มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 18 หนึ่งไม่สอง
ฉือเยี่ยนยิ้มเจื่อน เขาทราบดีว่าศิษย์พี่ชิงชังคนแบบไหนมากที่สุด กาลก่อนต่อให้กล่าวถึงปรมาจารย์อา สีหน้าเขาก็มิได้ดีเท่าไร เหตุนี้จึ่งรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย กล่าวว่า “เดิมข้าคิดว่าวันนี้แต่จะยอดเขาจะไถ่ถามถึงเรื่องยอดเขาปี้หูเสียอีก”
หยวนฉีจิงยิ้มเยือกเย็นกล่าวว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนักมิให้ถาม ผู้ใดกล้าถาม?”
ฉือเยี่ยนกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ต่อให้มิถาม อย่างไรก็น่าจะมีคำตอบให้”
หยวนฉีจิงกล่าว “ก็บอกไปว่าศิษย์น้องเหลยถูกปู้เหล่าหลินและเผ่าหมิงร่วมมือกันลอบโจมตีที่เมืองเจาเกอ ได้รับบาดเจ็บ กำลังรักษาตัวอยู่”
ฉือเยี่ยนพยักหน้า มิกล่าวกระไร
เขาย่อมต้องรู้ว่านี่มิใช่ความจริง
เหลยพั่วอวิ๋น เจ้าแห่งยอดเขาปี้หูเสียสติไปเสียแล้ว
ในตอนที่เขาถูกส่งตัวจากยอดเขาเทียนกวงมายังยอดเขาซั่งเต๋อ เขาก็สติวิปลาสไปแล้ว
หยวนฉีจิงเดินไปยังส่วนที่ลึกสุดของถ้ำ มายืนอยู่หน้าบ่อน้ำ
ปลายยอดเขาซั่งเต๋ออยู่ห่างจากพื้นดินมิรู้กี่พันจ้าง แม้นในผนังถ้ำจะมีน้ำอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางที่จะตักขึ้นมาใช้ได้
แต่ที่นี่กลับมีบ่อน้ำ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเสียจริง
ปากบ่อดำมืด มิรู้ลึกเท่าไร
ทั่วทั้งสำนักชิงซาน มีเพียงเหล่าบุคคลสำคัญที่แท้จริงจึงจะรู้ว่าบ่อน้ำลึกแห่งนี้เชื่อมต่อไปยังคุกกระบี่ที่อยู่ใต้ดิน
ในคุกกระบี่แห่งนั้นคุมขังปีศาจที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากเผชิญหน้า แล้วก็ยังมีเหล่าผู้ทรยศ
เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากใต้บ่อน้ำอันมืดมิด
ต้นเสียงนั้นน่าจะอยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง ฟังดูเลือนราง แต่ความโกรธแค้นและความคุ้มคลั่งที่แอบซ่อนอยู่ในเสียงนั้นกลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
“ต่อให้ไม่มีหนึ่ง อย่างนั้นสองเล่า!”
เสียงตะโกนนั้นซ่อนเร้นไว้ด้วยความคับแค้นใจ ราวกับเสียงร่ำไห้ของภูตผีก็มิปาน ทำเอาผู้ที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ฉือเยี่ยนบรรลุขั้นคเนจรมาหลายปี เรียกได้ว่าเป็นเซียนกระบี่ แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนนี้ สีหน้าก็ยังแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
อาจเป็นเพราะเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ คนวิกลจริตที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของคุกกระบี่ผู้นี้ยังคงเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูซึ่งมีสถานะสูงส่งยิ่งในสำนักชิงซานกระมัง?
เขากล่าวถามว่า “เราควรทำอย่างไรดี? จะขังศิษย์พี่เหลยเอาไว้เช่นนี้ไปตลอดก็คงมิได้ เขาเอาแต่ตะโกนประโยคนั้น แล้วก็มิรู้ว่าหมายถึงอะไร และจะไปตรวจสอบอย่างไร?”
