มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 26 เห็นดวงตาคู่หนึ่ง
ในเวลากลางดึกอันเงียบสงัด ด้านล่างยอดเขาไร้ซึ่งผู้คน ผู้ดูแลของยอดเขาอวิ๋นสิงเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงการมาของจิ๋งจิ่ว
บนแผนที่ที่อยู่ในหอเล็กๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของป้ายกระบี่มองเห็นแค่เพียงว่าป้ายกระบี่ของเจ้าล่าเยวี่ยนั้นอยู่ในส่วนลึกของชั้นเมฆที่อยู่ห่างไกลออกไป
ส่วนแผ่นป้ายกระบี่ที่เป็นของจิ๋งจิ่วยังคงนอนอยู่นิ่งๆ ตรงมุมหนึ่งของถ้ำ
วานรสามสี่ตัวปีนป่ายไปมาอยู่บนหน้าผานอกถ้ำ
จิ๋งจิ่วเดินขึ้นยอดเขากระบี่
ในยอดเขากระบี่ไร้ซึ่งต้นไม้ บนก้อนหินตรงหน้าผาล้วนแต่เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ัอันรุนแรง นอกจากต้นหญ้าแล้ว ก็ยากจะมีพืชพรรณอื่นๆ เจริญเติบโตอยู่ที่นี่ได้
ส่วนสัตว์ป่าก็มองไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว หากมองออกไป ก็จะเห็นแค่เพียงความรกร้างและบรรยากาศที่ไร้ซึ่งชีวิต
สำหรับลูกศิษย์ธรรมดาแล้ว การเดินอยู่ในยอดเขากระบี่นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่หากระบี่ได้สำเร็จแล้ว ทุกครั้งที่คิดถึงความรู้สึกบนยอดเขากระบี่ ก็ยังเกิดความรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาทุกครั้ง แต่สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว ยอดเขากระบี่ก็เหมือนกับที่อื่น ล้วนแต่เป็นที่ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
เขาเดินอยู่บนยอดเขาราวกับเดินอยู่บนพื้นราบ แม้มิได้รวดเร็วปานโบยบิน แต่ก็ถือว่าเร็วอย่างมาก
ไม่ว่าจะเจอกับหน้าผาที่สูงชันอย่างไร เขาก็มิได้ใช้มือปีนป่าย แล้วก็มิได้รู้สึกว่าเขาต้องออกแรงแต่อย่างได้ สรุปแล้วก็คือเขาเดินขึ้นไปได้อย่างสบายๆ
ไม่นาน เขาก็มาถึงช่วงกลางของยอดเขา มาถึงชายขอบของชั้นเมฆ
หากในเวลานี้มีคนมองขึ้นมาจากด้านล่าง ก็จะมองเห็นเขาเป็นเพียงจุดสีดำในกองก้อนหินจุดหนึ่งเท่านั้น
คนที่สามารถมาถึงขอบของชั้นเมฆได้ในการขึ้นยอดเขากระบี่ครั้งแรกล้วนแต่เป็นศิษย์ในสำนักที่ยอดเยี่ยม
ลูกศิษย์ที่สามารถเดินเข้าไปในชั้นเมฆได้นั้นยิ่งหาได้ยาก
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไป
……
……
ยอดเขาอวิ๋นสิง เมฆเคลื่อนไหวล่องลอยอยู่ตลอดเวลา
ชั้นเมฆที่หนาทึบและชุ่มชื้นขยับเขยื้อนไปมาไม่หยุด ทัศนวิสัยเบื้องหน้าถูกบดบังจนมืดมิด
เจตน์กระบี่ที่นี่มีปริมาณมากกว่า มีความรุนแรงมากกว่า หากเป็นลูกศิษย์ธรรมดา เพียงไม่กี่อึดใจก็คงจะแบกรับการโจมตีของเจตน์กระบี่เอาไว้ไม่อยู่
เจตน์กระบี่และความมืดมิดเหล่านี้มิอาจทำอะไรจิ๋งจิ่วได้ ในทางกลับกัน หลังขึ้นมาถึงชั้นเมฆ เขาก็มิต้องปิดบังร่องรอยของตนเองอีก แต่ละย่างก้าวมีความรวดเร็วขึ้น จนร่างกายเขากลายเป็นเหมือนควันบางๆ สายหนึ่ง หนึ่งก้าวไปได้ไกลหลายสิบจ้าง หูสองข้างลู่ลม คอยฟังเสียงรอบกาย เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พบเจออุปสรรคใดๆ
มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้าลง
