มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 95 ลมพัดผ่านเขาเขียว เป็นก็เป็น (2)
ภายในกระท่อมมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก
เมื่อสามร้อยปีก่อน นักพรตไท่ผิงถูกจับไปขังไว้ในคุกกระบี่ หลิ่วฉือถูกเลือกให้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ ในตอนนั้นเขาก็เดินไปบนเส้นทางนี้ ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้
อาจเป็นเพราะว่าไม่ชอบหวนคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ชอบเก้าอี้ตัวนี้เฉยๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสู้ไปนั่งอยู่ริมผาใกล้ๆ ทะเลเมฆไม่ได้
สรุปแล้วก็คือหลิ่วฉือไม่ชอบเก้าอี้ตัวนี้
หลังจากเขาเป็นเจ้าสำนัก เขาก็ไม่เคยนั่งเก้าอี้ตัวนี้อีก แล้วก็ไม่เคยพบลูกศิษย์และศิษย์ร่วมสำนักที่นี่ แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องหนึ่งไม่ได้
เก้าอี้ตัวนี้คือที่นั่งของเจ้าสำนักชิงซาน
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังเก้าอี้ตัวนั้น
วันนี้จะเป็นใครที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้??
……
……
หยวนฉีจิงคือคนที่มีความอาวุโสสูงที่สุด มีอายุมากที่สุดและมีสภาวะสูงที่สุดในสำนักชิงซาน ถ้าหากเขารับตำแหน่งเจ้าสำนัก นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุด แต่ยอดเขาเทียนกว วงและยอดเขาซั่งเต๋อเผชิญหน้ากันมาเป็นเวลานานหลายปี ผู้อาวุโสและศิษย์เหล่านั้นจะยอมให้เขาเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร? ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างส่วนใหญ่ก็มาจากยอดเขาเทียนกวง พวกเขาจะ ะมีทีท่าอย่างไร?
ต่อให้หยวนฉีจิงสามารถอาศัยพลังและบารมีของตนเองสยบผู้ที่เห็นต่างเหล่านั้นเอาไว้ได้ แต่มันจะต้องทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน —- เจ้าสำน นักพึ่งจากไป ท่านก็จะข่มเหงศิษย์ของยอดเขาเทียนกวง นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหยวนฉีจิงอายุมากกว่าหลิ่วฉือ อายุขัยที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ มิสู้ทำหน้าที่เป็นกฎแห่งกระบี่ต่อไปแล้วส่งเจ้าสำนักคนใหม่ขึ้นรับตำแหน่งดีกว่า
หากว่ากันตามคุณสมบัติแล้ว คนต่อไปที่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ก็คือฟางจิ่งเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหล ฟางจิ่งเทียนคิ้วขาวพริ้วไหว ทำตัวเรียบง่ายมาเป็นเวลานานหลาย ปี ดูคล้ายเศรษฐีธรรมดาๆ หลายปีมานี้ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร และหากคิดดูดีๆ แล้ว หยวนฉีจิงคือศิษย์คนแรกของนักพรตไท่ผิง หลิ่วฉือคือศิษย์คนที่สอง เช่นนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าเข ขาซึ่งเป็นศิษย์คนที่สามย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
นัดพรตกว่างหยวนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยยิ่งทำตัวเรียบง่าย
จนกระทั่งในตอนที่เขาปล่อยกระบี่ในทะเลตะวันตก เหล่าผู้บำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียนถึงได้รู้ว่าสภาวะของเขาสูงส่งเพียงใด บรรลุถึงขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุด มีหวังที่จะทะลวงสวรรค์
ทั้งสามคนคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นเจ้าสำนักชิงซาน
หยวนฉีจิงยังคงดูเคร่งขรึมเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้มีสีหน้าใดๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
