มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 93 ความลับภายในวัง (2)
แสงดาวส่องลงมาบนแผ่นกระเบื้องหลังคาบนตำหนัก มองดูคล้ายน้ำตาลที่เคลือบอยู่บนผิวของผลไม้
ภายในตำหนักไม่ได้จุดไฟ ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด แต่มันไม่ได้มีผลใดๆ ต่อจิ๋งจิ่วและฮ่องเต้
พวกเขาอยู่ห่างกันสิบกว่าจ้าง นั่งหันหน้าเข้าหากัน
เวลานี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน พื้นที่เย็นเล็กน้อยให้ความรู้สึกที่สบาย
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ายังอยู่ได้อีกหลายปี”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม จากนั้นพบว่าแบบนี้คล้ายจะเย็นชาไปหน่อย จึงกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าไม่ควรจะฝากความหวังเอาไว้กับวิถีนอกรีตอย่างการกางปีกอะไรแบบนี้”
ฮ่องเต้หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ถ้าหากไม่สามารถออกไปได้ แม้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี แล้วมันจะมีความหมายอันใดล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อยู่ต่อไปได้อีกปีก็มีความหวังมากขึ้นอีกหน่อย”
ฮ่องเต้หยิบเอาไข่ของนกจูเชวี่ยใบนั้นออกมาจากในแขนเสื้อ ลูบไล้มันอย่างแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนอย่างท่าน คนเหมือนอย่างพวกข้ามีพรสวรรค์ไม่พอ ถ้าคิดอ อยากจะบรรลุกลายเป็นเซียน ก็มีแต่ต้องหยิบยืมสิ่งของภายนอกมาช่วยเหลือ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แต่มันฟักออกมาไม่ได้”
ไข่นกจูเชวี่ยใบนี้ไม่สามารถฟักออกมาได้ นกจูเชวี่ยไม่สามารถปรากฏขึ้นมาบนโลกนี้ได้อีกครั้ง การกางปีกที่ว่าย่อมต้องกลายเป็นเพียงความฝัน
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดคุยถึงประเด็นนี้อีก เขากล่าวว่า “เอากระบี่เล่มนั้นมอบให้เหยาเอ๋อร์ เกรงว่าเขาจะรับไม่ไหว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “รับไม่ไหวก็เป็นปัญหาของเขา”
“ในอดีตท่านมอบกระบี่เล่มนั้นให้แก่ข้า ครั้งนี้ยังหามันกลับมาแล้วมอบมันให้แก่เขา ของขวัญที่ล้ำค่าสองครั้งนี้ พวกข้าที่เป็นคนรุ่นหลังก็ต้องมีของตอบแทนกลับไปให้ท่านบ้า าง”
ฮ่องเต้กล่าวจบประโยคนี้ก็โยนไข่นกจูเชวี่ยไปให้จิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วรับไข่นกจูเชวี่ยเอาไว้ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บมันเข้าไปที่นั่น
ฮ่องเต้ฟูมฟักเลี้ยงดูไข่ใบนี้มาเป็นเวลานานหลายปี ภายในใจเกิดความรู้สึกผูกพัน ย่อมต้องครุ่นคิดถึงเรื่องที่ว่าหลังจากนี้ใครจะมาดูแลไข่ใบนี้ต่อ
นี่น่าจะเป็นการฝากฝังให้จิ๋งจิ่วช่วยดูแลต่อ
แน่นอนว่าถ้าเก็บไว้ที่ชิงซานย่อมต้องปลอดภัยที่สุด ถ้าหากสุดท้ายแล้วชิงซานไม่เกิดเรื่องขึ้นล่ะก็
จิ๋งจิ่วคิดถึงปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง
ต่อให้พระสนมหูจะมีชิงซานคอยปกป้อง แต่ปีศาจจิ้งจอกที่ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งจะสามารถแบกรับความเจ็บปวดจากการจากลาได้หรือ?
เขาพอจะเข้าใจความคิดของฮ่องเต้แล้ว จึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
สาเหตุที่ไม่พอใจนั้นมีอยู่สองข้อ ข้อแรกก็คือทำไมชิงซานต้องมาแบกรับเรื่องนี้ด้วย?
ข้อสองก็คือเจ้าพยายามอย่างยากลำบากขนาดนี้ แต่กลับเอามันมาใช้กับคำว่ารักเพียงคำเดียว อย่างนั้นเจ้ายังจะบำเพ็ญเพียรไปทำอะไร คิดอยากจะกางปีกไปทำไม?