ที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากปลายสุดของยอดเขามิไกลนัก การวิเคราะห์ของหลินอู๋จือถูกต้อง ก่อนที่อาจารย์อาม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยผู้นั้นจะลาโลกไป เขาได้ถูกคำพูดของประโยคนั้นของจิ๋งจิ่วกระตุ้นความหยิ่งทะนงเป็นครั้งสุด จึงสามารถทำลายขีดจำกัด คืนกระบี่สู่ยอดเขาได้สูงขนาดนี้
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่นับหลายร้อยรอบกายอย่างเงียบๆ เจตน์กระบี่เหล่านี้มีจำนวนน้อยลง แต่กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว กระบี่น่าจะอยู่สูงขึ้นไปอีก เขาจึงกระโดดทะยานขึ้นไป
ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ เท้าทั้งสองข้างของเขาแตะลงพื้น
ก้อนเมฆที่หนาทึบค่อยๆ กระจายตัวออก
จิ๋งจิ่วมองเห็นดวงตาคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นสวยงามยิ่ง ตาขาวดั่งสายน้ำสีเงิน ตาดำดำขลับเป็นมันวาว
หากเป็นคนธรรมดา การที่จู่ๆ มาเจอดวงตาคู่หนึ่งอยู่ในก้อนเมฆบนยอดเขากระบี่เช่นนี้คงต้องตกใจเป็นแน่
เช่นเดียวกัน เจ้าของดวงตาคู่นั้นก็น่าจะตกใจเช่นเดียวกัน
แต่จิ๋งจิ่วและเจ้าของดวงตาคู่นั้นล้วนมิใช่คนธรรมดา
ดังนั้นจึงไม่มีเสียงร้องตกใจ มีเพียงความเงียบ
การที่มองเห็นแต่ดวงตาของอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าใบหน้าของพวกเขาเข้าใกล้กันอย่างมาก
“ขอโทษ ข้ามิรู้ว่ามีคนอยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าว
การหายใจของเขาทำให้เกิดลมเบาๆ เส้นผมปอยหนึ่งพลิ้วผ่านดวงตา คล้ายกิ่งหลิวที่ลากผ่านผิวน้ำ
จิ๋งจิ่วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จึ่งมองเห็นใบหน้าอีกฝ่าย
ใบหน้านั้นเองก็สวยงามอย่างมาก แม้นจะไม่งดงามเท่าเขา แต่ก็ถือได้ว่างดงามดั่งภาพวาด
เพียงแต่คิ้วของสาวน้อยค่อนข้างสั้น ดำขลับยิ่งนัก อีกทั้งผมเองก็สั้นอย่างมาก สั้นอย่างมาก
บนเส้นผมและใบหน้าของสาวน้อยล้วนแต่มีฝุ่นเกาะอยู่ ดูสกปรก คล้ายมิได้อาบน้ำมาเป็นเวลานาน
ที่นี่เป็นหน้าผา ตรงหน้าผามีถ้ำที่สูงขนาดครึ่งตัวคน
สาวน้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน คล้ายรูปปั้นหิน
จิ๋งจิ่วคิดขึ้นมาได้ว่านางน่าจะเป็นใคร
อาศัยอยู่บนยอดเขากระบี่มาหลายปี ฝึกฝนวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายา ทั่วทั้งสำนักชิงซานมีอยู่คนเดียว
เจ้าล่าเยวี่ย
“เจ้าเป็นใคร?”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม
น้ำเสียงของนางไพเราะ ชัดเจนดุจเสียงกระบี่ หางเสียงตวัดสูงเล็กน้อย คล้ายกระบี่ที่ถูกสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงรินรดจนโค้งงอ ก่อนที่สุดท้ายจะดีดกลับมา
“จิ๋งจิ่ว”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าคล้ายเคยได้ยินเรื่องเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องเจ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยเอียงศีรษะมองใบหน้าเขา พลันกล่าวว่า “เจ้ามิได้รูปงามเหมือนที่เล่าลือกัน”
“อาจเพราะเล่าลือกันเกินจริง”
จิ๋งจิ่วพยักหน้าให้นาง ก่อนจะออกจากหน้าผาแล้วขึ้นไปยังด้านบน
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้สนใจเขา มิได้ได้ครุ่นคิดอะไร หากแต่หลับตาลง แล้วรับรู้ถึงเจตน์กระบี่ที่อยู่รอบกายต่อ
