มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 74 เรื่องราวของสำนักจงโจว
นักพรตไท่ผิงหนีไปแล้ว
ทว่าบรรยากาศบนทะเลตะวันตกกลับยิ่งตึงเครียด
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตจากแต่ละสำนักต่างมองดูเหล่าผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของสำนักชิงซาน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและตกตะลึง
ส่วนผู้อาวุโสและเหล่าลูกศิษย์ของสำนักชิงซานต่างจ้องมองไปยังเรือเมฆของสำนักจงโจว สายตาที่ดุร้ายเกรี้ยวกราดต่างมองไปยังถงเหยียน
จิ๋งจิ่วเองก็มองดูถงเหยียน
เรือกระบี่ของชิงซานสิบกว่าลำ ผู้ฝึกกระบี่ของชิงซานเกือบพันคน แต่ถงเหยียนกลับรับรู้ถึงสายตาของจิ๋งจิ่วได้อย่างชัดเจน เขางุนงงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าทักทาย
“ถงเหยียนแสร้งทำเป็นทรยศสำนัก แบกรับความอัปยศและภาระอันหนักอึ้งมาเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดก็ได้รับความเชื่อใจจากเจี้ยนซีไหลและเข้ามายังที่นี่ได้ ก่อนจะหาหลักฐานที่นักพรตไ ไท่ผิงร่วมมือกับสำนักกระบี่ซีไห่จนพบ ยอมสูญเสียยันต์เซียนไปแผ่นหนึ่งเพื่อที่จะกำจัดมารชั่วผู้นี้ ทว่าสำนักชิงซานของพวกท่านไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกขอบคุณ กลับยังหันกระบี่ใส ส่เขา นี่พวกท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
นักพรตไป๋ยืนอยู่ตรงหัวเรือ มองดูหลิ่วฉือพลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าอยากจะขอคำชี้แนะจากท่านนักพรตเสียหน่อย เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านถึงไปยืนบังอยู่ด้านหน้ามารชั่วผู้นั้ น? แล้วก็ท่านนี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสมั่วฉือแห่งยอดเขาเทียนกวงสินะ? เหตุใดท่านกับนักพรตกว่างหยวนถึงขัดขวางการโจมตีของสำนักต่างๆ? วันนี้ชิงซานควรจะมีคำอธิบายหรือเปล่า?”
เศษน้ำแข็งบนทะเลถูกคลื่นซัดสาดเข้าใส่จนกลับมาเป็นชั้นน้ำแข็งใหม่อีกครั้ง นอกจากเสียงเหล่านี้แล้ว ทั่วทั้งฟ้าดินก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ตึงเครียดจนทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก
สองผู้นำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะ ในที่สุดก็จะปะทะแล้วหรือ?
เพื่อที่จะเอาชนะสำนักกระบี่ซีไห่ นักพรตหลิ่วฉือแทบจะขนเอาศิษย์ทั้งสำนักชิงซานมา แต่สำนักจงโจวกลับมีเพียงเรือเมฆลำเดียว นอกจากนักพรตไป๋แล้วก็ไม่มียอดฝีมือที่แท้จริงคนอื่น บ บนเรือล้วนแต่เป็นศิษย์หนุ่มสาว มาตรว่าหยวนฉีจิงจะถูกหนานชวีลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงแม้อินเฟิ่งจะหนีไปแล้ว แต่สำนักชิงซานก็ยังสามารถเอาชนะได้อย่างสบายๆ
แต่ในทะเลตะวันตกตอนนี้มิได้มีเพียงสำนักชิงซานและสำนักจงโจว หากแต่ยังมีเรือนอี้เหมา วัดกั่วเฉิง สำนักคุนหลุน ต้าเจ๋อ สำนักเสวียนหลิงและสำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะอีกหลายส สิบสำนัก หากเกิดการปะทะกันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะเลือกสนับสนุนใคร?
ที่ผ่านมาเรือนอี้เหมาเป็นพันธมิตรของสำนักจงโจวมาโดยตลอด ถึงแม้ในการโต้เถียงกันในราชสำนักของเมืองเจาเกอเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาจะเลือกรักษาจุดยืนเป็นกลางอย่างแปลกประหลาด แต่เห ห็นได้ชัดว่าในวันนี้พวกเขาไม่มีทางทำตัวเป็นกลางได้อีกต่อไป ส่วนวัดกั่วเฉิงนั้นสนิทสนมกับชิงซานขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ แต่ฉานจึนั้นเกลียดนักพรตไท่ผิงเป็นที่สุด เข ขาย่อมไม่มีทางสนับสนุนชิงซานอย่างแน่นอน
ถูกต้อง ปัญหาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะนักพรตไท่ผิง เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงหายนะที่เคยทำให้แผ่นดินวุ่นวาย ผู้คนนับสิบล้านคนต้องตายผู้นี้ ต่อให้เป็นพันธมิตรของสำนักชิงซา านอย่างต้าเจ๋อและสำนักเสวียนหลิงก็ทำได้เพียงแต่นิ่งเงียบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักอื่นเลย
“คนอย่างอาจารย์ของข้า คนทั้งโลกสามารถฆ่าได้ เรื่องที่สำนักท่านทำนั้นย่อมไม่ผิด ข้าเองก็ไม่โทษสหายถงเหยียน”
เสียงของหลิ่วฉือดังขึ้น “ส่วนคำอธิบายที่นักพรตไป๋ต้องการ ความจริงนั้นง่ายมาก...ต่อให้อาจารย์ของข้าจะสมควรตายอย่างไร การที่ข้าช่วยเขามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ นักพรตไป๋ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ไม่ทันรอให้นางเอ่ยปาก หลิ่วฉือก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เพียงแต่นี่ได้กลายเป็นข้าที่สมควรตายแล้ว”
นักพรตไป๋กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สำหรับนักพรตแล้ว นักพรตกว่างหยวนและผู้อาสุโสมั่วฉือเองก็ไม่ผิดเช่นกันหรือ?”
หลิ่วฉือมองไปทางคนที่ชักกระบี่ช่วยให้อาจารย์หนีไปก่อนหน้านี้เหล่านั้น….นักพรตกว่างหยวนสีหน้าเรียบเฉย ผู้อาวุโสมั่วฉือมีสีหน้ารู้สึกผิด…ทันใดนั้นพลันยิ้มขึ้นมา
“ข้าพอจะเข้าใจอยู่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงทำแบบนี้ ต่อให้อาจารย์จะทำเรื่องเลวร้ายอย่างไร เขาก็ถือเป็นอดีตเจ้าสำนักชิงซาน สำหรับพวกเขาแล้ว ชิงซานลงมือได้ แต่พวกท่านห้ามลงมือ”
ไม่ทันรอให้นักพรตไป๋พูดต่อ เขาก็โบกมืออย่างเหนื่อยล้าพลางกล่าวว่า “วันนี้พอเท่านี้แล้วกัน หากมีใครคิดว่าสำนักชิงซานของข้าทำไม่ถูกก็เชิญมาขอคำอธิบายได้”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็บินกลับไปยังเรือกระบี่ที่ลำใหญ่ที่สุด ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไปเถอะ”
เรือกระบี่ค่อยๆ หันหัว มุ่งหน้าไปทางตะวันออก
เรือกระบี่ของชิงซานสิบกว่าลำตามไปด้านหลัง ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากทะเลตะวันตก
มีเพียงเรือกระบี่ของยอดเขาปี้หูที่ยังอยู่ที่นี่ เฉิงโหยวเทียนจะเป็นตัวแทนสำนักชิงซานจัดการเรื่องราวหลังจากนี้ของสำนักกระบี่ซีไห่
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญพรตจากแต่ละสำนักพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก พวกเขาต่างมองหน้ากัน ในใจครุ่นคิดว่ากลับไปง่ายๆ แบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ? ทุกคนต่างเห็นภาพหลิ่วฉือรับ สายฟ้าเหล่านั้นแทนนักพรตไท่ผิง มองเห็นนักพรตกว่างหยวนเข้ามาขัดขวางปู้ชิวเซียว มองเห็นผู้อาวุโสมั่วฉือพาคนเข้ามาขัดขวางวัดกั่วเฉิงเอาไว้ มองเห็นอะไรตั้งมากมายขนาดนั้น…แต่ พวกเขาจะจากไปง่ายๆ แบบนี้อย่างนั้นหรือ?
