มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 28 สบตากันท่ามกลางดอกไม้โลหิต
“นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณการบำเพ็ญเพียรอย่างหนักของเจ้า เชื่อว่าวันพรุ่งนี้คงมิมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องที่เจ้าตายด้วยน้ำมือข้าอย่างแน่นอน”
อาจารย์อาจั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่นี่คือเหนือสุดของยอดเขากระบี่ ต่อให้เป็นผู้ที่บรรลุสภาวะแหวกทะเล แต่หากไม่ใช้จิตจำแนกตรวจดูก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าที่นี่เกิดเรื่องใดขึ้น”
“หากมิอยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เช่นนั้นสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือฆ่าข้าให้ตายเสีย”
เมื่อกล่าวจบประโยค เจ้าล่าเยวี่ยพลันโบกสะบัดมือ ลำแสงกระบี่สีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ บินฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็วอยู่ตรงด้านหน้าหน้าผา
กระบี่สีเขียวคล่องแคล่วปราดเปรียว เคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นม่านลำแสงสีเขียวจางๆ ดูคล้ายหนาแน่นจนมิมีช่องว่างใดๆ ให้ลอดผ่าน
เมื่อเห็นภาพนี้ อาจารย์อาจั่วกล่าวชมเชย “ใกล้บรรลุขั้นสมความนึกคิดจนบริบูรณ์แล้วหรือนี่ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
ภายในความมืด จิ๋งจิ่วเองก็พยักหน้า นอกจากสภาวะที่เจ้าล่าเยวี่ยแสดงออกมาแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกชื่นชมมากกว่าก็คือฝีมือของนาง
—-ในเมื่อไม่มีโอกาสให้ได้ลอบโจมตี เช่นนั้นก็สู้เรียกกระบี่ออกมาทำการป้องกันก่อนดีกว่า
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ สภาวะของเจ้าล่าเยวี่ยกับอีกฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป แม้นจะป้องกันก็ป้องกันเอาไว้ไม่อยู่
จิ๋งจิ่วได้ข้อสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว ราตรีนี้เจ้าล่าเยวี่ยมิแคล้วต้องถูกปลิดชีพเป็นแน่ ยกเว้นก็แต่จะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เจตน์กระบี่บนยอดเขาอวิ๋นสิงวุ่นวาย ท้องฟ้ามืดมิด กลิ่นอายเจตน์กระบี่แปรเปลี่ยนนับไม่ถ้วน แต่สิ่งเดียวที่มิเปลี่ยน…คือตัวเขา
“สู้ไม่ได้…”
จิ๋งจิ่วทอดถอนใจ
สภาวะของเขาตอนนี้ยังต่ำต้อย มิสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ นอกเสียจากชายชุดเทาผู้นั้นจะมิเคลื่อนไหว
แต่ว่า จะมีผู้ใดยืนอยู่เฉยๆ รอให้เขายื่นมือเข้าไปบ้างเล่า?
จิ๋งจิ่วมองดูสร้อยข้อมือของตน ในใจครุ่นคิดว่ายังมีวิธีอะไรอื่นบ้าง?
