มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 94 ทุกสรรพสิ่งชุ่มชื้นและเงียบสงบ
ในช่วงเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีคนอีกสองคนมาเยือนยังเรือนตระกูลเจ้า
พวกเขาก็เหมือนอย่างเรือนอี้เหมา ที่พอจะคาดเดาได้ว่าจิ๋งจิ่วจะต้องมีสิทธิ์ในการออกเสียงเรื่องการแต่งตั้งเจ้าสำนักอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยก็ต้องพอจะรู้เรื่องบ้าง
เนื่องจากฉานจึยังคงรู้สึกไม่พอใจ วัดกั่วเฉิงจึงตัดการติดต่อกับทางสำนักชิงซาน ดังนั้นคนที่มาจึงเป็นเจ้าอาวาสวัดจิ้งเจวี๋ย
จิ๋งจิ่วคิดว่านี่มันไม่ได้ต่างอะไรกับการถอดเสื้อตากฝน ทำอะไรโดยไม่จำเป็น มีใครไม่รู้บ้างว่าตั้งแต่เจ้าอาวาสวัดจิ้งเจวี๋ยไปจนถึงพระที่ทำหน้าที่จุดธูปเทียนไหว้พระก็ล้วนแต่ มาจากมั่วชิว?
เขาไม่รอให้เจ้าอาวาสเอ่ยปาก กล่าวออกไปตรงๆ ว่า “ไม่ใช่ฝูว่าง”
เจ้าอาวาสวัดจิ้งเจวี๋ยจากไปอย่างผิดหวัง
คนที่มาเป็นคนสุดท้ายคือทูตของนิกายเฟิงเตา ท่าทีที่เขามีต่อจิ๋งจิ่วมีความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างมาก น่าจะได้รับการสั่งกำชับมาจากเทพดาบ
ดูเหมือนเฉาหยวนจะมองเห็นความจริงในกระบี่นั้นแล้ว
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเช่นนี้พลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ฟางจิ่งเทียน”
ทูตของนิกายเฟิงเตาจากไปอย่างพึงพอใจ
ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมืองเจาเกอเพิ่งจะเข้าสู่เดือนสิบสองก็มีหิมะตกลงมา
ฤดูหนาวมาถึงแล้ว ฤดูใบไม้ผลิยังอยู่อีกไกลหรือ?
นี่ช่างเป็นประโยคที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ก่อนจะนั่งไปบนกระบี่ พากู้ชิงกลับชิงซาน
เมืองเจาเกอกำลังมีหิมะตก ดินแดนทางใต้เองก็กำลังมีหิมะตกเช่นกัน
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานยังคงเงียบสงบเหมือนตอนที่เขาจากไป ยอดเขาเสินม่อเองก็เช่นเดียวกัน
หากเป็นแต่ก่อน ในเวลานี้หนานว่างมักจะขอให้หลิ่วฉือเปิดช่องบนข่ายพลังชิงซานเพื่อให้หิมะแรกของปีตกลงมา
แต่ปีนี้นางยังคงเก็บตัวอยู่ หลิ่วฉือไม่อยู่ ย่อมไม่มีหิมะตก
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ริมผา เท้าทั้งสองข้างแตะไม่ถึงทะเลเมฆ ทอดตามองออกไป ไม่รู้กำลังคิดอะไร
แมวขาวฟุบหมอบอยู่ข้างกายเขา ดูเชื่องเป็นอย่างมาก
จักจั่นเหมันต์ยืนอยู่ข้างกายของมัน ดูเชื่องยิ่งกว่า
กู้ชิงยืนอยู่ด้านหลังของเขา มองดูหมู่ยอดเขาที่ยังคงเป็นสีเขียว จู่ๆ พลันกล่าวขึ้นมาว่า “ฝนจะตกแล้วหรือขอรับ?”
เห็นๆ อยู่ว่าด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะโปรยปราย แต่เขากลับถามถึงฝน
นี่คือสิ่งที่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างให้ความสนใจมากที่สุด แล้วก็เป็นฝนที่ใครหลายๆ คนต่างเฝ้ารอคอยมากที่สุด
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมเบาๆ
กู้ชิงเงียบไม่พูดอะไร
ตอนที่จิ๋งจิ่วปฏิเสธสองชื่อนั้นในเรือนตระกูลเจ้า เขาก็อยู่ตรงนั้นด้วย
กระทั่งอาจารย์ลุงฟางจิ่งเทียนก็ยังไม่อาจเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปได้ อย่างนั้นจะเป็นใคร?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าคิดอย่างไร?”