ปู้ชิวเซียวสีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ได้ขยับ
เหล่าสมณะระดับสูงของวัดกั่วเฉิงพนมมืออย่างเงียบๆ มิได้ขยับเช่นเดียวกัน
นักพรตไป๋เองก็ไม่ได้ขยับ
ลมทะเลค่อยๆ พัดก้อนน้ำแข็ง ลมทะเลค่อยพัดๆ เรือกระบี่ ต่างมุ่งหน้าไปตามทางของตน
นักพรตไท่ผิงเป็นหายนะที่ทั้งแผ่นดินเฉาเทียนจำเป็นต้องสังหาร ใครที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ต้องถูกใต้หล้าสังหารด้วย
ในอดีตต่อให้สำนักชิงซานต้องการจะรักษาชีวิตเขาไว้ ทางสำนักชิงซานก็ต้องสัญญาว่าจะขังเขาเอาไว้ในคุกกระบี่ ไม่มีวันปล่อยออกมาตลอดกาล
ไหนเลยที่จะเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ที่ปล่อยให้เขาหนีไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้!
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนนี้ ต่อให้เป็นเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ ปู้ชิวเซียวจะต้องลงมืออย่างแน่นอน วัดกั่วเฉิงก็จะต้องลงมืออย่างแน่นอน นักพรตไป๋ยิ่งไม่มีทางไม่ลงมือ
แต่ในตอนนี้พวกเขากลับไม่ลงมือ เรียกได้ว่าไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ย่อมต้องมีอยู่เหตุผลเดียว
ลำแสงกระบี่สายนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในดวงตาของทุกคน
……
……
ในเรือกระบี่ชิงซาน
มั่วฉือพาศิษย์ชิงซานสองสามคนคุกเข่าลงตรงหน้านักพรตหลิ่วฉือ
เขาก้มศีรษะ ภายในเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยมีความรู้สึกขอโทษและความรู้สึกผิด “ข้า….ข้า….ทนไม่…ไหว”
หลิ่วฉือมองดูเมฆที่ถูกแสงอาทิตย์ย้อมจนเป็นสีแดงบนท้องฟ้า ยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้อง ข้าเองก็ทนไม่ไหวแม้แต่ครู่เดียว”
มั่วฉือถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่ปล่อยอาจารย์ไป ศิษย์พี่เจ้าสำนักนั้นออกแรงเยอะที่สุด จึงอดรู้สึกสับสนขึ้นมาไม่ได้ ภายในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
หลิ่วฉือถอนใจออกมา “ชิงซาน ถ้าทนได้ก็ไม่เรียกชิงซานแล้ว”
……
……
จิ๋งจิ่วมองดูเรือกระบี่ที่อยู่หน้าสุดลำนั้น
หลิ่วฉืออยู่ในห้องโดยสาร ไม่สามารถมองเห็นได้
แต่เขารู้สึกว่าตนเองมองเห็นอีกฝ่ายยังยิ้มเล็กน้อยอยู่ในนั้น บางครั้งก็ถอนใจออกมา
เขารู้ว่าหลิ่วฉือไม่ได้สบายดีเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก
เขาเคยเห็นทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง
เขารู้ว่าสายฟ้าที่เกิดจากยันต์เซียนแผ่นนั้นก็คือทัณฑ์สวรรค์
วันนี้หลิ่วฉือเรียกกระบี่กลับมา อยู่ในจุดสูงสุดของสภาวะ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนอย่างไม่อาจโต้แย้งได้ แต่ว่า…นั่นมันคือทัณฑ์สวรรค์
