มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 8 การผ่านไปของฝนฤดูใบไม้ผลิ
เจ้าล่าเยวี่ยค่อนข้างตกใจ ยื่นฝ่ามือออกไป
ชิงเอ๋อร์กระพือปีก บินลงไปบนฝ่ามือของนางพลางกล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เสี่ยวล่าเยวี่ย ไม่เจอกันนาน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ นางก็เปลี่ยนร่างกลับเป็นร่างคน
นางยังคงตัวเล็กเหมือนเดิม สามารถเต้นระบำไปมาบนฝ่ามือของเจ้าล่าเยวี่ยได้ เพียงแต่ร่างดวงจิตค่อยๆ กลายเป็นร่างจริง เห็นได้ชัดว่านางมีความคืบหน้าบนเส้นทางนั้นไม่น้อยทีเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวว่า “ทำไมนางถึงไปอยู่ข้างในได้?”
ชิงเอ๋อร์คือดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ แต่หลังจากที่ร่างกายค่อยๆ กลายเป็นร่างจริง เช่นนั้นร่างกายของนางก็จะต้องกินพื้นที่ไปบางส่วนอย่างแน่นอน แล้วนางจะไปซ่อนตัวอยู่ในปล ลอกกระบี่อันนั้นได้อย่างไร?
เพราะว่าปลอกกระบี่แบกสวรรค์มิใช่คันฉ่องฟ้ากระจ่าง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ปลอกกระบี่นี้สามารถซ่อนสรรพสิ่ง”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจว่าต่อให้เป็นภาชนะแห่งความว่างเปล่าระดับสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถซ่อนสรรพสิ่งได้ ทันใดนั้นนางพลันคิดถึงชื่อกระบี่เล่มนั้นขึ้นมา ถึงได้เข้าใจความหมายของเขา
นางถามยังไม่ค่อยแน่ใจว่า “สามารถซ่อนสรรพสิ่งก็สามารถซ่อนได้ทุกสิ่ง นั่นมิเท่ากับว่าซ่อนพิภพหรอกหรือ?”
“ความหมายคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าวพลางเก็บปลอกกระบี่เข้าไปยังที่แห่งนั้น จากนั้นถึงได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาสามปีที่หลิ่วฉือจากแผ่นดินเฉาเทียนไป เขาดูคล้ายสงบเยือกเย็น แต่ความจริงจิตใจกลับรู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก ถ้าหากปลอกกระบี่เล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น อย่างนั้นจ จะทำอย่างไร?
ชิงเอ๋อร์จ้องมองดูเขา หลังจากที่มองเห็นปลอกกระบี่แบกสวรรค์หายไปแล้ว มุมปากของนางก็ยกขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มแปลกๆ จากนั้นกล่าวว่า “นักพรตพูดไม่ผิด เจ้ากลัวตายจริงๆ ด้วย”
จิ๋งจิ่วกลัวตายอย่างที่ว่าจริง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอายด้วย
เขากลับไม่เข้าใจว่าการเป็นผู้บำเพ็ญพรต กลัวตายมีอะไรน่าอาย?
เพียงแต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่มีอะไรน่าอธิบายเช่นกัน
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ถึงปัญหาระหว่างพวกเขาทั้งสอง จึงไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกัน นางกล่าวถามว่า “เจ้าตามนักพรตไปที่ไหนบ้าง?”
ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “พวกเราไปที่เกาะเทพเผิงไหลก่อน จากนั้นตามหาผู้เฒ่าแห่งเรือมหาสมบัติที่เล่าลือกัน แล้วซื้อเรือที่แล่นได้เร็วกว่ากระบี่มาลำหนึ่ง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรือลำนั้นไม่ได้เร็วกว่ากระบี่…ข้าบอกไปแล้วว่าเขาควรจะพกกระบี่ไปเล่มหนึ่ง”
ชิงเอ๋อร์ไม่สนใจเขา กล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยต่อว่า “เรือลำนั้นเร็วจริงๆ ไม่กี่วันก็ไปถึงเกาะหมอก…”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่เร็ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขาไปก็ไม่ได้พกเงิน ดังนั้นเรือลำนั้นน่าจะขโมยมา”
ชิงเอ๋อร์ทนไม่ไหวแล้ว จึงแยกเขี้ยวใส่เขาไปทีหนึ่ง
กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยก็ยังรู้สึกว่าจิ๋งจิ่วค่อนข้างน่ารำคาญ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะส่งสัญญาณให้ชิงเอ๋อร์พูดต่อ
หลิ่วฉือพาชิงเอ๋อร์ไปยังเกาะหมอกในทะเลใต้ หลังมั่นใจแล้วว่าไม่สามารถเข้าไปในเกาะได้ ก็เดินทางต่อไปยังน้ำวนยักษ์เพื่อดูวิวทัศน์ที่นั่นอยู่สามสี่วัน
สุดท้ายเขาก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะไปถึงแผ่นดินแปลกหน้าที่อยู่อีกด้านหนึ่งของทะเล
“ทางด้านนั้นของทะเลมีภูติอาศัยอยู่มากมาย หน้าตางดงาม ก็มีปีกโปร่งใส ดูไปแล้วค่อนข้างคล้ายกับข้าทีเดียว”
ชิงเอ๋อร์กล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยอย่างมีความสุขว่า “หากไม่เป็นเพราะว่าข้ารู้ว่าตัวเองมาจากที่ไหน ข้าคงจะนึกว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ของข้าจริงๆ ไปแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ภูติพวกนั้นอ่อนไหวเกินไป น่ารำคาญ”
ชิงเอ๋อร์ถลึงตาใส่เขา ก่อนกล่าวต่อว่า “แต่ว่า…ภูติพวกนั้นมันก็น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ พวกเขานึกว่าพวกข้าเป็นคนร้าย ไม่ว่าพวกข้าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ โชคดีที่ในตอนนั้น นมีคนยักษ์ตัวใหญ่คนหนึ่ง….ใหญ่มากๆ…เหมือนกับภูเขา เขาตื่นขึ้นมาแล้วช่วยพวกข้าออกมาจากวงล้อม”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เพื่อนของข้า”
ชิงเอ๋อร์หงุดหงิดอย่างมาก เจ้าล่าเยวี่ยเองรู้สึกจนปัญญา ในใจคิดว่าพวกข้ารู้อยู่แล้ว จำเป็นต้องพูดแทรกขึ้นมาในเวลานี้ไหม?”
หลังจากที่แยกทางกับคนยักษ์ที่พูดได้แค่เพียงคำว่าอาเจีย แต่กลับสามารถแสดงออกถึงความจริงใจใสซื่อที่มีอยู่อย่างมากมายผู้นั้น หลิ่วฉือก็พาชิงเอ๋อร์เข้าไปในส่วนลึกของแผ่นดิน น
พวกเขามองเห็นแม่น้ำที่สกปรกเสียยิ่งกว่าแม่น้ำจั๋ว มองเห็นสำนักพระราชวังงดงามยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าโรงเรียนหลวงแห่งแคว้นฉีที่อยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง มองเห็นสถานที่ที่หนาวเย็นและ อ้างว้างเสียยิ่งกว่าทุ่งรกร้างในเขาเหลิ่งซาน
พวกเขามองเห็นสัตว์ป่าที่มีเขาเดียว มองเห็นม้าบินได้ มังกรสีดำ สัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนโคลน แล้วก็ยังพบเห็นราชาที่เป็นมนุษย์อีกสิบเจ็ดคนกับอาณาจักรภูติอีกแห่งหนึ่ง
พวกเขามองเห็นความสวยงามและความอัปลักษณ์มากมาย มองเห็นความสูงศักดิ์และความต่ำต้อย
ก็เหมือนกับสิ่งที่จิ๋งจิ่วเคยได้เห็นเมื่อหลายปีก่อน
สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ต่างอะไรกับแผ่นดินเฉาเทียนมากนัก
เจ้าล่าเยวี่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เจอปัญหาอะไรบ้างไหม?”
ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเจอ แต่ก็ถูกนักพรตฆ่าจนหมด”
หลิ่วฉือทำให้แผ่นดินเฉาเทียนเงียบสงบก่อนแล้วค่อยจากไป เขาจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อตัวเองเมื่อไปยังแผ่นดินแปลกหน้าแผ่นดินอื่น
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถ้าเอากระบี่ไป จะต้องฆ่าได้สบายขึ้นหน่อยแน่”
เขาเคยไปที่นั่น รู้ว่าที่นั่นมียอดฝีมืออยู่ แล้วก็มีสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างเพื่อนยักษ์ของเขา แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมแล้วยังมิอาจเทียบแผ่นดินเฉาเทียนได้ จึงไม่รู้สึกเป็นกังวล
ชิงเอ๋อร์ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนกล่าวต่อว่า “จากนั้นเมื่อหลายวันก่อน เขารู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว จึงได้ส่งข้ากลับมา”
นี่คือกระบี่ท่องทะยาน
ในอดีตตอนที่จิ๋งจิ่วยังสภาวะต่ำต้อย เขาก็เคยใช้กระบี่ท่องทะยาน ให้กระบี่มิคำนึงไปแจ้งเพื่อนยักษ์ของตัวเองตนนั้น
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่ที่แผ่นดินซีเฟิงสามปี?”
