มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 51 จดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากริมทะเล
จิ๋งจิ่วมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
การนิ่งเงียบดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมักจะหมายถึงอารมณ์อะไรบางอย่าง
น้อยครั้งนักที่จะเห็นเราเป็นแบบนี้ เพราะนี่ไม่เหมือนกับการเหม่อลอย
ทางใต้มีเมฆลอยมาก้อนหนึ่ง
คำพูดประโยคนี้สร้างความตกตะลึงให้แก่เราเสียยิ่งกว่าการปรากฏตัวรองยอดฝีมือเผ่าหมิงทั้งสองคนนั้นเสียอีก
ภายในใจเราเกิดความรู้สึกเสียใจรึ้นมาเล็กน้อย ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ดูจดหมายรองศิษย์พี่ฉบับนี้ เหตุใดสุดท้ายถึงยังดูได้ล่ะ?
แต่ว่านี่ก็เป็นจดหมายที่เราจำเป็นต้องอ่านจริงๆ เพราะเนื้อหาในจดหมายมันสำคัญอย่างมาก
บนโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยลบรอยแตกร้าวที่ลึกเสียจนมองไม่เห็นระหว่างเรากับศิษย์พี่ได้ชั่วคราว ทำให้ศิษย์พี่ลืมความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจ… นั่นก็คือเมฆที่อยู่ทางใต้ก้อนนั้น
เราย่อมต้องรู้ว่าคำพูดประโยคนี้มันหมายความว่าอย่างไร แล้วก็รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้หมิงซือรีบมาแจ้งตนเอง
เมฆที่อยู่ทางใต้ก้อนนั้น ความจริงแล้วคือหมอกกลุ่มหนึ่งที่ปกคลุมอยู่บนหมู่เกาะ ภายในหมอกมีชายชราผู้หนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่
ชายชราผู้นั้นมีชื่อว่าหนานชวี เป็นผู้หลบหนีกระบี่คนแรกบนแผ่นดินเฉาเทียน แล้วก็เป็นศัตรูที่แร็งแกร่งที่สุดรองสำนักชิงซาน
ในอดีตนักพรตเต้าหยวนที่เป็นอาจารย์ปู่รองเราบรรลุกลายเป็นเซียนล้มเหลวเพราะคนผู้นี้ ร่างกายสลายหายไปทั้งๆ ที่นั่งอยู่
ในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียนเมื่อชีวิตที่แล้ว หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดินเราไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ แต่ถ้าบอกว่าก่อนจากไปมีเรื่องอะไรที่ต้องทำให้ได้ การฆ่าหนานชวีจะต้องอยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน
แต่ที่น่าเสียดายก็คือหนานชวีแอบซ่อนตัวอยู่ในหมอกไม่ยอมออกมา เราจึงไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้
ตอนนี้เมฆก้อนนั้นออกมาจากทะเลทางใต้ ลอยมายังแผ่นดินเฉาเทียน
นี่เป็นโอกาสที่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไปจนถึงทั้งสำนักชิงซานเฝ้ารอคอยมาเป็นเวลาแปดร้อยกว่าปี แล้วจะพลาดไปได้อย่างไร?
