่างแท้จริง!”
เสียงของนักเล่านิทานดังเข้ามาในห้องอีกครั้ง
……
……
จัวหรูซุ่ยเดินเข้ามาในห้อง ปิดประตูแล้วมองจิ๋งจิ่ว ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านจะให้เขาไปแบบนี้หรือ?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ หรือเจ้าคิดจะเลี้ยงขนมสือซุ่ยอีก?
กู้ชิงเองก็ค่อนข้างเป็นห่วง กล่าวว่า “ศิษย์พี่สือซุ่ยดูแล้ว… เหมือนจะชอบเรือนอี้เหมาจริงๆ นะขอรับ”
จัวหรูซุ่ยเดินมาข้างโต๊ะ ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “หากเขาไปอยู่กับเรือนอี้เหมาจริงๆ จะทำอย่างไร?”
สำหรับเขาแล้ว หลิ่วสือซุ่ยกับตนเองล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แล้วจะปล่อยเขาให้ออกไปจากชิงซานได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่านี่มีอะไรให้ต้องกังวล หากหลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่เรือนอี้เหมา ต่อให้ภายหน้าไม่อาจแย่งตำแหน่งเจ้าเรือนกับซีอี้อวิ๋นได้ แต่เขาก็จะต้องกลายเป็นคนสำคัญภายในเรือนอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเรือนอี้เหมาก็จะเอนเอียงมาทางชิงซานมากกว่าตอนนี้
หลักเหตุผลนี้ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน ก็เหมือนกับที่เฉาหยวนอยู่ที่นิกายเฟิงเตา ตอนนี้นิกายเฟิงเตาก็กลายเป็นพันธมิตรและผู้สนับสนุนที่มั่นคงที่สุดของวัดกั่วเฉิง
ฉานจึอยู่ที่วัดกั่วเฉิง วัดกั่วเฉิงก็ใกล้ชิดกับชิงซาน
ศิษย์เขาอวิ๋นเมิ่งจำนวนมากไปอยู่สำนักอื่นหรือว่าไปเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก ดังนั้นสำนักงานส่วนใหญ่บนแผ่นดินทางเหนือ จึงกลายเป็นลูกน้องของสำนักจงโจว ผู้สนับสนุนทั้งในและนอกราชสำนักเองก็มีอยู่มากมาย ฮ่องเต้อยากจะแต่งตั้งรัชทายาทถึงได้ยากลำบากขนาดนี้
ภายใต้ท้องฟ้า ล้วนแต่มีเรื่องราวเก่าแก่
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วไม่สนใจ จัวหรูซุ่ยเองก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาคิดถึงเรื่องราวในวันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ว่า “อาจารย์อา ท่านไปพูดกล่อมปู้ชิวเซียวอย่างไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจแล้ว สวมหมวกลี่เม่าแล้วเดินออกไปจากห้องส่วนตัว
ภายในโถงที่อยู่ด้านล่าง นักเล่านิทานเล่าเรื่องมาสองวันติด กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของเรื่องราวพอดี
“….. บนโลกไม่มีคนแบบนี้อีกแล้ว”
สิ้นเสียงทอดถอนใจของนักเล่านิทาน ทั้งสามคนเดินออกมาจากเหลาสุราของที่พักเซียน หายตัวไปในยามค่ำคืน
……
……
จัวหรูซุ่ยพาศิษย์ชิงซานเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาย่อมต้องกลับไปยังที่พัก
จิ๋งจิ่วพากู้ชิ่งเข้าไปในวังหลวง อันดับแรกคือไปยังตำหนักที่พักของพระสนมหู
พระสนมหูคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้ามาในวังดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ จึงรีบสวมเสื้อคลุมปิดบังร่างกายที่อ่อนแอ้นอรชร ก่อนจะตะโกนนางกำนัลให้ไปเรียกจิ่งเหยามา
“ไม่ต้อง ข้าแค่จะมาพูดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “กู้ชิงจะอยู่ที่นี่ปีหนึ่ง พักอยู่ในตำหนักนี้แหละ ค่อนข้างปลอดภัย”
พระสนมหูได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าเขามิใช่ขันทีเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่ทำเหมือนเมื่อก่อนนี้ที่ทุกวันเข้าวังมาสอนเหยาเอ๋อร์?