เวลานี้ การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ผลแพ้ชนะของการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่บาดเจ็บอยู่เพียงฝ่ายเดียว
สายลมกรรโชก หมู่เมฆวุ่นวายสับสน กระบี่บินสีเทาที่ดูเรียบง่ายเล่มหนึ่ง พริบตาพุ่งข้ามระยะหนึ่งร้อยจ้างมายังด้านหน้าของหน้าผา
เสียงปะทะกันของกระบี่บินที่ฟังดูแน่นขนัดและแผ่วเบาดังขึ้นมา
บนม่านลำแสงที่เกิดขึ้นจากกระบี่สีเขียวนั้น มีประกายไฟปรากฏขึ้นมาหลายสิบจุดแทบจะในเวลาเดียวกัน
จิ๋งจิ่วมองเห็นอย่างชัดเจน ประกายไฟที่ดูคล้ายเล็กจ้อยเหล่านั้น ความจริงแล้วแอบซ่อนพลังของสายฟ้าที่มีแรงปะทะที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดเอาไว้
เคล็ดกระบี่แปดทิศของยอดเขาปี้หูช่างเกรี้ยวกราดรุนแรงยิ่งนัก
เพียงไม่กี่อึดใจ ม่านลำแสงที่เกิดจากกระบี่เล่มเล็กสีเขียวก็ถูกกระบี่ที่แอบซ่อนพลังสายฟ้าฉีกกระชากลงอย่างง่ายดาย
กระบี่สีเขียวเล่มเล็กตกลงบนพื้น ดูคล้ายเศษเหล็ก
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำ มิสามารถหลบหลีกได้
เสียงทึบๆ ดังขึ้นหลายเสียง กระบี่บินสีเทาที่อยู่เรียบง่ายแทงเข้าใส่ร่างกายของนางติดต่อกันก่อนจะบินกลับไป คงเหลือไว้เพียงรูเลือดเจ็ดรู
รูเลือดเจ็ดรูนั้นแทงทะลุร่างกายของนาง โลหิตสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด ช่างดูทารุณยิ่งนัก
เจ้าล่าเยวี่ยใบหน้าขาวซีด นั่งพิงผนังถ้ำ มุมปากหลั่งโลหิต สายตาดูเลือนราง
การโรมรันต่อสู้ของวิถีกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนแต่เรียบง่ายและเด็ดขาดเช่นนี้ เพียงแค่พริบตาก็สามารถตัดสินแพ้ชนะ หรือกระทั่งความเป็นความตายได้
คำกล่าวที่ว่าผู้แข็งแกร่งย่อมแข็งแกร่งอยู่วันยังค่ำ ได้สะท้อนออกมาให้เห็นในการต่อสู้ระหว่างกระบี่บินอย่างชัดเจน หรืออาจจะโหดร้ายกว่าเสียด้วยซ้ำ
ฝ่ายที่มีสภาวะต่ำกว่า กระบี่ของเจ้าไม่มีวันสัมผัสถูกตัวคู่ต่อสู้ได้ แล้วจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร?
“สุดท้ายเจ้ายังมีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่?”
อาจารย์อาจั่วค่อยๆ สืบเท้าก้าวเข้ามายังด้านหน้าของหน้าผา จากนั้นมองดูเจ้าล่าเยวี่ยด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าว
นี่มิใช่การหยอกล้อหรือเหยียดหยามที่ผู้แข็งแกร่งกระทำต่อผู้อ่อนแอกว่าก่อนที่จะตาย
หากเขายินดี ในเวลานี้เจ้าล่าเยวี่ยคงตายไปแล้ว
เพียงแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาใคร่รู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยคิดอยากจะสืบเรื่องใด และสืบไปแล้วมากน้อยเท่าไร
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนางสืบเรื่องนี้เพราะได้รับคำสั่งจากใครมา ยอดเขาชิงหรงหรือว่ายอดเขาเทียนกวง?
คนใกล้ตาย คำพูดมักเชื่อถือได้
เขาหวังจะได้รับข้อมูลที่มีค่าบางอย่าง
เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางกล่าว “สิ่งที่ข้าอยากพูดก็คือ ท่านไม่ควรอยู่ใกล้ข้าขนาดนี้”
ในเวลานี้ที่นางเริ่มพูด การเปลี่ยนแปลงพลันเกิดขึ้น
สร้อยตรงข้อมือของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเงิน ดูคล้ายอสรพิษที่โผล่ขึ้นมา พริบตาพลันยืดยาวกลายเป็นโซ่ที่รัดตัวอาจารย์อาจั่วไว้!
เสียงแคว่กดังขึ้น บนชุดสีเทาของอาจารย์อาจั่วมีรอยฉีกขาดปรากฏขึ้นมาหลายรอย
“อาศัยเพียงของแค่นี้ แล้วคิดจะรอดไปได้งั้นรึ?”