ชิงเอ๋อร์ลืมตาโตถามเขา “ยังมีแผ่นดินอื่นอยู่อีกหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สู้แผ่นดินซีเฟิงไม่ได้ บางแห่งก็เป็นแค่เกาะธรรมดาเกาะหนึ่ง”
ชิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเสียใจเล็กน้อย “หากรู้แต่แรกว่ายังมีแผ่นดินอื่นอยู่อีกก็น่าจะไปดูเสียหน่อย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เขาไม่ยอมเอากระบี่ไปด้วย บินช้าขนาดนั้น ย่อมไม่มีทางไปได้หลายที่”
ชิงเอ๋อร์ทนไม่ไหวแล้ว นางกระพือปีกบินมาตรงหน้าเขา จากนั้นตะโกนใส่หน้าว่า “เจ้าเป็นอะไรกับกระบี่นักหนาฮะ!”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ว่าอะไรอีก
กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้เขาเป็นอะไรไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางถึงได้เข้าใจ….เขาเพียงแค่อยากจะขัดจังหวะชิงเอ๋อร์ เพื่อที่นางจะได้พูดช้าลงหน่อย
เพราะนี่คือเรื่องราวสุดท้ายของหลิ่วฉือ
จากนั้นชิงเอ๋อร์ก็คิดขึ้นมาได้เช่นกัน
หลิ่วฉือจากไปแล้ว
เมฆทะยาน
ฝนฤดูใบไม้ผลิ
ภายในถ้ำเงียบสงัด
ทั้งสามคนนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
“เอาล่ะ”
จิ๋งจิ่วมองดูชิงเอ๋อร์พลางกล่าว “คันฉ่องฟ้ากระจ่างอยู่ที่ไหน?”
ชิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจากอารมณ์โศกเศร้าทันที นางจ้องมองเขาพลางกล่าวอย่างระแวงว่า “เจ้าจะทำอะไร? นั่นมันเป็นของข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ากับหลิ่วฉือเป็นคนขโมยคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง คนที่เสนอความคิดคือถงเหยียน เขาสัญญาว่าจะเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างให้ข้า”
ในเวลานี้ชิงเอ๋อร์ถึงได้รู้ว่าที่แท้ตัวเองถูกถงเหยียนส่งต่อมาให้ชิงซาน รู้อดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ พลางกล่าวว่า “พวกที่เล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้าทำไมถึงได้ใจดำขนาดนี้?”
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ นางเคยคิดถึงคำพูดประโยคนี้มาแล้วหลายสิบครั้ง เคยพูดมาแล้วหลายครั้ง จิ๋งจิ่วย่อมไม่สนใจ เขากล่าวเตือนว่า “อยู่ข้างนอกไม่ปลอดภัย”
ชิงเอ๋อร์แค่นหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “วางใจได้ ปลอดภัยที่สุดเลยล่ะ เจ้าเป็นห่วงตัวเองเถอะ”
ในคำพูดนี้แฝงความหมายที่มากกว่านี้เอาไว้อย่างเห็นได้ชัด จิ๋งจิ่วมองดูนางพลางกล่าวว่า “ถงเหยียนอยู่ในเขาซ่อนเร้น เจ้าจะไปหาเขาไหม?”
ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ไม่ไป ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว มนุษย์ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เดิมมนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งของ”
ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “แล้วเจ้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “เจ้านึกเสียใจหรือ?”
ชิงเอ๋อร์เองก็นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตัวเองกลายเป็นมนุษย์ถึงได้รู้ว่าทำไมมนุษย์ถึงคิดมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีก เขากล่าวถามว่า “เจ้าคิดจะไปอยู่ที่ไหน?”