กู้ชิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยสะดวกเช่นเดียวกัน ในขณะที่คิดจะพูดอะไรออกไป เขาพลันเข้าใจเจตนาของอาจารย์ องค์ชายจิ่งซินเป็น คนที่สำนักจงโจวเลือกเอาไว้ให้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ตอนนี้เมื่อเรือนอี้เหมาเป็นกลาง ความขัดแย้งอาจจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ หากเขายังอยู่นอกวัง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกคนใช้ประโยชน์ หรือพูดอีกอย่างก็คือข่มขู่
จิ๋งจิ่วกล่าวกับกู้ชิงว่า “หลังจากนี้หนึ่งปี หากไม่มีพระราชโองการอะไรลงมา เจ้าก็รีบกลับชิงซานทันที”
ตอนนี้กู้ชิงอยู่ในสภาวะคเนจรระดับต้น ยังอยู่ในช่วงที่มีความมั่นคง ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวบำเพ็ญเพียร แต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้นานวันเข้า มันจะส่งผลเสียต่อการบำเพ็ญเพียรอย่างมาก
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็เดินออกจากตำหนักไป
ตำหนักในเวลาค่ำคืนเงียบสงัด บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน
กู้ชิงหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกตำหนัก ตะโกนเรียกขันทีคนหนึ่งให้จัดที่พักให้ตนเอง บอกว่ายิ่งไกลยิ่งดี
มือของพระสนมหูกำเสื้อเอาไว้แน่น
……
……
“อันดับแรกคือต้องมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของจิ่งเหยา” จิ๋งจิ่วกล่าวกับฮ่องเต้ “ถึงแม้ตามหลักแล้วสำนักจงโจวจะไม่มีทางทำอะไรบ้าคลั่งเช่นนั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะ”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ข่ายพลังวังหลวงอยู่ที่นี่ ต่อให้นักพรตถานและนักพรตไป๋มาเองก็ยากที่จะฝ่าเข้ามาได้ เพียงแต่เหยาเอ๋อร์และกู้ชิงคงต้องลำบากหน่อย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญพรตเก็บตัวเป็นสิบปี ถ้าหากกระทั่งหนึ่งปีเขายังทนไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีอนาคตอะไร”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ท่านอย่าได้หวังจะให้ข้ามีลูกอีกคนหนึ่ง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในสวนดอกเหมยเก่าวันนั้น ความจริงปู้ชิวเซียวก็มีความคิดเช่นนี้”
จิ่งซินเป็นตัวเลือกของสำนักจงโจว จิ่งเหยาเป็นตัวเลือกของสำนักชิงซาน เมื่อก่อนนี้เรือนอี้เหมาสนับสนุนจิ่งซิน นั่นก็เป็นเพราะว่าเหล่าบัณฑิตภายในเรือนไม่สามารถยอมรับตัวตนของพระสนมหูได้
หากฮ่องเต้ยินดีมีลูกอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เรื่องนี้ก็จะมีทางออกได้
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าฮ่องเต้ไม่ยินดีที่จะมีลูกกับผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือจากพระสนมหู
ฮ่องเต้กล่าวถามว่า “ท่านเกลี้ยกล่อมเจ้าเรือนอย่างไรกันแน่?”
จัวหรูซุ่ยเองก็อยากรู้คำตอบนี้
ทุกคนต่างก็อยากรู้คำตอบนี้
จิ๋งจิ่วยังคงไม่พูด หลิ่วสือซุ่ยเองก็ไม่มีทางพูด เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป สักวันมันจะกลายเป็นความลับอย่างแท้จริง
นี้อาจจะไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับเหอจานซักเท่าไหร่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเหอจานกับปู้ชิวเซียวเช่นเดียวกัน ไยชิงซานต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับกรรมส่วนนี้ด้วย
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าเป็นฮ่องเต้มานานมากแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะไม่ถูกพวกวิชาน่าเบื่ออย่างศิลปะการเป็นฮ่องเต้พวกนั้นส่งผลกระทบ แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นสายเลือดของตระกูลจิ่ง มิใช่ฮ่องเต้คนธรรมดาที่ไร้พลัง ที่พอใครไม่เชื่อฟังก็ฆ่าทิ้งพวกนั้น”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “การปกครองอาณาจักรต้องระวังให้มากเข้าไว้ ท่านไม่รู้เรื่องก็อย่าได้ออกความเห็นวุ่นวาย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าเชี่ยวชาญในการปกครองจริงๆ ทำไมผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ในราชสำนักยังมีแต่คนของเขาอวิ๋นเมิ่งอยู่?”
ฮ่องเต้หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “อย่างนั้นท่านมาเป็นฮ่องเต้เองไหม?”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกตำหนัก
ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงใช้วิธีนี้เหมือนอย่างหลิ่วฉือเป็นด้วย?
……
……
จิ๋งจิ่วเตรียมกลับชิงซาน
เรื่องของเสวี่ยจีก็บอกฮ่องเต้ไปแล้ว เรื่องงานแต่งของจิ๋งหลีก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เรือนอี้เหมาก็เกลี้ยกล่อมแล้ว เขาย่อมไม่ต้องอยู่ที่เมืองเจาเกออีก
ออกมาจากวังหลวงได้ไม่ไกลก็มีตรอกที่มืดสลัวอยู่แห่งหนึ่ง ต้นไม้ใหญ่ริมถนนบดบังแสงดาว มืดจนดูน่าหวาดกลัว
ใจแห่งเต๋าของเขาสั่นไหวเล็กน้อย สัมผัสได้ว่ามีคนคล้ายกำลังจ้องมองดูตัวเองอยู่
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใครกันที่สามารถหลบหลีกจิตจำแนกแห่งกระบี่ของเขามาถึงข้างกายเขาได้? หรือว่าคนผู้นั้นจะอยู่ห่างออกไปไกลมาก
แสงดาวถูกกิ่งไม้ตัดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตกกระทบลงบนหมวกลี่เม่าของเขาเหมือนเกล็ดหิมะ
รอบด้านไม่มีใคร
นอกเสียจากคนผู้นั้นจะเป็นเหมือนอย่างเขา ถึงจะสามารถหลบสายตาเขาไปได้
แต่ก็เหมือนอย่างที่คนเล่านิทานว่าเอาไว้ บนโลกไม่มีใครเป็นเหมือนเขาอีก
อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ต้องไม่ใช่คน
จิ๋งจิ่วหมุนตัวมองไปทางเงามืดที่อยู่ใต้ต้นไม้ กล่าวว่า “ออกมา”
………………………………………