อาจารย์อาจั่วมองนางพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
กระบี่บินสีเทาเรียบง่ายเล่มนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะฟันลงไปบนโซ่กระบี่เส้นนั้น
เสียงเคร้งดังชัดเจน
ตรงตำแหน่งที่กระบี่บินสีเทาและโซ่เหล็กปะทะกัน เกิดเป็นประกายไฟขนาดเท่ากำปั้นระเบิดออกมา
ทว่าโซ่เหล็กมิได้ขาดลงดั่งที่เขาคิดไว้
อาจารย์อาจั่วสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดมันเกิดอะไรขึ้น?
โซ่กระบี่รัดแน่นจนจมลงไปในร่างกายของเขา เพียงแค่พริบตา โลหิตสดๆ ก็หลั่งไหลออกมา
อาจารย์อาจั่วส่งเสียงอึกด้วยความเจ็บปวด ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
เวลาที่ศิษย์นอกสำนักของชิงซานออกลาดตระเวน พวกเขามักจะพกโซ่กระบี่ติดตัวเอาไว้ เพื่อช่วยพวกเขาในการไล่สังหารอสุรกายและควบคุมศัตรู
โซ่กระบี่เหล่านั้นเป็นอาวุธวิเศษที่ธรรมดาที่สุด มิอาจเทียบได้แม้กระทั่งกระบี่บินที่ระดับต่ำที่สุดเสียด้วยซ้ำ
เหตุใดกระบี่เซียนของเขาจึงไม่สามารถตัดโซ่กระบี่เส้นนี้ได้?
เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน? มันทำขึ้นมาจากอะไรกันแน่?
ในระยะเวลาสั้นๆ อาจารย์อาจั่วครุ่นคิดไปหลายเรื่อง จึ่งคาดเดาได้ว่าโซ่กระบี่เส้นนี้มีปัญหา ดูแล้วมิธรรมดา
ไม่แน่อาจจะเป็นอาวุธวิเศษที่อาจารย์เซียนคนใดคนหนึ่งในยอดเขาทั้งเก้าหรืออาจจะเป็นท่านเจ้าสำนักมอบให้เจ้าล่าเยวี่ยเอาไว้คุ้มครองตัว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อาจารย์อาจั่วรู้สึกเสียใจที่ตัวเองมิได้ระวังมากพอ
แต่เขาก็มิได้หวาดกลัว แล้วก็มิได้กังวลใจ
ต่อให้โซ่กระบี่เป็นอาวุธวิเศษ แต่สภาวะของเจ้าล่าเยวี่ยยังต่ำต้อยเกินไป ร่างกายบาดเจ็บหนัก แล้วจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สุดท้ายได้อย่างไร?
“เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะฆ่าข้าได้งั้นหรือ?”
เขาจ้องมองดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ย มิได้ปิดบังความโกรธและจิตสังหารของตนเองเลยแม้แต่น้อย
กระบี่บินสีเทาที่ดูธรรมดานั้นบินกลับมาตรงหน้าเขา ก่อนจะถูกเขากลืนลงไป
โอสถกระบี่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ราวกับเป็นกระบี่เล่มเล็กๆ ที่คอยหยุดโซ่กระบี่ที่กำลังหดเข้ามาเรื่อยๆ ก็มิปาน
ชั้นเมฆกระจายตัวออกเป็นเส้นเล็กๆ แสงดาวส่องลงมาบนร่างกายของเจ้าล่าเยวี่ย
ผมสั้นของนางกระเซอะกระเซิงและใบหน้าล้วนแต่เต็มไปด้วยโลหิต แต่มิได้ดูน่าหวาดกลัว เพราะสายตาของนางยังคงเยือกเย็น ดูคล้ายลูกสัตว์ป่าที่พร้อมจะสู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย
กระบี่บินถูกทำลาย โซ่กระบี่ถูกกันเอาไว้ หลังจากนี้จะทำอย่างไร?