“เหตุใดจึงขังเอาไว้ตลอดมิได้? ไม่ว่าเขาจะวิปลาสด้วยเหตุใด แล้วก็ไม่ว่าตอนที่เขาลงมือจะเสียสติจริงหรือไม่ แต่เมื่อกล้าเหิมเกริมต่อหน้าเจ้าสำนัก เช่นนั้นก็มีเหตุผลให้ถูกคุมขัง”
หยวนฉีจิงมองดูก้นบ่อ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหยหวนนั้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูแย่ยิ่งนัก
“ไม่มีหนึ่ง สองเล่า!”
“ไม่มีหนึ่ง สองเล่า!”
ฉือเยี่ยนฟังประโยคนี้ไม่เข้าใจ
ทั่วทั้งชิงซานมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจประโยคนี้
เขาฟังเข้าใจ
เขายังรู้ด้วยว่า อาจเป็นเพราะประโยคนี้ เหลยพั่วอวิ๋นถึงได้เสียสติ
แต่ถ้าหากเจ้าสำนักทำให้เขาเสียสติ ไฉนจึงไม่ปล่อยให้เขาตายไปเสีย? คนตายต่างหากจึงจะไม่มีวันพูด ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือคำพูดเลอะเลือน
เหตุใดเจ้าสำนักถึงยังส่งเขามาที่ยอดเขาซั่งเต๋อ? เป็นเพราะเห็นใจ? หรือว่า….
เจ้าคิดจะใช้เจ้าบ้านี่มาหยั่งเชิงอะไรข้าอย่างนั้นหรือ?
……
……
จิ๋งจิ่วลูบสร้อยข้อมือที่ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย สองเท้าก้าวเดินเข้าไปในหอเล็กๆ หลังนั้น
หอเล็กหลังนี้ตั้งอยู่ด้านหลังศาลาหนานซง เมื่อเดินไปตามทางภูเขาเจ็ดลี้ จู่ๆ มันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับม่านพลังสายหนึ่งที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสองโลกเอาไว้
เขารู้ว่าเหตุใดสร้อยข้อมือจึงร้อนผ่าวขึ้นมา เนื่องเพราะภาพเหมือนของผู้เป็นเจ้าของรุ่นก่อนๆ ของมันตั้งอยู่ในหอเล็กหลังนี้
หอเล็กหลังนี้มีภาพเหมือนของเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ และบุคคลสำคัญของชิงซานตั้งไว้อยู่
ยอดเขาเหลี่ยงว่างคือตัวแทนของสำนักชิงซานในการออกไปสู้รบกับโลกภายยอก เป็นยอดเขาที่โลหิตหลั่งชโลมเยอะที่สุด เจ้าแห่งยอดเขารุ่นก่อนๆ ย่อมต้องมีสิทธิ์ถูกขานเรียกเป็นบุคคลสำคัญ
ทว่าผู้บำเพ็ญพรตอายุยืนยาว ต่อให้จุดจบของเจ้าแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างส่วนใหญ่จะสู้รบจนตัวตาย แต่ภายในหอเล็กแห่งนี้กลับมีรูปภาพของเจ้าแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างตั้งอยู่เพียงเจ็ดรูป
จิ๋งจิ่วไล่มองดูภาพทั้งเจ็ดตามเจตจำนงของสร้อยข้อมือ ส่วนภาพของปรมาจารย์แต่ละรุ่นที่ดูสะดุดตากว่า เขากลับมิได้มอง
เมื่อเดินไปสุดทางเดิน เขาหยุดยืนอยู่หน้าภาพเหมือนรูปหนึ่ง รูปเหมือนนั้นดูเแล้วยังใหม่ น่าจะเพิ่งแขวนเอาไว้ไม่ถึงปี
นั่นคือภาพเหมือนของนักพรตจิ่งหยาง
จิ๋งจิ่วมองดูใบหน้าที่ดูคล้ายจริงแต่ก็คล้ายภาพลวงตาบนภาพเหมือนนั้นอย่างเงียบๆ เขาจ้องมองอยู่นาน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร”