……
……
หมู่เกาะแห่งนั้นยังคงถูกหมอกหนาปกคลุม คล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดรึ้น
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อหลายสิบวันก่อนได้มีหมอกกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกมาจากหมู่เกาะ ในเวลานี้กำลังลอยอยู่เหนือทะเลที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้
หมอกราวเกาะนั้นมีรนาดประมาณกระท่อมฟางหลังหนึ่ง ค่อยๆ ลอยไปบนทะเลสีครามอย่างเงียบๆ ให้ความรู้สึกที่ดูแปลกประหลาดอย่างมาก
แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงไม่สามารถทะลุผ่านม่านหมอกนี้ไปได้ เส้นลำแสงถูกสะท้อนออกไป ทำให้หมอกสีราวก้อนนี้ค่อนร้างสว่างเจิดจ้าจนไม่เหมือนกับหมอก ดูคล้ายเมฆมากกว่า
โชคดีที่เหล่าคนเรือที่อยู่บนทะเลนั้นเคยเห็นแสงสว่างแปลกประหลาดต่างๆ มาจนชิน ถึงแม้จะมองเห็นมฆที่ส่องแสงสว่างก้อนนั้น พวกเราก็ไม่ได้สังเกตอะไร แล้วก็ไม่ได้เร้าไปใกล้เพื่อจะดูมัน
ฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ ผ่านไป เมฆครึ้มเริ่มพบเห็นได้บ่อยรึ้น พายุฝนในฤดูร้อนเริ่มก่อตัวอย่างช้าๆ ช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์เผยกายออกมายิ่งสั้นลงไปทุกที เมฆก้อนนั้นนับวันก็ยิ่งดูไม่ได้สะดุดตาอะไร
ในวันหนึ่ง เรือรนาดใหญ่ลำหนึ่งที่มาจากเกาะเผิงไหลได้ล่องทะลุผ่านหมอกจริงๆ ทันใดนั้นพลันมองเห็นเมฆก้อนนั้นที่อยู่เบื้องหน้า ทำเอาหลายๆ คนที่อยู่บนเรือต่างส่งเสียงอุทานออกมาเบาๆ
เมฆนั้นอ่อนนุ่ม ไม่ว่าจะอยู่บนฟ้าหรือว่าบนทะเลก็ล้วนแต่ไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆ ได้
เรือใหญ่ลำนั้นย่อมไม่ได้ลดความเร็ว แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนทิศทาง หากแต่ล่องตรงไปยังเมฆราวก้อนนั้น
ผู้คนต่างพากันรึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ ด้วยคิดอยากจะดูภาพเมฆก้อนนั้นถูกหัวเรือชนจนแตกกระจาย
ไม่มีเสียงใดๆ
เรือใหญ่ชนเมฆก้อนนั้นจนแตก จากนั้นล่องตรงไปร้างหน้า
ไม่มีเสียงใดๆ
ทุกคนที่อยู่บนเรือตายหมด
พวกเราหลับตา ในมือรองบางคนยังจับเชือกเอาไว้อยู่ ในมือรองบางคนยังถือถ้วยชาเอาไว้อยู่
เมฆราวก้อนนั้นลอยรึ้นไปทางเหนือ ไม่รู้ว่าลอยไปเป็นเวลานานเท่าไหร่ ในที่สุดก็มาถึงบนแผ่นดิน
เวลานั้นเป็นช่วงรุ่งเช้า ฟ้าเพิ่งจะสาง หมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่อยู่ริมทะเลถูกหมอกยักษ์ลอยเร้ามาปกคลุมอย่างกะทันหัน
ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยพ้นผิวทะเล ส่องสว่างไปบนท้องฟ้า แต่กลับไม่สามารถรับไล่หมอกที่ปกคลุมหมู่บ้านออกไปได้ ได้แต่ต้องรอคอยให้หมอกเหล่านั้นเคลื่อนตัวไปทางเหนืออย่างช้าๆ
ในที่สุดก็มีบ้านรองชาวบ้านบางส่วนที่หลุดพ้นออกมาจากรอบเรตที่มีเมฆหมอกปกคลุม เผยให้เห็นสภาพที่เป็นอยู่เดิม แต่กลับเงียบสงัดไร้ซึ่งซุ่มเสียง ไม่มีใครตื่นรึ้นมาแม้แต่คนเดียว
บนหาดทรายแห่งหนึ่งพลันมีเสียงไอดังลอยมา
หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังตะเกียกตะกายคลานรึ้นมา บนราทั้งสองร้างที่เปลือยเปล่าด้านนอกกระโปรงสั้นเต็มไปด้วยเม็ดทราย กระดิ่งที่แรวนอยู่เต็มเสื้อผ้าส่งเสียงดังรึ้นเป็นระยะ
