มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 78 พูดคุยและหัวเราะ (1)
จากนิสัยของจิ๋งจิ่ว ในเวลานี้เขาควรจะแค่พยักหน้า หรือไม่ก็ส่งเสียงอืมออกมา อย่างมากก็พูดเพียงแค่คำเดียว แต่ไม่ใช่มีคำว่าสิตามมาด้านหลังด้วย
เมื่อมีคำว่าสิเพิ่มขึ้นมา ก็เท่ากับว่ามีความหมายอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย น่าจะประมาณว่าแล้วแต่เจ้าสิ ได้หมด เจ้าอยากทำอะไรก็ทำ เห็นพระอาทิตย์สีแดงนั้นไหม สนใจหรือเปล่า?
แน่นอน เรื่องที่จะไปถล่มสำนักเสวียนอินแบบนี้ เขาเองก็รู้สึกสนใจอย่างมากเช่นกัน
ในอดีตเขาเคยพูดกับกู้ชิงว่าต้องหาเวลามาสังหารหวังเสี่ยวหมิงซะ
เมื่อหลายวันก่อนหลิ่วฉือก็เคยพูดว่าระหว่างทางที่กลับมาจากเมืองไป๋เฉิง ก็ดูๆ ว่าจะสังหารหวังเสี่ยวหมิงหรือไม่
เรื่องที่เขากับหลิ่วฉืออยากจะทำ ย่อมควรจะทำ
ชิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนหัวไหล่ของหลิ่วฉือ ฟังพวกเขาคุยกัน รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
นางรู้ว่าท่านเซียนผู้นี้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก แล้วก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่นางได้เคยเจอมา แค่ว่า…นั่นมันสำนักเสวียนอินเลยนะ?
ต่อให้อิทธิพลและอำนาจของสำนักเสวียนอินจะไม่เทียบเท่าในอดีต แต่ที่นั่นก็ยังมียอดฝีมืออยู่นับไม่ถ้วน ที่น่าปวดหัวยิ่งกว่านั้นก็คือข่ายพลังประจำสำนักที่มีธงสุริยันเป็นฐาน พ พวกท่านสองคนจะจัดการมันอย่างไร?
หลิ่วฉือฟังความสงสัยของนางพลางกล่าวว่า “ยังไม่ต้องสนใจอะไรมากขนาดนั้น ลองไปฟันดูก่อนค่อยว่ากัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
……
……
กระบี่คมจักรวาลบินในแสงสว่างยามเช้า ทะยานไปบนท้องฟ้าที่อบอุ่น ยังคงดูอ้างว้างเยือกเย็น
จากเขาอวิ๋นเมิ่งมุ่งไปทางใต้ไม่ไกลก็เข้าไปสู่เมืองอวี้จวิ้น จากนั้นมันเลี้ยวขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เปลี่ยนเป็นลำแสงกระบี่ที่รวดเร็ว บินออกไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มาถึงเมือง งจวี้เย่
เมื่อเดินหน้าต่อไปจากเมืองจวี้เย่ก็จะเข้าสู่อาณาเขตของเขาเหลิ่งซาน ไกลออกไปพอจะมองเห็นโครงร่างของภูเขาหิมะได้ลางๆ
จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีทางไปที่นั่น เขาควบคุมระดับความสูงในการบินของกระบี่คมจักรวาลเอาไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าภูเขาหิมะจะสามารถบดบังทุกสายตาที่มองมาจากทางที่ราบหิมะได้
ในตอนที่มาถึงส่วนลึกของเขาเหลิ่งซาน ท้องฟ้าได้เป็นเวลายามเย็น ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆ คล้อยตกไปในทะเลตะวันตกที่อยู่ห่างไกล
ฟ้าดินตกอยู่ในความมืด แสงสว่างที่แผ่กระจายออกมาจากช่องแคบสุริยันที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ดูเหมือนเปลวเพลิง มองเห็นได้ชัดเจน
จิ๋งจิ่วหยิบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมา ชิงเอ๋อร์มุดเข้าไป จากนั้นเขาเก็บเอาอันฉ่องฟ้ากระจ่างเข้าไปอีกครั้ง
หลิ่วฉือมองเขาอย่างรู้สึกสนใจ กล่าวถามว่า “นี่คือซ่อนพิภพ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ใช่”