เมื่อเดินออกมาจากหอเล็กแห่งนั้น ก็จะถือว่าออกจากโลกปุถุชน มายังประตูด้านในของสำนักชิงซาน
จิ๋งจิ่วเงยหน้ามองขึ้นไป ก่อนจะเห็นยอดเขาอื่นๆ ของชิงซานอันตรธานหายไป คงเหลือเพียงยอดเขาเก้ายอดที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ท้องฟ้า
ก้อนเมฆระหว่างยอดเขาหยุดนิ่งมิไหวติง ลอยนิ่งเหมือนดั่งร่มดั่งฝาครอบ ตำแหน่งที่เบาบางที่สุดบางราวกับกระดาษ ทิวทัศน์งดงามเกินบรรยาย
อาจารย์หลี่ว์ยืนรอเขาอยู่นอกหอ ครั้นมองเห็นเขาคล้ายคิดคำนึง จึงอมยิ้มขึ้นมาโดยมิรู้ตัว ภายในใจครุ่นคิดในที่สุดก็ได้เห็นเด็กหนุ่มคนนี้คิดอะไรได้บ้าง
จากนั้นพลันคิดถึงตนเองเมื่อครั้งที่ได้เข้ามาในสำนักและเห็นยอดเขาทั้งเก้าเป็นคราวแรก ก็ตะลึงลานเช่นนี้เหมือนกัน จึ่งอดทอดถอนใจมิได้
หลายปีมานี้เขาไม่อาจบรรลุเข้าขั้นคเนจรได้เสียที อายุขัยมีจำกัด หนทางข้างหน้าไม่แน่นอน จึงได้แต่ต้องจากยอดเขาทั้งเก้ามาเป็นอาจารย์เซียนฝึกสอนอยู่นอกสำนัก
หากมิเป็นเพราะบังเอิญได้ยินคำพูดนั้นและอดทนเสาะหาอยู่โดยรอบเมืองอวิ๋นจี๋ จนในที่สุดก็ได้เจอตัวหลิ่วสือซุ่ยและจิ๋งจิ่วอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้น บางทีชีวิตของเขาหลังจากนี้คงจะต้องอยู่ที่ศาลาหนานซงไปตลอด ไหนเลยจะเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ได้ เวลานี้เขาได้รับยาวิเศษชั้นยอดเนื่องเพราะทำความดีความชอบให้แก่สำนัก ทั้งยังได้กลับไปยังยอดเขาซั่งเต๋อเพื่อบำเพ็ญเพียรต่อ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสบรรลุขั้นคเนจรจริงๆ ก็เป็นได้
“ศิษย์น้องจิ๋ง เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?” อาจารย์หลี่ว์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว
ขอเพียงเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก ก็จะเรียกขานกันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง เพราะต่างก็เป็นศิษย์รุ่นที่สาม ส่วนที่ว่าจะติดตามอาจารย์คนไหน นั่นเป็นเรื่องหลังจากงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน แต่แน่นอนว่าจะต้องถูกอาจารย์บนยอดเขานั้นๆ ชอบพอด้วยเช่นกัน
อาจารย์หลี่ว์มาจากยอดเขาซั่งเต๋อ ก็ย่อมหวังให้จิ๋งจิ่วได้ขึ้นไปบำเพ็ญที่ยอดเขาซั่งเต๋อ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นักพรตจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียน มิใช่ตายเสียหน่อย เหตุใดรูปของเขาจึงถูกแขวนอยู่ในหอ?”
อาจารย์หลี่ว์ตะลึง ไหนเลยจะคิดถึงว่าเขาจะถามคำถามนี้ออกมา ในใจครุ่นคิดศิษย์น้องจิ๋งมิธรรมดาจริงอย่างที่คาด ไม่รู้มีศิษย์มากมายเท่าไรที่เคยมองดูรูปปรมาจารย์แต่ละรุ่นในหอแห่งนั้น แต่ใครบ้างจะคิดถึงจุดนี้?