เมื่อเห็นสายตาของจิ๋งจิ่ว ฮ่องเต้ก็รู้แล้วว่าเขาคาดเดาถึงเจตนาของตนเองได้ จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบพูดเปลี่ยนประเด็น
“ตำแหน่งเจ้าสำนักเลือกแล้วหรือยัง?”
“เลือกแล้ว”
ฮ่องเต้คิดในใจว่าไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงท่านเป็นคนเลือกก็พอ จึงไม่กังวลใจเรื่องนี้อีก จากนั้นกล่าวต่อว่า “เมื่อปีก่อนคุกสะกดมารเกิดเรื่องนิดหน่อย ท่านจะไปดูหน่อยหรือเปล่า? ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
……
……
เจ้าหน้าที่ของวัดไท่ฉางถูกขอร้องให้อยู่แต่ในห้องของตนเอง ห้ามออกมาข้างนอก
จิ๋งซางเทน้ำร้อนลงไปในกาน้ำชา ดื่มชาไปคำนึงอย่างไม่รู้รสชาติ คล้ายคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพี่น้องแต่ในนามของตนเองผู้นั้น
ภายใต้การนำทางของลู่กั๋วกง จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในวัดไท่ฉาง ทะลุผ่านป่าไผ่แถบนั้น เมื่อมองเห็นดอกไม้สีม่วงกอนั้น เขาก็คิดถึงเรื่องราวในอดีตหลายๆ เรื่องขึ้นมา
เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่มันกลับคล้ายยังปรากฏอยู่ตรงหน้า ก็เหมือนกับใบหน้าโปร่งแสงของจักรพรรดิแห่งหมิงที่สวมใส่ชุดหลากสีใบหน้านั้น
คุกสะกดมารในเวลานี้คือศพของชางหลง ไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆ มีเพียงความแข็งแกร่ง ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็เดินไปถึงจุดที่ลึกที่สุด
บึงที่มีพิษรุนแรงแห่งนั้นยังคงอยู่ เพียงแต่ระดับน้ำได้ลดต่ำลงไปมาก ดูแล้วใช้เวลาอีกไม่กี่ปีมันก็น่าจะแห้งไปจนหมด
จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นว่าหน้าผาที่อยู่ด้านหลังบึงแถบนั้นพังถล่มลงมา รอยแตกร้าวลึกลงไปใต้ดิน
ที่นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของชางหลง ไม่มีทางที่จะพังถล่มลงมาเพราะถูกธรรมชาติกัดเซาะในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี นี่จะต้องมีคนทำอะไรกับมันอย่างแ แน่นอน
เขาหายตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่ เข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของรอยแตกนั้น
ที่นั่นเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยเศษหิน
กระบี่คมจักรวาลลอยออกมา บินฉวัดเฉวียนไปมาด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ ก่อนจะใช้พลังที่อ่อนนุ่มโกยเอาเศษหินเหล่านั้นมากองไว้ด้วยกัน จากนั้นทำการประกอบพวกมันขึ้นมาใหม่
นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องใช้พลังสายตาและความสามารถในการคิดคำนวณที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับตัวเขาที่เมื่อก่อนมักจะฆ่าเวลาด้วยการเล่นกองทรายแล้ว นี่ถือเรื่องที่ง่ายดายเป็นอย่างมาก
เศษหินเหล่านั้นค่อยๆ ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นชั้นของหินหรือว่าสีก็ล้วนแต่ชัดเจนเป็นอย่างมาก มีเพียงตรงกลางที่มีรูโหว่เพิ่มขึ้นมารูหนึ่ง
มีคนเอากระดูกของชางหลงไปท่อนหนึ่ง
ของแบบนั้นนอกจากเอาไว้ใช้ต้มน้ำแกงแล้ว มันยังมีประโยชน์อะไรอีก?