ปล่อยใจให้ว่าง รับเข้ามาและใช้ออกไป อาศัยสรรพสิ่งมาเติมเต็ม
ลมหายใจของนางขยับขึ้นลงตามเจตน์กระบี่ จากนั้นค่อยๆ สงบลง แปรเปลี่ยนเป็นแช่มช้า จนกระทั่งทอดยาวราวไร้ซึ่งช่องว่าง
หัวใจของนางเองก็เต้นช้าขึ้่น ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของลมบนหน้าผาและเจตน์กระบี่ที่สับสนวุ่นวาย ยากที่จะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
……
……
จิ๋งจิ่วอ้อมมายังหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงตีนยอดเขาทางตะวันตกของยอดเขากระบี่
เขายังคงครุ่นคิดถึงเจ้าล่าเยวี่ย
มิรู้เป็นเพราะได้ยินชื่อนี้บ่อยครั้งหรือเปล่า เขารู้สึกค่อนข้างคุ้นหู อีกทั้งรู้สึกคล้ายเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
และยังมีดวงตาที่สีดำสีขาวแบ่งแยกชัดเจนคู่นั้น เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ในสายตาของคนอื่น เจ้าล่าเยวี่ยที่คนสำคัญของสำนัก เป็นที่รักของอาจารย์ ขอเพียงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนผ่านไป นางก็จะเจิดจรัสฉายแสง สายตาของนางเฉียบคมและมีชีวิตชีวา
ทว่าในสายตาของจิ๋งจิ่ว สายตาของนางกลับมิธรรมดา คล้ายแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ และยังมีความโศกเศร้าแฝงอยู่ด้วย
แต่มันมิได้เกี่ยวกับเขา
เขามองไปรอบๆ หลังมั่นใจแล้วว่ากระบี่ที่ตนตามหาอยู่ที่นี่ จึงขยับความคิด แผ่จิตจำแนกแห่งกระบี่ออกไป
ภายในพื้นที่หลายร้อยจ้างที่จิตจำแนกแห่งกระบี่ของเขาปกคลุม หรือในบางพื้นที่ที่ไกลกว่านั้น เหล่ากระบี่ที่แอบซ่อนอยู่ในหน้าผาต่างตอบสนองออกมา
ก้อนหินขยับเขยื้อน คล้ายถูกลมพัดผ่าน เศษหินร่วงตกลงมา
เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนยื้อแย่งกันพุ่งออกมา แต่หลังสัมผัสกับจิตจำแนกแห่งกระบี่ของเขา เจตน์กระบี่เหล่านั้นก็วกกลับไปเข้าในหน้าผาทันที มิยอมออกมาอีก
คล้ายกับกระต่ายที่รับรู้ได้ถึงอันตรายก็มิปาน
หากมีคนมองเห็นภาพนี้ คงต้องรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมากแน่
แต่ไม่มีใครที่จะมองเห็นภาพที่อยู่ในชั้นเมฆบนยอดเขากระบี่
นอกเสียจากจะอยู่ในนั้น
บนหน้าผาทางฝั่งตะวันออกจากยอดเขากระบี่ เจ้าล่าเยวี่ยลืมตา นางรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ของเจตน์กระบี่ในอากาศ ในใจครุ่นคิดเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ในอีกด้านหนึ่งของยอดเขา
จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงการถอยหนีและการนิ่งเงียบของเจตน์กระบี่เหล่านั้น จึงกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้รู้สึกว่ามิคู่ควรกับข้า”
เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “แน่นอน พวกเจ้านั้นมิคู่ควรกับข้าจริงๆ”
สุดท้ายเขากล่าวว่า “แต่ว่า ข้าหาได้สนใจไม่”
เหล่ากระบี่ในยอดเขายังคงนิ่งเงียบ
“ข้าจะไม่เป็นเหมือนอย่างเมื่อก่อนที่เอาแต่อยู่ในเขา”
จิ๋งจิ่วเข้าใจความคิดของพวกมัน เขาครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าคิดจะออกไปดูโลกภายนอก”
เจตน์กระบี่ยื้อแย่งกันพวยพุ่งออกมา
…………………………………………………………………….