คำถามนี้เขาไม่อาจตอบได้ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนกลับไป จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าจะกลับไปเก็บตัวบำเพ็ญบนยอดเขา จากกันครานี้มิรู้เมื่อไรจึงจะได้พบพานกันอีก ศิษย์น้องรักษาตัวด้วย”
จิ๋งจิ่วมองเขาพลางกล่าว “ข้าคิดว่าท่านคงไม่มีปัญหาอะไร”
อาจารย์หลี่ว์ยิ้มเจื่อนอีกครั้ง ในใจคิดศิษย์น้องจิ๋งช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
……
……
ระหว่างหมู่เขาเก้ายอดมีลำธารอยู่สายหนึ่ง สายธารไหลแยกไปตามสิ่งก่อสร้าง ที่พักหรือหอสูงต่างๆ นอกจากนี้บริเวณหน้าผายังมีถ้ำอยู่อีกมากมาย
ก่อนหน้างานชุมนุมเฉิงเจี้ยนที่จัดขึ้นทุกสามปี เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่ถูกเรียกเข้ามาในสำนักจะมาร่ำเรียนวิถีกระบี่กันที่นี่
ไม่รู้เป็นเพราะเหล่าศิษย์มักจะมาล้างกระบี่กันในลำธารหรือเป็นเพราะเหตุผลอะไรอย่างอื่น ลำธารสายนี้จึงได้ชื่อว่า ‘ธารสี่เจี้ยน[1]’
และขั้นการบำเพ็ญขั้นนี้ของศิษย์ชิงซานจึงถูกเรียกว่าล้างกระบี่
ที่นี่เหล่าลูกศิษย์จำเป็นต้องบรรลุขั้นปัญญาเห็นแจ้งและขั้นตั้งมั่นทั้งสองสภาวะย่อยให้ได้ จนกระทั่งสัมผัสกับสภาวะใหญ่ขั้นที่สาม จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน
หากในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนถูกอาจารย์แห่งยอดเขาสักแห่งต้องตาเข้า ศิษย์คนนั้นก็จะกลายเป็นศิษย์สายตรง และได้สัมผัสกับเคล็ดกระบี่ที่แท้จริงของสำนักชิงซาน
แต่แน่นอน ศิษย์คนนั้นก็สามารถขอเข้าไปอยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างได้ หากศิษย์พี่ที่หยิ่งยะโสมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเหล่านั้นถูกใจล่ะก็
ในสำนักชิงซาน สถานะของยอดเขาเหลี่ยงว่างนั้นพิเศษอย่างยิ่ง
บนยอดเขาแห่งนี้ไม่มีการสืบทอด และไม่มีอาจารย์ แต่ศิษย์บนยอดเขาสามารถรับการถ่ายทอดวิชาอันเข้มงวดจากอาจารย์ของยอดเขาทั้งเก้าได้
เพราะยอดเขาเหลี่ยงว่างคือกระบี่ของสำนักชิงซาน
นอกจากการบำเพ็ญเพียรแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดของศิษย์บนยอดเขาเหลี่ยงว่างก็คือเป็นตัวแทนสำนักชิงซานออกไปต่อสู้ยังโลกภายนอก เข่นฆ่าสังหารเหล่าปีศาจที่น่ากลัวและผู้แข็งแกร่งของเผ่าหมิง
การกลายเป็นศิษย์บนยอดเขาเหลี่ยงว่างย่อมต้องมีอันตรายอย่างมากแน่นอน แต่ความก้าวหน้าที่ได้จากการต่อสู้มิหยุดหย่อนก็จะมากตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ นี่ถือเป็นเกียรติอันสูงส่ง
หากฝึกฝนอย่างลำบากลำบนในธารสี่เจี้ยนแล้วก็ยังไม่สามารถบรรลุสภาวะสองขั้นนั้นได้ เช่นนั้นก็จะไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนได้ แล้วก็ยิ่งไม่มีทางถูกแต่ละยอดเขาเลือกเป็นศิษย์สายตรงได้ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยนัก แต่มิใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น
จิ๋งจิ่วมาถึงธารล้างสี่เจี้ยน ในตอนที่เจอกับอาจารย์อาที่มาจากยอดเขาซีไหลผู้นั้น คำถามแรกที่เขาได้ยินก็คือคำถามนี้
เขาตั้งใจครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดถึงคำถามนี้มาก่อน”
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ แต่เมื่อคนอื่นได้ฟัง คำพูดนี้กลับฟังค่อนข้างอวดดี
อาจารย์อาจากยอดเขาซีไหลผู้นั้นมิเพียงไม่โกรธ แต่กลับยิ้มขึ้นมาอีกด้วย เขาตบบ่าจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “สมแล้วที่เป็นจิ๋งจิ่ว ช่างเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบจริงๆ”
…………………………………………………………………….
[1] ธารสี่เจี้ยน แปลว่า ธารล้างกระบี่