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ
……
……
ไม่รู้ว่าเพื่อจะคิดปัญหานี้ให้เข้าใจ หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น จิ๋งจิ่วจึงยังพักอยู่ที่เมืองเจาเกอต่อ
เห็นเห็นอยู่ว่าในคืนนั้นเขารีบร้อนจะให้กู้ชิงกลับไปยังสำนัก
เขาไปสวนของตระกูลเจ้า นอนอยู่บนเรือลำเล็กที่ลอยอยู่บนทะเลสาบ มองดูก้อนเมฆและสายฝนที่อยู่บนท้องฟ้า พริบตาก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
คนที่รู้ว่าเขาอยู่เมืองเจาเกอมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ สายตาจำนวนมากต่างจับจ้องมาที่นี่
เรื่องของสำนักเสวียนหลิงได้ยุติลงแล้ว หลายคนต่างคาดเดาได้แล้วว่าผู้อาวุโสและเต๋อยวนเฉวียนที่ตายไปอย่างน่าประหลาดเหล่านั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน
สุดท้ายเหอจานก็ไม่สามารถแย่งชิงเอาความผิดทั้งหมดไปไว้กับตัวเองได้
การที่สามารถสังหารยอดฝีมือมากมายขนาดนั้นภายใต้การจับตามองของเหล่าไท่จวินและข่ายพลังประจำสำนักของสำนักเสวียนหลิงได้ แสดงให้เห็นว่าจิ๋งจิ่วแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม มีควา ามรู้สึกคล้ายคลึงกับยอดฝีมือรุ่นก่อน
นับจากที่เขาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งแรกจนมาถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาแค่ยี่สิบกว่าปี ความรวดเร็วในการยกระดับของสภาวะเช่นนี้ทำให้หลายๆ คนต่างรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ข่าวลือที่บอกว่าในร่างกายของเขามีสายเลือดของนักพรตจิ่งหยางไหลเวียนอยู่ก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเสวียนหลิงได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งแล้วว่าสำนักชิงซานยังคงแข็งแกร่งเหมือนอย่างในอดีต ปัญหาข้อนั้นได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนอีกครั้งหนึ่ง
ใครกันแน่ที่จะได้กลายเป็นเจ้าสำนักชิงซานคนต่อไป?
ในอีกแง่หนึ่งแล้วเจ้าสำนักชิงซานคือผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน ประเด็นนี้จึงย่อมต้องทำให้เกิดการพูดคุยถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก
แต่เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตหรือว่าเจ้าหน้าที่คนไหนที่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่าตนเองสนับสนุนใคร พวกเขาเพียงแต่กล้าพูดคุยถึงความเป็นไปได้ จากนั้นแสดงความชื่นชมออกมาอ อย่างระมัดระวัง
ตอนนี้มีอยู่สามคนที่ถูกมองว่ามีโอกาสที่จะเป็นเจ้าสำนักชิงซาน นั่นก็คือฟางจิ่งเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหล นักพรตกว่างหยวนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย และฝูว่างที่เ เป็นเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิง
แต่แน่นอนว่าถ้าหากหยวนฉีจิงไม่สนใจความรู้สึกของศิษย์ยอดเขาเทียนกวงและดึงดันที่จะเอาตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาซึ่งเป็นกฎแห่งกระบี่แห่งชิงซานได้เช่ นกัน
ลมฤดูใบไม้ร่วงสายหนึ่งพัดมา ซีอี้อวิ๋นมาเยือนเรือนตระกูลเจ้า
เขายืนคารวะอยู่ริมทะเลสาบ ก่อนกล่าวว่า “อาจารย์อยากจะทราบชื่อ”
ความจริงเขาไม่เข้าใจเลย ต่อให้จิ๋งจิ่วจะเป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยางหรือกระทั่งอาจจะเป็นลูกของนักพรตจิ่งหยาง แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงผู้อาวุโสรุ่นสองที่มีอายุน้อยที่สุด ในสำนักชิงซานเท่านั้น แล้วเขาจะมีอิทธิพลต่อตำแหน่งเจ้าสำนักชิงซานได้อย่างไร เหตุใดท่านเจ้าเรือนถึงให้ความสำคัญกับความเห็นของเขาถึงเพียงนี้?
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ปู้ชิวเซียวส่งศิษย์มาก็คิดอยากจะถามให้ได้คำตอบเช่นนี้ นี่มันจะต่างอะไรกับการรีดไถ จึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ฝูว่าง”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็นอนลงบนหัวเรือ มองดูก้อนเมฆที่ถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัดไปพัดมาอยู่บนท้องฟ้า คล้ายรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก
แต่ซีอี้อวิ๋นกลับไม่รู้สึกสนุก ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าฝูว่างที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงนั้นมีความเป็นไปได้ที่น้อยที่สุด ข้าถ่อมาจากระเบียงพันลี้เพื่อจะมาฟังคำตอบแบบนี้อย่า างนั้นหรือ?
……………………………………………………………………
[1] เฟิ่ง หมายถึงนกเฟิ่งหวงซึ่งเป็นนกในตำนานที่สามารถคืนชีพได้