เดิมแผนการกำจัดสำนักกระบี่ซีไห่นั้นไม่มีปัญหาใดๆ จนกระทั่งลำแสงเซียนสายนั้นพุ่งทะลุเกาะเซ่าหมิงขึ้นไปในก้อนเมฆสีดำ
เขายอมรับว่าสำนักจงโจววางแผนมาดีมาก เรื่องที่ถงเหยียนปรากฏตัวขึ้นที่นั่น กระทั่งศิษย์พี่ก็คิดไม่ถึง
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือหลิ่วฉือจะออกมายืนขวางอยู่ตรงหน้าศิษย์พี่
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมื่อหลิ่วฉือลงมือ คนอื่นๆ อย่างนักพรตกว่างหยวนและมั่วฉือก็ก้าวออกมา รอยแตกร้าวของชิงซานรอยนั้นก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
รอยแตกที่ถูกเขา หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงกดเอาไว้สามร้อยปี สุดท้ายมันจะถูกชิงซานนำพาไปในทิศทางไหน?
หนานชวีเคยพูดกับหลิ่วฉือเอาไว้ก่อนที่จะปะทะกระบี่กันว่าความเสื่อมโทรมของชิงซานจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้
จิ๋งจิ่วไม่รู้ แต่เขากลับมีความรู้สึกทอดถอนใจเช่นเดียวกัน แต่มิได้เป็นเพราะว่าหลิ่วฉือจะพ่ายแพ้ให้แก่หนานชวี หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
สำนักและโลกที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านั้น สุดท้ายมักจะพังทลายลงเพราะทะเลาะกันเอง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็ดึงสายตากลับมาแล้วมองไปทางเรือเมฆของสำนักจงโจว
อยู่ห่างกันสิบกว่าลี้ เรือกระบี่และเรือเมฆลอยผ่านกันไป
ภายในเรือเมฆ เขามองเห็นหญิงสาวที่สวมชุดสีขาวผู้นั้น ยืนอยู่ในกลุ่มคนอย่างเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกต
ลมทะเลพัดผ่านผมของนาง ยิ่งทำให้นางดูบอบบาง
……
……
ไป๋เจ่ามองเห็นจิ๋งจิ่ว รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ
ก่อนหน้านี้ท่านไม่อยู่ที่นี่ แล้วท่านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?
อยู่ห่างกันสิบกว่าลี้ นางยิ้มเล็กน้อยให้เขา ดูงดงามละมุนละไม แต่ขณะเดียวกันก็มีความเร่าร้อน คล้ายกับดอกพุดซ้อนสีขาว
จิ๋งจิ่วมองนาง ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขานอนหลับอยู่ในวัดกั่วเฉิง ถงเหยียนสะพายคันฉ่องฟ้ากระจ่างไปหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ
หลังจากตื่นขึ้นมา เขาก็ทราบถึงรายละเอียดบางอย่าง
หลังถงเหยียนออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง เขาก็เดินทางทั้งวันทั้งคืนไปชิงซาน ระหว่างทางได้รับจดหมายจากไป๋เจ่า จึงรู้ว่าเขาอยู่ที่วัดกั่วเฉิง ถึงได้เปลี่ยนทิศทางมาที่วัด
ปัญหาอยู่ที่ว่าคันฉ่องฟ้ากระจ่างถูกขโมยออกมา นักพรตไป๋จะต้องรู้ตัวเป็นแน่ ถงเหยียนรีบหนีออกมา จะต้องไม่ทันได้ทำการนัดหมายเรื่องราวใดๆ กับไป๋เจ่าอย่างแน่นอน
เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน
เช่นนั้นไป๋เจ่าเอาจดหมายฉบับนั้นส่งให้ถึงมือเขาได้อย่างไร?