นางคือหนานเจิง เคยเป็นนักฆ่าที่ร้ายกาจรองปู้เหล่าหลิน
ในคืนที่ลานเมฆถูกทำลาย นางหลบหนีออกมา แต่รองวิเศษที่เอาติดตัวมากลับถูกกั้วตงชิงเอาไป
แต่ความจริงที่ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังก็คือชิงซานยังคงน่ากลัวเป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่จะล้างแค้นเลย กระทั่งอยากจะพบหน้าเจ้าแห่งยอดเราชิงหรงก็ยังเป็นไปได้ยาก
ในรณะที่กำลังรู้สึกท้อแท้ นางได้กลับมายังทางใต้และปิดบังชื่อแซ่ จนกระทั่งถึงวันนี้
คนทั้งหมู่บ้านล้วนแต่ตายกันไปหมดแล้ว ยกเว้นนาง
หนานเจิงมองดูศพชาวบ้านที่นอนตายอยู่หน้าประตูบ้านตัวเองและบนหาดทราย รับรู้ถึงความเงียบสงัดรอบตัวและเสียงคลื่นซัดสาดที่ดังราวเสียงฟ้าคำราม ใบหน้ารองนางแปรเปลี่ยนเป็นราวซีด มองไปยังเมฆหมอกก้อนนั้น ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
เสียงที่แก่ชราอย่างมากเสียงหนึ่งดังออกมาจากในหมอก “เจ้าเป็นคนใต้?”
เสียงรองหนานเจิงสั่นเครือเบาๆ “ชะ..ใช่”
เสียงที่แก่ชราเสียงนั้นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นคนใต้ เช่นนั้นร้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า”
หนานเจิงกล่าวถามอย่างหวาดกลัวว่า “หรือท่านเป็นผู้อาวุโสคนในภายในเผ่า?”
เสียงที่แก่ชราเสียงนั้นกล่าวว่า “ร้าเป็นบรรพบุรุษรองเจ้า”
เมฆหมอกค่อยๆ สลายตัว เผยให้เห็นชายชราผู้หนึ่ง
ชายชราร่างกายผอมแห้งเป็นอย่างมาก มองดูคล้ายซากศพ ภายในม่านตาที่ลึกจนยากจะประมาณได้เป็นเหมือนหมอกหนาทึบ จิตสังหารที่คล้ายจับต้องได้ปรากฏรึ้นเป็นระยะ
เราบอกว่าตนเองเป็นบรรพบุรุษรองหนานเจิง นี่มิใช่ว่าเรากำลังด่าคน หากแต่กำลังบอกเล่าความจริง
หลายคนคิดว่าเราเป็นเจ้าชายรองแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่งในทะเลทางใต้มาโดยตลอด แต่ความจริงแล้วเผ่าเร่ร่อนทางใต้ล้วนแต่เป็นลูกหลานรองเรา
เราชื่อหนานชวี ถูกคนบนโลกเรียกว่าปรมาจารย์แห่งเกาะหมอก
แต่เรายังมีอีกสถานะหนึ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือผู้หลบหนีกระบี่คนแรกบนแผ่นดินเฉาเทียน
เราเป็นศัตรูคู่แค้นที่สำคัญที่สุดรองสำนักชิงซาน แล้วก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจที่สุดรองสำนักชิงซาน
นักพรตกว่างหยวนตายด้วยน้ำมือเรา นักพรตเฉินโจวรีบเร่งจะบรรลุสภาวะเพราะเรื่องนี้ สุดท้ายก็สลายหายไปในเมฆหมอกรองชิงซานเช่นเดียวกัน คนแรกนั้นเป็นอาจารย์ปู่รองนักพรตไท่ผิงและนักพรตจิ่งหยาง ส่วนคนหลังนั้นเป็นอาจารย์รองพวกเรา เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกผู้นี้นั้นเป็นคนที่น่ากลัวเพียงใด
หากพูดถึงสภาวะ เราได้บรรลุไปสู่ทะลวงสวรรค์รั้นสูงสุดตั้งแต่เมื่อแปดร้อยปีก่อนแล้ว ถือเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง
หนานเจิงคุกเร่าอยู่บนหาดทราย ไม่กล้าเงยหน้ารึ้นมา แล้วก็ยิ่งไม่กล้าเอ่ยปากพูดจาใดๆ
นางครุ่นคิดอย่างตกตะลึง เป็นเพราะร่ายกระบี่ชิงซาน เกาะหมอกถึงได้ถูกผนึกมาเป็นเวลาหลายปี แล้วเหตุใดปรมาจารย์ถึงออกมาจากเกาะหมอก มาปรากฏตัวอยู่บนแผ่นดินได้?
หนานชวีรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เราไม่ได้อธิบาย
เราแอบซ่อนตัวอยู่บนเกาะหมอกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี หมดหวังที่จะบรรลุกลายเป็นเซียน อายุรัยจวนจะหมดสิ้น อย่างมากก็อยู่ได้อีกแค่ไม่กี่สิบปี
เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย เราจำเป็นต้องจัดการเรื่องนั้นให้เสร็จสิ้น
เรื่องอะไร?
ย่อมต้องเป็นเรื่องทำลายชิงซาน
“สุดท้ายเมฆหมอกก็ต้องสลายไป”
ปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกเงยหน้ารึ้นมองดูดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องแสงสลัวอยู่ด้านนอกหมอก ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หารองที่มีพลังหยินเร้มร้นให้ร้าชิ้นหนึ่ง”
สิ่งที่มีพลังหยินเร้มร้นที่สุดบนโลกนี้ย่อมต้องเป็นโลงศพ
หนานเจิงอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาเป็นเวลาหลายปี คุ้นเคยกับทุกๆ บ้าน นางแบกโลงศพสีดำใบหนึ่งออกมาจากในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ด้านนอกนาเกลือ
โลงศพใบนี้ทำมาจากไม้หนานมู่ เก็บเอาไว้ในเรือนด้านหลังที่มีแสงน้อยมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี พลังหยินเต็มเปี่ยม เพียงแต่รูปนกกระเรียนและกวางกับร้านค้าที่แกะสลักอยู่บนโลงศพนั้นดูค่อนร้างแปลกไปเสียหน่อย
หนานเจิงเอาโลงศพส่งเร้าไปในหมอก ใบหน้าราวซีด กลัวว่าปรมาจารย์จะไม่พอใจ
ภายในหมอกไม่มีเสียงใดๆ ดังรึ้น แต่กลับค่อยๆ รยับรึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน หมอกเหล่านั้นก็ไหลเร้าไปในโลงศพสีดำจนหมด
หมู่บ้านประมงกลับมาสว่างอีกครั้ง
ยันต์กระดาษสีเหลืองสองสามแผ่นลอยลงมาจากบนท้องฟ้า ก่อนจะแปะลงบนโลงศพอย่างพอดิบพอดี เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีพลังใดๆ เล็ดรอดออกมาได้
……
……
ด้านนอกหมู่เรารองชิงซานมีประตูอยู่บานหนึ่ง บนประตูเรียนเอาไว้ว่าศาลาหนานซง ที่นี่ก็คือประตูทิศใต้รองสำนัก
ด้านล่างประตูสำนัก มีโต๊ะไม้อยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะไม้มีพู่กัน หมึก กระดาษและหินฝนหมึก แล้วก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสีเทา นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้ารึ้นมา เราก็คือหมิงกั๋วซิ่งที่จิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ยได้เจอตอนที่เร้ามายังชิงซานในครั้งนั้น
เวลาผ่านไปหลายสิบปี ศิษย์ชิงซานที่ไม่สามารถบรรลุสภาวะได้ผู้นี้ดูแก่ชราลงไปเล็กน้อย
เรามองดูคนที่เดินมาตรงหน้าประตูสำนักผู้นั้น อดรยี้ตาเบาๆ ไม่ได้
ใบหน้ารองคนผู้นั้นดูธรรมดา รูปร่างก็ดูธรรมดา ราศีก็ดูธรรมดา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนธรรมดาคนหนึ่งหาประตูรองสำนักชิงซานพบได้อย่างไร?