เจ้าล่าเยวี่ยออกหมัด
สิ่งที่นางใช้คือเพลงหมัดพื้นฐาน
หรือก็คือเพลงหมัดที่ศิษย์นอกสำนักของศาลาหนานซงเหล่านั้นเฝ้าฝึกฝนอย่างลำบากยากเข็ญทุกวัน
เพลงหมัดนี้ธรรมดายิ่งนัก เป็นแค่เพียงเพลงหมัดที่ช่วยให้ศิษย์นอกสำนักเข้าสู่สภาวะมีกฎเกณฑ์ได้
ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ว่าเพลงหมัดนี้จะมาปรากฏอยู่ในการต่อสู้ระหว่างเซียนกระบี่สองคน
เพลงหมัดของนางมิได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่ถูกต้องยิ่งนัก เหมือนกับรูปคนที่อยู่บนหน้าหนังสือทุกประการ
เพราะว่าถูกต้อง ดังนั้นจึงแม่นยำ
กำปั้นสิบกว่าหมัดกระหน่ำลงบนร่างกายของอาจารย์อาจั่วเหมือนดั่งห่าฝน
กำปั้นของเจ้าล่าเยวี่ยเล็กอย่างมาก แต่ก็แข็งอย่างมาก
ต่อให้เป็นร่างกายของผู้บรรลุสภาวะมิประจักษ์ที่ถูกปราณกระบี่ชำระล้างมาก็ยังไม่อาจทนรับได้
เสียงผัวะๆ ดังขึ้น บนชุดสีเทานั้นมีรอยกำปั้นสิบกว่าหมัดจมลงไป
อาจารย์อาจั่วกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
ข้อมือเจ้าล่าเยวี่ยกระตุกเล็กน้อย โซ่กระบี่พันรอบคอของเขา จากนั้นดึงเขาออกไปยังด้านหน้าหน้าผา ขาทั้งสองข้างที่ขัดสมาธิมาโดยตลอดพลันเตะออกเหมือนดั่งสายฟ้า กระแทกเข้าใส่กลางหลังของอีกฝ่าย
อาจารย์อาจั่วกระอักโลหิตออกมาอีกคำ
ขาทั้งสองข้างของเจ้าล่าเยวี่ยยันหลังของเขาเอาไว้ ส่วนตัวนางหงายไปด้านหลัง โซ่กระบี่ที่อยู่ในมือถูกดึงจนเป็นตึงเส้นตรง
นางคิดจะใช้แรงของร่างกาย ตัดหัวของอีกฝ่ายลงมา
โซ่กระบี่สั่นอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเขยื้อนไปบนร่างกายของอาจารย์อาจั่วอย่างช้าๆ พร้อมส่งเสียงเสียดสีที่ดังแสบแก้วหูออกมา
“มิเสียทีที่เป็นเจ้าล่าเยวี่ย แต่เช่นนี้มิสามารถสังหารข้าได้”
อาจารย์อาจั่วหอบหายใจพลางกล่าว
กระบี่บินสีเทาขวางโซ่กระบี่เอาไว้ตรงลำคอ
คิดไม่ถึงว่าจะถูกศิษย์รุ่นหลังที่มีสภาวะต่ำต้อยกว่าเขาบีบคั้นจนตกอยู่ในสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกโมโหยิ่งนัก
แต่ก็เหมือนที่เขากล่าวไว้ อาศัยเพียงการโจมตีเช่นนี้ จ่าวล่าเยวี่ยมิอาจฆ่าเขาได้
ในเวลาส่วนใหญ่มิสามารถใช้ความกล้า สติปัญญาหรืออะไรอย่างอื่นมาชดเชยความแตกต่างระหว่างสภาวะได้
โลหิตยังคงไหลออกมาจากร่างกายเจ้าล่าเยวี่ยไม่หยุด เนื่องเพราะใช้แรงออกไป โลหิตจึงไหลออกมาเร็วกว่าก่อนหน้านี้
สีหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด สายตายิ่งดูเลือนลาง
นางรู้ว่าเมื่อไรที่ตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะจับโซ่กระบี่เส้นนั้นไว้ พริบตานั้นความตายก็จะมาเยือน
ในเวลานี้ ก้อนเมฆบนปลายสุดของยอดเขากระจายตัวอีกครา แสงดาวสาดส่องลงมา
อาจารย์อาจั่วมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ทันใดนั้นพลันตะลึงลาน