เขาไม่มีทางเอาปลอกกระบี่แบกสวรรค์ออกมา ชิงเอ๋อร์ย่อมไม่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้อีก
ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้ากลับไปยังคันฉ่องฟ้ากระจ่างได้ทุกเมื่อ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
จิ๋งจิ่วแบ่งจิตจำแนกแห่งกระบี่สายหนึ่งไปติดไว้บนกระโปรงของนาง
ชิงเอ๋อร์มองดูเขา ก่อนจะหมุนตัวบินไปในแสงดาวที่อยู่ด้านบน ก่อนจะหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ว่าจิตจำแนกแห่งกระบี่สายนั้นได้หายไปแล้ว จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาคาดการณ์ได้ว่าชิงเอ๋อร์จะต้องกลับไปยังคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างแน่นอน ถึงได้ทิ้งจิตจำแนก แห่งกระบี่สายนั้นเอาไว้ ด้วยอยากรู้ว่าคันฉ่องฟ้ากระจ่างอยู่ที่ไหน คิดไม่ถึงว่าชิงเอ๋อร์จะมองออก และสุดท้ายสิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือชิงเอ๋อร์จะลบจิตจำแนกแห่งกระบี่สายนั้นทิ้งไป ปได้ด้วย
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ดูแล้วคงจะไม่มีใครหาคันฉ่องฟ้ากระจ่างพบ
เขาลุกขึ้นเดินไปยังนอกถ้ำ มองดูคนสามคนและจักจั่นหนึ่งตัวที่อยู่ริมหน้าผา ก่อนจะคิดถึงแมวตัวนั้นขึ้นมา จากนั้นมองไปทางยอดเขาชิงหรงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ทะเลเมฆที่ตากฝนฤดูใบไม้ผลิลอยต่ำกว่าในเวลาปกติ แสงดาวเหมือนดั่งสายน้ำ ส่องสว่างทิวทัศน์บนยอดเขาชิงหรงจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ก้อนหินสีดำก้อนนั้นและไม้ดอกต้นนั้นที่อยู่บนยอดเขาชิงหรงยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ดอกไม้กำลังเบ่งบาน แต่ไม่มีเงาคนแล้วก็ไม่มีสุรา นี่ทำให้เขาค่อนข้างเป็นกังวล
……
……
ทุกคนต่างรู้ว่าหนานว่างผู้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงนั้นชื่นชอบสุรา เสพติดสุรา และดื่มสุราอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังชอบไปนอนอยู่บนก้อนหินบนยอดเขาก้อนนั้น ดื่มสุรา าอยู่หน้าไม้ดอกต้นนั้น
วันไหนที่นางไม่ได้ดื่มสุรา แสดงว่าวันนั้นจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ หรือไม่ก็อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
ในส่วนลึกของถ้ำ หนานว่างกอดอาต้าเอาไว้ ก้มมองดูมันด้วยสายตาบีบบังคับแล้วกล่าวถามว่า “จิ๋งจิ่วเป็นใครกันแน่?”
อาต้าส่งเสียงร้องอยู่ในอ้อมอกของนาง ฟังดูค่อนข้างกลุ้มใจ
หนานว่างแค่นหัวเราะออกมา กล่าวว่า “อย่าบอกว่าไม่รู้อะไร ตอนที่สังหารหนานชวีอยู่บนเขารกร้าง เขาเป็นอะไร? ตอนที่อยู่ที่ทะเลตะวันตกมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าถึงได้ไปอยู่ที ยอดเขาเสินม่อ แล้วก็เชื่อฟังเขาขนาดนี้?”
อาต้าเป็นผู้พิทักษ์ขั้นทะลวงสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะหรือว่าสถานะก็ล้วนแต่สูงส่งกว่านางผู้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง ทว่ามันไม่อยากจะมีปัญหากับผู้หญิงคนนี้จริงๆ
ในอดีตตอนที่หลิ่วฉือแบ่งพื้นที่ในทะเลสาบปี้หูให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวแก่หนานว่าง นางยังไม่ได้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาด้วยซ้ำ แล้วมันกล้าพูดคำว่าไม่ไหม?
ต่อให้เป็นน้ำที่ใช้อาบยังต้องดื่มเข้าไป!
อืม ไม่เลว
就像这时候被她抱在怀里的感觉。
ก็เหมือนกับความรู้สึกที่ถูกนางกอดอยู่ในอ้อมอกแบบนี้
这应该是色诱吧?
นี่น่าจะเป็นการล่อลวงกระมัง?
แต่ปัญหาก็คือข้าควรจะตอบอย่างไร?