เขาเคยพูดกับชิงเอ๋อร์ว่าดวงจิตของวิเศษชั้นเซียนนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมกับซ่อนพิภพ แต่สิ่งที่หลิ่วฉือหมายถึงย่อมมิใช่คันฉ่องฟ้ากระจ่าง
สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน ค่อยๆ ม้วนเอาเศษหญ้าลอยขึ้นมา ดูช่างน่าหลงใหล
หลิ่วฉือหลับตา เริ่มปรับลมปราณ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาลืมตาขึ้นมา มือซ้ายกุมปลอกกระบี่แบกสวรรค์ ยกขึ้นมาข้างหน้าพาดขวางไปกับพื้น มือขวาจับความว่างเปล่าที่อยู่ด้านนอกปลอกกระบี่ ก่อนจะค่อยๆ ดึงออกไปด้านนอก
ในฟ้าดินพลันมีเสียงกระบี่เสียงหนึ่งดังขึ้น
เศษหญ้าพลันร่วงตกลงมา สายลมหยุดพัด ก้อนเมฆที่อยู่ในท้องฟ้าต่างลอยอยู่นิ่งๆ ใต้หมู่ดาว
จิ๋งจิ่วลอยขึ้นมาอีกครั้ง
หลิ่วฉือชูมือขวา
เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากที่ต่างๆ ในฟ้าดิน มารวมกันอยู่ที่มือขวาของเขา
หลิ่วฉือเหวี่ยงมือฟันออกไป
เสียงหวึ่งดังขึ้น
จิ๋งจิ่วหายไป
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาช่องแคบสุริยันที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ รวดเร็วเป็นอย่างมาก กระทั่งสายตาก็ไล่ตามไม่ทัน
ที่ที่ลำแสงกระบี่สายนั้นบินผ่าน พื้นดินปริแตกออกไม่หยุด แตกร้าวลึกลงไปถึงใต้ดิน ลาวาจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นมา กลายเป็นน้ำตกเพลิงที่ดูสวยงาม
น้ำตกเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยพุ่งขึ้นมาตามรอยแตกขนาดใหญ่รอยนั้น เหมือนกับกำลังน้อมส่งลำแสงกระบี่สายนั้น ดูยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นยิ่งนัก
……
……
เขาเหลิ่งซานดูเหมือนรกร้าง แต่ความจริงกลับแตกต่างจากเขารกร้างที่อยู่ด้านนอกเมืองอี้โจวแห่งนั้น ใต้ดินของเขาเหลิ่งซานมีเส้นปราณเพลิงที่อุดมสมบูรณ์ แล้วก็มีสิ่งมีชีวิตต่าง งๆ อาศัยอยู่มากมาย
ในรอยแยกที่ปริแตกออกมีธารลาวาจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นมา ด้วงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนและปีศาจที่แอบซ่อนตัวอยู่ในนั้นต่างแตกตื่นหลบหนีกันออกมาอย่างหวาดกลัว
ภายในลำธารลาวาที่อยู่ในส่วนลึกของใต้ดิน ปลาไนสีทองตัวนั้นดำลงไปใต้ลำธารลาวาอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งมาถึงตรงหุบเหวลึกถึงได้หยุดลง ในสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไหนเลยย ยังจะมีความน่าเกรงขามของราชาปลาไนเพลิงอยู่อีก
มันรับรู้ได้ถึงอานุภาพของเจตน์กระบี่ที่สะเทือนฟ้าดินสายนั้น ร่างกายสั่นเท่า หางของมันตีเข้ากับกำแพงยักษ์โปร่งใสแถบนั้น ส่งเสียงแปะๆ หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
……
……
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างได้ยินเสียงกระบี่นั้น
คนธรรมดาอาจจะคิดว่าเป็นสายฟ้าที่อยู่ห่างไกล แต่ผู้บำเพ็ญพรตกลับรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
ข่าวคราวเรื่องกระบี่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินของนักพรตหลิ่วฉือที่ฟันออกไปเหนือทะเลตะวันตกได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน รวมไปถึงรายละเอียดทั้งหมดในตอนนั้นด้วย
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเสวียนอินเองก็ได้ยินเสียงกระบี่นี้ แต่กลับไม่ทันได้คิดเชื่อมโยงเสียงกระบี่นี้เข้ากับกระบี่ที่พากันเล่าลือกระบี่นั้น