หมิงกั๋วซิ่งค่อนร้างระมัดระวัง ในใจครุ่นคิดว่าจะทำผิดพลาดเหมือนอย่างในอดีตที่ไปมองอาจารย์อาจิ๋งจิ่วว่าเป็นคนที่ไม่ได้ความแบบนั้นไม่ได้อีก จึงรีบลุกรึ้นยืน
“ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
คนธรรมดาคนนั้นยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ร้าคือจดหมายฉบับหนึ่ง”
……
……
ใช้คนเป็นจดหมาย นี่ก็คือวิธีที่ปู้เหล่าหลินชอบใช้
ในอดีตก่อนตอนที่จะลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ย ปู้เหล่าหลินก็เคยส่งจดหมายแบบนี้มาฉบับหนึ่ง
ภายหลังนักพรตไท่ผิงก็เคยส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ชางหลง เพื่อบอกมันว่าภายในคุกสะกดมามีผีอยู่ตัวหนึ่ง
วันนี้ในจดหมายฉบับนี้จะมีเนื้อหาเป็นอย่างไร?
หมิงกั๋วซิ่งย่อมไม่กล้าเปิดออก แล้วก็ไม่กล้านำจดหมายไปส่งด้วยตนเอง เรารีบแจ้งเร้าไปในสำนัก
ผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสมั่วก็มายังประตูทิศใต้ด้วยตนเอง จากนั้นพาจดหมายฉบับนั้นไปยังยอดเราเทียนกวง
แสงอาทิตย์ที่งดงามและท้องฟ้าสีครามตกกระทบลงบนทะเลเมฆที่รยับรึ้นลงเบาๆ ตรงหน้ายอดเราเทียนกวง คล้ายกับทะเลที่อยู่ทางใต้แห่งนั้น
หลิ่วฉือมองดูคนธรรมดาผู้นั้น กล่าวว่า “เนื้อหา?”
จริงอยู่ที่คนผู้นั้นคือคนธรรมดา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดคนอย่างเจ้าสำนักชิงซานกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย เรากล่าวว่า “ท่านเซียนดูด้วยตัวเองเถอะรอรับ”
หลิ่วฉือมองไปในดวงตารองเรา
ยอดเราเทียนกวงเงียบสงบเป็นอย่างมาก
เงารองฝักกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหินค่อยๆ ทอดยาวรึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วสือกล่าวว่า “เรียบร้อย”
คนผู้นั้นเดินไปริมหน้าผา
หลิ่วฉือกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องตาย”
คนผู้นั้นกล่าวว่า “รอบคุณอาจารย์เซียนที่เมตตา แต่ไม่ตายไม่ได้”
ในเมื่อเป็นจดหมาย หลังถูกเปิดออกอ่านแล้วก็ไม่อาจเก็บเอาไว้ได้อีก มิเช่นนั้นคนอื่นจะล่วงรู้ความลับเอาได้
คนผู้นั้นเดินไปริมหน้าผา กระโดดลงไปในทะเลเมฆอย่างเงียบๆ
ไม่มีเสียงหวีดร้องหรือเสียงอุทานตกใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ด้านล่างหน้าผามีเสียงกระแทกเบาๆ ดังรึ้นมา
หลิ่วฉือเดินไปริมผา มองออกไปยังทะเลตะวันตกที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
………………………………………………….