กู้ชิงคิดถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา
วันนั้นก็เป็นวันที่มีหิมะตกเช่นเดียวกัน จิ๋งจิ่วพูดกับเขาที่ริมผาแห่งนี้ว่า
—–เจ้าคือคนที่จะเป็นเจ้าสำนัก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้กู้ชิงจะมีนิสัยสุขุมเยือกเย็นแค่ไหน เขาก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ไม่ใช่การยิ้มอย่างคุ้มคลั่งด้วยความได้ใจ หากแต่เป็นการยิ้มเจื่อนด้วยความรู้สึกเหลวไหล
เขาจะเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร?
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ต้องรอให้อาจารย์อาและอาจารย์ลุงในยอดเขาเหล่านั้นลงมือ เขานี่แหละที่จะเป็นคนกระโดดลงไปในทะเลเมฆที่อยู่ด้านล่างหน้าผาด้วยตัวเองเพื่อแสดงความบริ สุทธิ์ใจและจะได้ไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่านอีก
“หากอาจารย์ลุงหยวนได้เป็นเจ้าสำนัก จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราขอรับ”
กู้ชิงคิดว่าอาจารย์คิดเช่นนี้ แล้วก็คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ไหนแต่ไรมา ยอดเขาเสินม่อมีความสัมพันธ์กับยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาทิเช่นไป๋หรูจิ้ง อาทิเช่นเจี่ยนหรูอวิ๋น อาทิเช่นกู้หานที่เป็นพี่ชายของเข ขาคนนั้น มีเพียงจัวหรูซุ่ยเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
ถ้าหากหยวนฉีจิงได้เป็นเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงจะต้องได้รับความกดดันอย่างแน่นอน ดูแล้วคงจะไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเรื่องของยอดเขาเสินม่อ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหยวนฉีจิงสามารถสะกดฟางจิ่งเทียนต่อไปได้
ในศึกถล่มลานเมฆครั้งนั้น ยอดฝีมือของสำนักชิงซานต่างออกไปจนหมด ฟางจิ่งเทียนยืนมองดูยอดเขาเสินม่ออยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่า ทุกคนต่างรู้สึกตื่นกลัวคล้ายมีศัตรูที่แข็งแกร่ งกำลังบุกเข้ามา
กู้ชิงย่อมไม่มีทางลืมภาพนั้น
จิ๋งจิ่วใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ยุติการคาดคะเนและการจินตนาการถึงอนาคตที่งดงามของกู้ชิงลง
“หยวนฉีจิงไม่ยอม”
อาจเป็นเพราะยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาซั่งเต๋อขัดแย้งกันมาเป็นเวลาหลายปี หยวนฉีจิงถือสถานการณ์ในภาพรวมเป็นสำคัญ จึงไม่ยอมทำให้ชิงซานเกิดความวุ่นวายภายใน แล้วก็อาจเป็นเพราะเหตุผ ผลอื่นๆ
สรุปแล้วก็คือเขาไม่ยอม
กู้ชิงตกตะลึง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นมาว่า “อย่างนั้นก็มีแต่นักพรตกว่างหยวนเท่านั้นแล้ว สภาวะของเขาสูงส่ง ทำให้ทุกคนนับถือได้ เพียงแต่กลัวว่าอาจจะเกิดปัญหาบางอย่าง”
เขาหมายถึงเรื่องที่นักพรตกว่างหยวนขัดขวางปู้ชิวเซียวในทะเลตะวันตก ทำให้นักพรตไท่ผิงหนีไปได้
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจที่กู้ชิงพูด เขาพูดกับตัวเองว่า “ทุกคนนับถืออย่างนั้นหรือ”
เขามองดูชิงซานที่งดงามพลางลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะมั่นใจในความคิดของตัวเองอีกครั้ง
เขาหลับตา เริ่มทำสมาธิภาวนา
อาต้ามองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่าหลังจากนี้ต้องให้ความเคารพเขาหน่อยแล้ว
ดังนั้นมันจึงไม่ได้ปีนขึ้นไปบนหัวของจิ๋งจิ่ว