พวกเขาอยู่ใกล้กระบี่นี้มากเกินไป
กระทั่งจะส่งสัญญาณเตือนก็ทำได้ไม่ทัน ลำแสงกระบี่ใส่นั้นพุ่งทะลุความมืด มาถึงตรงหน้าช่องแคบสุริยัน
เสียงหวึ่งดังขึ้น เปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาจากรอบด้านหุบเขา เชื่อมต่อกันกลายเป็นม่านพลังขนาดยักษ์ ผิวของม่านพลังเรียบรื่น ภายในม่านพลังสามารถมองเห็นกระดูกสีขาวจำ ำนวนนับไม่ถ้วนและใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดได้ลางๆ ไม่รู้ว่าในตอนนั้นต้องสังเวยชีวิตคนธรรมดาไปมากน้อยเท่าไหร่
นี่ก็คือข่ายพลังประจำสำนักของสำนักเสวียนอิน
ข่ายพลังนี้มีธงสุริยันเป็นฐาน หล่อเลี้ยงปีศาจร่ำไห้เอาไว้สี่สิบกว่าสาย ดูดซับเส้นปราณเพลิงและพลังวิญญาณมาหล่อเลี้ยง ตนเอง มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถกันลำแสงกระบี่สาย นั้นเอาไว้ได้ครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
มีเสียงปริแตกดังขึ้น
ผิวของม่านพลังมีรอยแตกร้าว จากนั้นลุกลามออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพลังวิญญาณที่ไร้ซึ่งการควบคุม กระจัดกระจายไปในท้องฟ้าพร้อมกับดวงวิญญาณที่ถูกสังเวยเหล่านั้น
ลำแสงกระบี่สายนั้นพุ่งเข้าไป รอยแตกร้าวเล็กๆ แต่มีความลึกเป็นอย่างมากจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนผนังหินที่อยู่สองข้างของหุบเขา
รอยแตกเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการถูกลำแสงกระบี่สายนี้ฟัน หากแต่เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากเจตน์กระบี่
ภายในช่องแคบสุริยันมีเสียงร้องตกใจดังขึ้นมาไม่ขาดสาย สิ่งก่อสร้างพังถล่ม ผาหินพังทลาย ฝุ่นควันคละคลุ้ง
ลำแสงกระบี่พุ่งทะยานเข้าไปในหุบเขา ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิเศษหรืออาวุธมาร ขอเพียงสัมผัสกับมันก็จะต้องถูกฟันจนกลายเป็นชิ้นๆ
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเสวียนอินหวาดกลัวจนถึงขีดสุด แปลงกายเป็นควันสีดำ พยายามหลบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่กลับร่วงตกลงมาราวสายฝน
โชคดีที่ลูกศิษย์ธรรมดาเหล่านี้ หรือกระทั่งยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป้าหมายของลำแสงกระบี่ ยังคงมีคนอีกไม่น้อยที่รอดชีวิตไปได้ พากันหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน น
ลำแสงกระบี่พุ่งทะลุผาหินไปอย่างเงียบๆ มาถึงภายในถ้ำที่ลึกลับที่สุดแห่งนั้น
เกาหยาที่เป็นผู้อาวุโสมาเจ็ดรุ่นหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เขายื่นมือไปคว้าจับซูชีเกอที่นอนอยู่บนเตียงหินขึ้นมากันไว้ด้านหน้าตัวเอง แต่กลับพบว่าลำแสงกระบี่สายนั้นได้บินผ่านห หน้าตัวเองไป
หวังเสี่ยวหมิงใบหน้าขาวซีด เปลวเพลิงที่อยู่ภายใต้ดวงตาลุกโชนโหมกระหน่ำ ธงสุริยันส่งเสียงร่ำไห้ของวิญญาณออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน ห่อหุ้มร่างกายของเขาเป็นชั้นๆ เอาไว้หลายชั้น
ลำแสงกระบี่สายนั้นหายไป
ภายในธงสุริยันมีลำแสงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
อาวุธวิเศษวิถีมารที่พลังโจมตีสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกบำเพ็ญพรตชิ้นนี้ฉีกขาด!