นักพรตกว่างหยวนมีสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่สนใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ฟางจิ่งเทียนเก็บตัวอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น วันนี้ไม่ได้ปรากฏตัว ผู้ที่เป็นตัวแทนของยอดเขาซีไหลคือผู้อาวุโสแซ่อู่คนหนึ่ง เขาเดาได้ว่าเจ้าแห่งยอดเขาเก็บตัวอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น กระทั่งในพิธีที่สำคัญอย่างในวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว ดูแล้วจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน ในใจย่อมต้องเกิดความรู้สึกโกรธแค้น เขามองหยวนฉีจิงพลางกล่าวว่า “ยอดเขาซีไหลขอเสน นอนักพรตกว่างหยวน”
เขาทราบดี ครั้งนี้เจ้าแห่งยอดเขาของตัวเองไม่มีหวังอย่างเห็นได้ชัด อย่างนั้นก็สู้ออกมาสนับสนุนนักพรตกว่างหยวนก่อนดีกว่า
ยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาซีไหลตั้งอยู่ติดกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้หยวนฉีจิงเป็นเจ้าสำนักได้
ผู้อาวุโสและเหล่าลูกศิษย์ของสำนักชิงซานที่เหลือไม่ทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้ จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ฝูว่างที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงกวาดตามองดูใบหน้าคนเหล่านั้น รู้ว่าตนเองไม่ได้มีผู้สนับสนุนเท่าไหร่ ในใจลอบถอนใจออกมาพลางกล่าวว่า “ยอดเขาอวิ๋นสิงขอเสนอศิษย์พี่ฟาง”
ความคิดของเขาเองก็เรียบง่ายอย่างมากเช่นเดียวกัน ต่อให้ไม่มีหวัง ก็ต้องทำให้สถานการณ์มันวุ่นวายเล็กน้อย ใครจะรู้บ้างว่าสุดท้ายมันจะเกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจก็คือเฉิงโหยวเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูที่ปกติมักจะนิ่งเงียบในสถานการณ์แบบนี้กลับเอ่ยขึ้นมาว่าเขาสนับสนุนหยวนฉีจิง
เหลยพั่วอวิ๋นที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูคนก่อนหน้าตายภายใต้กระบี่ของหยวนฉีจิง ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน
ผู้อาวุโสที่เป็นคนสำคัญของสำนักชิงซานอีกสองสามคนก็ก้าวออกมาเช่นเดียวกัน ก่อนจะเสนอชื่อของคนที่ตนเองอยากจะให้เป็นเจ้าสำนัก สถานการณ์ดูวุ่นวายขึ้นมาเล็กน้อย
เหล่าศิษย์รุ่นที่สามของชิงซานย่อมไม่กล้าพูดอะไร อารมณ์เองก็ขยับขึ้นลงตามชื่อเหล่านั้น
กั้วหนานซานรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ กังวลว่าสำนักชิงซานจะเกิดความวุ่นวาย แต่ต่อให้เขาเป็นศิษย์คนแรกของสำนักชิงซาน ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยปากพูดอะไร
ในเวลานี้เอง เสียงที่ไม่ค่อยพอใจเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ทำไมถึงไม่ดูในจดหมายสั่งเสียของเจ้าสำนักเสียก่อนว่าเขียนเอาไว้อย่างไร?”
คนที่พูดก็คือไป๋หรูจิ้ง เขาเข้าสำนักมาพร้อมกับมั่วฉือ หลังจากนักพรตหลิ่วฉือจากไปแล้ว เขาก็คือผู้อาวุโสที่มีความอาวุโสสูงสุดบนยอดเขาเทียนกวง
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว คำพูดของเขาเป็นการแสดงถึงท่าทีของยอดเขาเทียนกวง
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลายๆ คนจึงได้สติขึ้นมา ผู้อาวุโสที่รีบเสนอชื่อของเจ้าสำนักคนใหม่เหล่านั้นรู้สึกอับอายเล็กน้อย
เจ้าสำนักจะต้องทิ้งคำสั่งเสียและเตรียมการเอาไว้สำหรับอนาคตของสำนักชิงซานอย่างแน่นอน แล้วพวกเราจะร้อนใจไย?