จักจั่นเหมันต์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันเกาะไขหยกเอาไว้แล้วแทะไปเล็กน้อย จากนั้นหงายท้องไปด้านหลังพร้อมหลับตา พลางยกขาสี่ข้างที่อยู่ด้านหน้าขึ้นมาแล้วเริ่มดูดซับพลังวิญญาณ ในธรรมชาติ
……
……
วันคืนหมุนเปลี่ยน แสงและเงาเปลี่ยนแปลง ฤดูกาลเปลี่ยนผัน โลกภายนอกค่อยๆ เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ชิงซานเองก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
นักพรตกว่างหยวนออกจากการเก็บตัว ฝูว่างออกจากการเก็บตัว หนานว่างออกจากการเก็บตัว…คนที่ออกจากการเก็บตัวมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครทราบได้ว่านี่เป็นเพราะพวกเขารับรู้ได้ ด้วยตัวเองในระหว่างที่ทำสมาธิ หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น
คนที่ตื่นขึ้นมามีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในชิงซานยังคงไม่ได้ยินเสียงวุ่นวายใดๆ ทุกอย่างยังคงสงบเงียบ
จิ๋งจิ่วลืมตาตื่นขึ้นมา มองไปยังปลายสุดที่อยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลเมฆ
เจ้าล่าเยวี่ย หยวนฉวี่ ผิงหย่งเจียและจักจั่นเหมันต์ล้วนแต่ตื่นขึ้นมาแล้ว ทุกคนต่างยืนคอยเขาอยู่ด้านหลังกับกู้ชิง
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นยืน พลางกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
……
……
ยอดเขาเทียนกวงสูงที่สุด
แสงอาทิตย์บนยอดเขาในวันนี้ยังคงร้อนแรง เพียงแต่ถูกลำแสงกระบี่ที่ทยอยมาถึงเหล่านั้นแย่งชิงความเจิดจ้าไป
ในตอนที่จิ๋งจิ่วและคนอื่นมาถึงยอดเขา คนจากยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือต่างก็เดินทางมาถึงกันหมดแล้ว
กฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิง เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงฝูว่าง เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงหนานว่าง เจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยนักพรตกว่างหยวน เจ้าแห่งยอดเขาปี้หูเฉิงโหยวเทียน เจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ อเจ้าล่าเยวี่ย
หลายปีมานี้ยอดเขาเหลี่ยงว่างไม่ได้ตั้งเจ้าแห่งยอดเขาขึ้นมา เช่นนั้นก็หมายความว่านอกจากเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลฟางจิ่งเทียนที่เก็บตัวอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้นแล้ว บุคคลสําคัญของชิงซานทุ กคนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
แต่แน่นอน คนผู้นั้นไม่อยู่
นี่คือการรวมตัวที่พร้อมหน้าที่สุดในช่วงเวลาหลายปีมานี้ของสำนักชิงซาน ที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นงานประชุมชิงซาน ส่วนใหญ่ก็มักจะส่งกระบี่มาพูดคุย น้อยครั้งนักที่คนสำคัญจะเดินทางมาด ด้วยตัวเอง
กู้ชิงพาหยวนฉวี่ ผิงหย่งเจียลงไปยังด้านล่างหน้าผา
คนอื่นๆ อย่างกั้วหนานซาน จัวหรูซุ่ยและกู้หาน แล้วก็ยังมีผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ธรรมดาของยอดเขาที่เหลือล้วนแต่อยู่อีกด้านหนึ่ง
ผู้อาวุโสของยอดเขาเทียนกวงอย่างมั่วฉือและไป๋หรูจิ้งยืนอยู่ในสถานที่ที่เยื้องไปด้านหลังเล็กน้อยของยอดเขา
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังจิ๋วจิ๋ว เพราะว่าเขาไม่ได้ขยับ ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนอยู่ข้างกายเจ้าล่าเยวี่ย
มีเพียงเจ้าแห่งยอดเขาหกคนถึงจะมีสิทธิ์ยืนอยู่บนยอดเขา เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปยืนอยู่ตรงนั้น?