อาต้ารู้สึกปวดหัว
หากตัวตนที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วถูกหนานว่างรู้เข้า เขาจะต้องกลายเป็นเจ้าสำนักที่มีอายุสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
ที่เห็นว่าจิ๋งจิ่วเหมือนจะสามารถเอาชนะไป๋หรูจิ้งบนยอดเขาเทียนกวงได้อย่างสบายๆ นั่นเป็นเพราะว่ามีความลับแอบซ่อนอยู่ อาต้ามั่นใจว่าเขาสู้หนานว่างไม่ได้ ยิ่งเป็นหนานว่างที่ อยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งด้วยแล้วล่ะก็
“เจ้าก็คาดเดาได้แล้วมิใช่หรือ? แล้วยังจะมาถามข้าทำไม”
อาต้าใช้กระแสจิตให้คำตอบที่คลุมเครือ
หนานว่างส่งเสียงเหอะออกมา กล่าวว่า “ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีข่าวลือเกี่ยวกับเขามากมายขนาดนั้น ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไรเป็นเรื่องจริง”
“ข่าวลือไหนแพร่กระจายไปมากที่สุด? ไม่มีข่าวลือไหนที่ไม่มีมูลนะ”
อาต้าเอาศีรษะมุดออกมาอย่างยากลำบาก พบว่าการบอกใบ้ของตัวเองไม่เลวเลยทีเดียว
หนานว่างนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “เขาเป็นลูกของจิ่งหยางจริงๆ หรือ?”
อาต้าส่งเสียงร้องเมี้ยว เพื่อบอกว่าอย่างไรเสียบนตัวเขาก็มีกลิ่นของจิ่งหยาง
หนานว่างคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นางกล่าวว่า “เจ้าถึงได้เชื่อฟังเขาขนาดนี้ ถึงขนาดยอมเฝ้ายอดเขาให้เขา”
อาต้าใช้สายตาที่น่าสงสารบอกนางว่าข้าไม่อาจล่วงเกินอาจารย์กับอาจารย์อาของเจ้าได้ พ่อหนุ่มคนนี้ข้าเองก็ล่วงเกินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหากวันไหนอาจารย์อาของเจ้ากลับมา ข้าจะทำ ำอย่างไร?
หนานว่างขมวดคิ้วกล่าวว่า “หลิ่วฉือรู้ถึงตัวตนของเขา ก็เลยคิดจะยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่เขา?”
อาต้าร้องเมี้ยวออกมา
หนานว่างกล่าวว่า “หลิ่วฉือตายที่ไหน?”
อาต้าบอกว่าตัวเองไม่รู้
ในตอนที่อยู่บนยอดเขาเทียนกวง มันสังเกตดูทุกคนอย่างละเอียด
ในตอนที่ปลอกกระบี่แบกสวรรค์ปักกลับไปบนป้ายหิน หยวนฉีจิงโค้งตัวเล็กน้อย นักพรตกว่างหยวนถอนใจออกมา สีหน้าของกั้วหนานซานค่อนข้างขาวซีด หลายคนล้วนแต่มีสีหน้าโศกเศร้า
มีเพียงดวงตาของหนานว่างกับจัวหรูซุ่ยที่เป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มา
ทำไมคนที่บำเพ็ญเพียรถึงเป็นแบบนี้
อาต้ามองนางอย่างสงสาร ในใจครุ่นคิดว่ามิน่าสภาวะในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าถึงได้คืบหน้าไปช้าขนาดนี้ ที่แท้เป็นเพราะคนมากรักผู้นั้นนี่เอง
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มันก็ใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างเหยียบลงไปเบาๆ เพื่อแสดงการปลอบใจ
หนานว่างหิ้วคอของมันเดินออกไปด้านนอกถ้ำพลางกล่าวว่า “เจ้ายังลามกเหมือนเดิมเลยนะ”
อาต้าส่งเสียงร้องเมี้ยวออกมา ในใจคิดว่านี่มันเป็นสัญชาติญาณ อีกอย่างตอนอยู่บนยอดเขาปี้หู ตอนที่อยู่บนเรือในทะเลสาบ ข้าก็ล้วนแต่เคยทำเช่นนี้มิใช่รึ?
หนานว่างเดินมาด้านนอกถ้ำ ยืนอยู่ริมผา ทอดตามองไปยังยอดเขาเสินม่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จู่ๆ พลันกล่าวถามขึ้นมาว่า “เขาเป็นลูกจิ่งหยางกับใคร?”