……
……
ในตอนนั้น ถงเหยียนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของคันฉ่องฟ้ากระจ่างจากในถ้ำที่ลั่วไหวหนานทิ้งเอาไว้
เขาเริ่มขุดโพรงอย่างไม่ลังเล พอเริ่มขุดก็ขุดไปเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดก็ขุดไปถึงส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดิน มาถึงตรงหน้าคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
คันฉ่องฟ้ากระจ่างถูกน้ำแข็งหนาๆ ห่อหุ้มเอาไว้ ชิงเอ๋อร์บินออกมาจากด้านใน ดูอ่อนแรงและหม่นหมอง อาจจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ แต่นางกลับถามเขาด้วยสีหน้ายินดีว่าเขามาช่วยตัวเองหร รือ?
ถงเหยียนบอกว่าไม่ใช่ เขาขุดโพรงมาเป็นเวลาหลายปีก็เพราะอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จากนั้นค่อยทำการตัดสินใจ
สำหรับกระดานหมากล้อมแล้ว เรื่องหมากสีขาวสีดำนั้นมิใช่ปัญหาที่สำคัญหรือไม่สำคัญอีก หากแต่เป็นกฎที่เป็นพื้นฐานที่สุด
ชิงเอ๋อร์บอกเขาเรื่องที่ตนเองตื่นรู้ขึ้นมา รวมไปถึงเรื่องที่นักพรตไป๋ลงโทษตัวเองด้วย
ถงเหยียนรู้สึกว่าอาจารย์ทำผิด ดังนั้นเขาจึงใช้พลังละลายก้อนน้ำแข็ง ก่อนจะหยิบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่อยู่ด้านในออกมา
เขาเตรียมจะหนีออกไปพร้อมคันฉ่องฟ้ากระจ่าง แต่กลับหลุดเขาไปในหมอกที่หนาทึบแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ได้เจอนักพรตไป๋
คันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นของวิเศษชั้นเซียน ต่อให้ฉีหลินไม่อยู่ สำนักจงโจวก็ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
ถงเหยียนคุกเข่าอยู่ตรงหน้านักพรตไป๋ รอคอยความตาย
คันฉ่องฟ้ากระจ่างมีน้ำค้างแข็งปกคลุม ชิงเอ๋อร์อาจจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ
ไป๋เจ่ารีบเข้ามา คุกเข่าลงบนพื้นพลางบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักกระบี่ซีไห่ ขอให้ท่านแม่ให้ศิษย์พี่ได้ทำดีไถ่โทษ
เรื่องราวนี้ดูดีอย่างมาก แต่มันกลับยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นักพรตไป๋หวั่นไหว เพราะเรื่องที่ถงเหยียนจะสังหารเทพกระบี่ซีไห่นั้นเป็นแผนการของกั้วตง มิได้เกี่ยวข้องกับสำนักจงโจ จว
สำนักจงโจวต้องการให้เทพกระบี่ยังอยู่ เพื่อที่จะได้มาคอยต่อต้านสำนักชิงซาน
ถงเหยียนเล่าอีกเรื่องราวหนึ่งออกมา ตอนต้นเรื่องของเรื่องราวนี้คือสิ่งที่เขาได้ยินมาจากซูจึเย่ ส่วนตอนท้ายของเรื่องราวคือสิ่งที่เขาคิดออกมาเอง ณ ตอนนั้น
เมื่อฟังเรื่องราวนี้จบ ในที่สุดนักพรตไป๋ก็รู้สึกประทับใจ นางเห็นด้วยกับแผนการของพวกเขา อีกทั้งยังเอาตราประทับหมื่นลี้ของสำนักจงโจวที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายมอบให้ถงเหยียนด้วย ย