สีหน้าของไป๋หรูจิ้งค่อนข้างดูแย่ สายตาของเจี่ยนหรูอวิ๋นเย็นยะเยือกเล็กน้อย กู้หานเลิกคิ้วขึ้นมา บริเวณยอดเขามีเสียงพูดคุยขึ้นมาเล็กน้อย แต่ปัญหาก็คือกฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิง งที่เข้มงวดที่สุดกลับไม่ได้พูดอะไร หนานว่างที่อารมณ์รุนแรงที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร ผู้อาวุโสและเหล่าลูกศิษย์ของสำนักชิงซานจำนวนหลายร้อยคนที่อยู่บริเวณหน้าผาคิดถึงข่าวลือนั้น นขึ้นมา จึงพากันเงียบไปเช่นกัน
หยวนฉีจิงโบกมือ
ข่ายพลังชิงซานเปิดช่องขึ้นมาช่องหนึ่ง
ทุกคนต่างมองไปทางด้านนั้น
เส้นสีดำเส้นหนึ่งลอยมาจากทางขอบฟ้า ไม่ได้มีพลังอานุภาพใดๆ ลอยผ่านยอดเขาต่างๆ มาถึงยอดเขาเทียนกวงอย่างเงียบๆ
เสียงฟึบดังขึ้นเบาๆ
ปลอกกระบี่แบกสวรรค์ปักลงไปในป้ายหิน กลับคืนสู่สถานที่ที่มันเคยอยู่ก่อนหน้านี้
……
……
ด้านล่างป้ายหิน
หยวนกุยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในดวงตาที่แก่ชราและขุ่นมัวมีความรู้สึกคิดถึงจางๆ ปรากฏขึ้นมา
มันเคยส่งเจ้าสำนักชิงซานมาหลายคนแล้ว
แต่ครั้งนี้นั้นไม่เหมือนกัน
อาต้าไม่รู้ว่ามุดออกมาจากในแขนเสื้อของจิ๋งจิ่วตั้งแต่เมื่อไหร่ มันนั่งยองๆ อยู่บนพื้นมองดูปลอกกระบี่ที่ปักอยู่บนป้ายหินอันนั้น ดูสงบนิ่งอย่างที่พบเห็นได้ยาก
ด้านล่างยอดเขาซั่งเต๋อ ซือโก่วค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นมา มองไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในแสงสว่างสายนั้น ในส่วนลึกของสายตาอันอบอุ่นมีความรู้สึกโศกเศร้าปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
……
……
เรือนอี้เหมาอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของระเบียงลมพันลี้
หลิ่วสือซุ่ยกำลังใช้คู่กันครองเมืองเขียนตัวหนังสือ นี่คือการบ้านที่ปู้ชิวเซียวมอบหมายให้เขาทำ หลังฝึกมาหลายปี ลายเส้นก็มีความช่ำชองแล้ว
จู่ๆ สร้อยกระบี่บนข้อมือของเขาพลันสั่นขึ้นมา
หลิ่วสือซุ่ยเดินไปยังริมหน้าต่างตามความคิดของกระบี่ไร้อัตตา ทอดตามองไปทางชิงซาน ถึงได้พบว่ามีลมพัดขึ้นมา
……
……
ระเบียงลมพันลี้
ลม พัดโบกพันหมื่นปีไม่ขาดสาย
ลมตรงปากทางเข้าค่อนข้างเบา ดังนั้นที่นั่นจึงพอจะมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่บ้าง มีคนธรรมดาอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง เพียงแต่การค้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เสี่ยวเหอนั่งมือเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง มองไปบนถนนที่ไม่มีผู้คนสัญจรไปมามาสองสามวันแล้ว รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง นางมองเห็นภาพภาพหนึ่ง ใบหน้าพลันขาวซีดไปทันที
……
……
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจากเนินเขา
อินเฟิ่งยืนอยู่บนหลังคารับสายลม ขนของมันยุ่งเหยิงเล็กน้อย ก็เหมือนกับอารมณ์ของมันในเวลานี้
อาจารย์สำนักเสวียนอินนั่งอยู่บนขอนไม้หน้ารถม้า ผมที่เบาบางถูกลมพัดจนดูยุ่งเหยิงยิ่งกว่า
เสียงขลุ่ยที่ฟังดูมีชีวิตชีวาเสียงหนึ่งดังลอยออกมาจากในตู้โดยสารบนรถม้า
ไม่ใช่บทเพลงกล่อมเด็กของแม่น้ำหมิง แล้วก็ไม่ใช่บทเพลงการกางปีกลายเป็นเซียน หากแต่เป็นเพลงสั้นหวงเหมยที่ธรรมดาอย่างมากในโลกมนุษย์
มีเพียงคนที่อยู่ในตู้โดยสารผู้นั้นและจิ๋งจิ่วเท่านั้นที่รู้ว่าหลิ่วฉือคือคนเมืองหวงเหมย
……
……
กระบี่สามฉื่อ
กระบี่พิณวิจิตร
กระบี่สุญตา
กระบี่สุริยันหวนกลับ
กระบี่น้ำขึ้น
กระบี่มิคำนึง
กระบี่ไร้อัตตาที่อยู่ไกลถึงระเบียงลมพันลี้
กระบี่บินจำนวนนับหลายร้อยเล่มที่อยู่บนท้องฟ้า
แล้วก็ยังมีกระบี่เล่มนั้น
กระบี่ทั้งหมดหันไปยังปลอกกระบี่ที่ปักอยู่บนป้ายหินอันนั้นอย่างเงียบๆ
ศิษย์สำนักชิงชานก้มกราบไปกับพื้นพลางกล่าวขึ้นมาพร้อมกันว่า “ยินดีต้อนรับท่านเจ้าสำนัก กระบี่หวนกลับคืนชิงซาน!”
ทันใดนั้นพลันมีฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมา ป้ายหินอันนั้นเปียกชื้น ทุกสรรพสิ่งชุ่มฉ่ำและเงียบสงัด