แม้นโซ่กระบี่เล่มนั้นจะรัดอยู่ที่คอเขา แต่สายตาของเขาก็ยังถูกดึงดูดเอาไว้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ตรงหน้าเขาพลันมีคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นมา
เป็นบุรุษหนุ่มสวมใส่ชุดสีขาว
……
……
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เขายังถูกดึงดูดสายตาเอาไว้ นั่นย่อมมิได้เป็นเพราะบุรุษหนุ่มชุดขาวนั้นรูปงามเกินไป
เขาเพียงแต่ไม่เข้าใจ บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร
อาจารย์อาจั่วตกตะลึง อีกทั้งยังสับสน จนเหมือนจะลนลาน
ก่อนที่จะทำร้ายอินทรีตัวนั้น เขาได้ตรวจสอบดูรอบๆ แล้ว ก่อนจะแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่
ในการสนทนาและการต่อสู้หลังจากนั้น เขาก็มั่นใจว่ารอบๆ ยอดเขาไม่มีสุ้มเสียงอื่นใดอีก — ทั้งเสียงหายใจ เสียงหัวใจเต้น แล้วก็ย่อมไม่มีเสียงฝีเท้า
บุรุษหนุ่มชุดขาวคล้ายปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า แล้วก็คล้ายว่ายืนอยู่ตรงนี้มาโดยตลอด
ปัญหาก็คือ หากเขายืนอยู่ตรงหน้าผานี้มาโดยตลอด เหตุใดตนเองถึงมองไม่เห็น? กระทั่งการรับรู้ก็ไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย?
สามารถปกปิดร่องรอยของตัวเองเอาไว้ได้อย่างมิดชิด หรืออีกฝ่ายจะเป็นผู้ที่บรรลุถึงขั้นคเนจร?
ไม่ ต่อให้บรรลุขั้นคเนจรก็มิอาจทำเช่นนี้ได้
หรืออีกฝ่ายจะเป็นผี?
ในเวลาสั้นๆ อาจารย์อาจั่วครุ่นคิดถึงเรื่องราวมากมาย คิดถึงความเป็นไปได้มากมาย ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
จิ๋งจิ่วมิได้ให้เวลาอีกฝ่ายครุ่นคิดนานนัก เขายกมือขึ้นมา
อาจารย์อาจั่วรับรู้ได้ถึงความอันตรายที่รุนแรง ดวงตาหดเล็ก คิดอยากจะหนีไป แต่กลับถูกโซ่กระบี่และขาทั้งสองข้างที่อยู่ด้านหลังรั้งเอาไว้
มือของจิ๋งจิ่ววางลงไปตรงลำคอของอาจารย์อาจั่ว
เสียงเสียดสีที่แสบแก้วหูจนยากจะทนฟังได้ดังขึ้น ประกายไฟแตกกระจาย ดูงดงามยิ่งนัก
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสียงร้องของอาจารย์อาจั่วเงียบลงพร้อมกับเสียงเสียดสีที่หยุดลง
เสียงพลั่กเบาๆ ดังขึ้น
ศีรษะของอาจารย์อาจั่วหลุดร่วงลงมาราวกับผลไม้ที่สุกงอม
ใบหน้าของเจ้าล่าเยวี่ยปรากฏออกมา ดวงตาก็ปรากฏออกมา ยังคงเป็นสีดำขาวที่แยกกันชัดเจน
โลหิตสดๆ พุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอของศพที่ขาดออก ดูคล้ายดอกไม้ไฟในงานเฉลิมฉลอง แล้วก็เหมือนกับน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า
ทั้งสองคนสบตากัน โดยมีดอกไม้โลหิตสีแดงที่ฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้าคั่นกึ่งกลางเอาไว้
………………………………………………………………