ของวิเศษอันนี้สามารถช่วยชีวิตถงเหยียนในช่วงเวลาที่คับขันที่สุดได้ ขณะเดียวกันมันก็ทำให้สำนักจงโจวสามารถรู้ตำแหน่งของเขาได้ตลอดเวลา เขาอย่าได้คิดที่จะหนี
เมื่อได้ยินคำพูดของมารดา ไป๋เจ่าสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในใจกลับรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
ในอดีตนางพกตราประทับหมื่นลี้สองอันเข้าร่วมงานประลองวิถีพรต ลั่วไหวหนานใช้ไปอันหนึ่ง ยังมีอีกอันหนึ่งอยู่ที่นาง
เท่ากับว่าตอนที่นางกับจิ๋งจิ่วถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะมาเป็นเวลาหกปี พ่อแม่ของนางรู้มาโดยตลอดว่านางอยู่ที่ไหน
นักพรตไป๋ออกไป คล้ายว่าไม่เคยมาที่นี่
ชิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว สำหรับถงเหยียนแล้ว จิ๋งจิ่วสามารถช่วยตนเองได้
สำนักจงโจวรู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่วัดกั่วเฉิง แต่ถงเหยียนขุดโพรงอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลาห้าปี เขาน่าจะไม่รู้เรื่องนี้
เพื่อที่จะให้เรื่องราวนี้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นและไม่มีช่องโหว่ใดๆ สำนักจงโจวจึงต้องหาเหตุผลมาบอกถงเหยียน นั่นก็คือให้ไป๋เจ่าเขียนจดหมายให้ถงเหยียนฉบับหนึ่ง
……
……
หลังจากนั้น
ซูจึเย่ก็เอาเรื่องเรือนของเทียนจิ้นเหรินไปบอกอินซาน แล้วก็ไปยังสำนักจงโจว ใช้เมล็ดบัวพันปีเพื่อพบไป๋เจ่า ก่อนจะตกลงเรื่องราวทุกอย่างกับสำนักจงโจว
เทพกระบี่ซีไห่เฝ้ารอให้อินซานมายังซีไห่ จากนั้นก็จะร่วมมือกับสำนักจงโจว
ถงเหยียนพาคันฉ่องฟ้ากระจ่างไปยังเขาเหลิ่งซาน หาราชาปลาไนเพลิงที่อยู่ในใต้ดินจนพบ
กระแสจิตสายหนึ่งของราชาปลาไนเพลิงเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ภายในบ่อน้ำมีปลาที่สามารถพูดคุยกับคุณชายใหญ่ตระกูลจางได้เพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เข้าไปในโลกแห่งความฝันพร้อมกับกระแสจิตสายนั้น ยังมียันต์เซียนของสำนักจงโจวด้วย
ในตอนที่ถูกธงสุริยันของหวังเสี่ยวหมิงล้อมสังหาร ถงเหยียนเผชิญหน้ากับการตัดสินใจเป็นครั้งแรก เขาจับตราประทับหมื่นลี้ที่อยู่ในแขนเสื้อ สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้มันออกมา
เขาเดาถูก
แต่คันฉ่องฟ้ากระจ่างกลับถูกจิ๋งจิ่วเอาไป
ในสำนักแม่ชีสามพันที่อยู่นอกเมืองต้าหยวน เขามองดูทะเลสาบอย่างเงียบๆ เป็นเวลาหลายวัน
จิ๋งจิ่วส่งคันฉ่องฟ้ากระจ่างคืนมา
ไปๆ มาๆ
สุดท้ายเขาก็พาคันฉ่องฟ้ากระจ่างไปยังทะเลตะวันตก ถูกขังอยู่ในเกาะเซ่าหมิง จากนั้นขุดอุโมงค์ใต้ดินขึ้นมาเส้นหนึ่ง เข้าไปในห้องลับห้องนั้น รอคอยอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งวันนี้
ห้องหินเปิดออก
นักพรตไท่ผิงเดินเข้ามา