สายตาของทุกคนต่างมองไปยังป้ายหินป้ายนั้น
ปลอกกระบี่แบกสวรรค์อยู่ที่นั่น เชื่อว่าคำสั่งเสียจะต้องอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
ไป๋หรูจิ้งมองหยวนฉีจิงพลางกล่าวว่า “ขอเชิญกฎแห่งกระบี่อ่านคำสั่งเสียของเจ้าสำนัก”
เขารู้ว่านักพรตหลิ่วฉือไม่มีทางมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่หยวนฉีจิงอย่างแน่นอน
อาจจะเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับความแค้นเก่าระหว่างยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาซั่งเต๋อ
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มีศิษย์น้องที่ไหนส่งตำแหน่งต่อให้ศิษย์พี่?
หยวนฉีจิงนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นไปหยิบปลอกกระบี่ออกมา
บนยอดเขาเงียบสงัด
ท้องฟ้ายามเย็นนี้มิได้อบอุ่นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
ลูกศิษย์สำนักชิงซานจำนวนหลายร้อยคนมองดูท่านกฎแห่งกระบี่ที่ปกติมักจะน่าเกรงมากที่สุดผู้นั้น ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร
เห็นได้ชัดว่าหยวนฉีจิงไม่อยากอ่านคำสั่งเสีย
พูดอีกอย่างก็คือถ้าหากมีคำสั่งเสียอยู่จริงๆ เขาก็ไม่คิดที่จะปฏิบัติตาม
ไป๋หรูจิ้งเดินไปข้างหน้าสองก้าว จ้องมองดวงตาของหยวนฉีจิงพลางกล่าวว่า “เหตุใดศิษย์พี่ไม่กล้าดูคำสั่งเสียนี้?”
บรรยากาศบนยอดเขาแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
ในดวงตาของกั้วหนานซานและศิษย์ยอดเขาเทียนกวงคนอื่นค่อยๆ มีความไม่พอใจปรากฏขึ้นมา
ในเวลานี้เอง พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
สายตาของทุกคนต่างมองไป
กั้วหนานซานตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เจี่ยนหรูอวิ๋นเอ็งก็เช่นเดียวกัน จากนั้นก็เกิดความรู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างที่อยากจะระงับเอาไว้ได้
ไป๋หรูจิ้งรู้สึกว่าตนเองตาลาย
กระทั่งนักพรตกว่างหยวนก็ยังรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
หลายๆ คนต่างรู้สึกคล้ายเหม่อลอย เนื่องเพราะจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
ดวงตาที่ห้อยตกลงของจัวหรูซุ่ยได้เบิ่งโตจนกลายเป็นเหมือนระฆัง เขามองดูร่างนั้นพลางสบถออกมาโดยไม่รู้ตัวว่าตายห่าล่ะ
หยวนฉวี่และผิงหย่งเจียเกือบจะกอดเข้าด้วยกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือว่าหวาดกลัว
กู้ชิงใบหน้าขาวซีด พูดกับตัวเองอยู่ในใจไม่หยุดว่าที่แท้อาจารย์พูดถูก
บนยอดเขาเทียนกวงในเวลานี้ คนที่ยังรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้มีอยู่เพียงแค่สองคน
หยวนฉีจิงถอนใจออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยคาดเดาได้แต่แรกแล้ว จึงมองไปทางด้านนั้นอย่างเงียบๆ
ลมพัดผ่านหมู่เขา
ชุดสีขาวตัวหนึ่ง
ในสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน
จิ๋งจิ่วเดินไปตรงหน้าป้ายหินป้ายนั้น
เขาขึ้นไปยืนบนกระดองของหยวนกุย ยื่นมือไปดึงปลอกกระบี่แบกสวรรค์ออกมา
หลังจากนั้น
เขาก็เดินไปตรงหน้าเก้าอี้ตัวนั้น หมุนตัวแล้วนั่งลงไป จากนั้นกล่าวกับทุกคนว่า “ข้าเอง”
………………………………………
[1]สือซุ่ย หมายถึง อายุสิบขวบ