มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 29 ข้าเป็นคนฆ่าเอง
อาจารย์อาที่บรรลุสภาวะมิประจักษ์คนหนึ่งของยอดเขาปี้หูเสียชีวิต ว่ากันว่าเขาถูกคนสังหาร
ตำแหน่งที่พบศพของอาจารย์อาผู้นั้นคือริมลำธาร ว่ากันว่าสภาพศพของเขาน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทั้งศีรษะถูกคนตัดออก
นี่เป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานในช่วงหลายปีมานี้
ว่ากันว่าอาจารย์อาผู้นั้นเป็นคนสนิทของเจ้ายอดเขาปี้หูและได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ตอนนี้เจ้ายอดเขาปี้หูกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ เดิมอารมณ์ของเหล่าลูกศิษย์ในยอดเขาก็มิสู้ดีอยู่แล้ว ตอนนี้จู่ๆ ยังมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก นี่ย่อมต้องทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ยอดเขาซั่งเต๋อได้รับความกดดันอย่างหนักหนาสาหัส
หากเป็นสายลับที่แข็งแกร่งของสำนักอื่นแฝงตัวเข้ามาในยอดเขาทั้งเก้า เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นความผิดพลาดของยอดเขาซั่งเต๋อ
แต่ความเป็นไปได้นี้ไม่สูงนัก เนื่องเพราะหากมียอดฝีมือที่สามารถสังหารผู้บรรลุสภาวะมิประจักษ์ได้จริง ข่ายพลังชิงซานย่อมต้องรู้ตัวอย่างแน่นอน
ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นก็คืออาจารย์อาแห่งยอดเขาปี้หูผู้นั้นเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนในสำนักเดียวกัน
หากเป็นเช่นนี้จริง ยอดเขาซั่งเต๋อที่รับผิดชอบตรวจสอบทุกยอดเขาก็ยิ่งต้องเป็นแกนนำในการสืบสวน
ยอดเขาซั่งเต๋อได้ส่งผู้ดูแลและลูกศิษย์จำนวนมากออกไปสืบสวน แต่กลับหาเบาะแสเงื่อนงำใดๆ ไม่เจอ
ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือแห่งยอดเขาอื่นที่เคยมีความแค้นกับผู้ตายแห่งยอดเขาปี้หูผู้นั้น หรือว่าผู้อาวุโสสองสามคนที่มีอารมณ์รุนแรง ในอดีตเคยมีประวัติที่ไม่ดี ในคืนวันนั้นก็ล้วนแต่มีพยานยืนยันได้
เรื่องนี้คล้ายกับมีเมฆหมอกปกคลุมเอาไว้เเป็นชั้นๆ
เหล่าลูกศิษย์ที่ลำธารสี่เจี้ยนมีสภาวะที่ต่ำต้อย พวกเขาย่อมไม่มีส่วนข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ การสืบสวนของยอดเขาซั่งเต๋อก็ไม่มีทางที่จะถามมาถึงพวกเขา แต่พวกเขาเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าบรรยากาศในช่วงนี้มีปัญหานิดหน่อย เหล่าอาจารย์เซียนที่รับผิดชอบในการสอนวิชาดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด หลังสอบถามเรื่องราวจนรู้ต้นสายปลายเหตุ ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว บรรยากาศยิ่งตกอยู่ในความเงียบ
หลิ่วสือซุ่ยเป็นคนที่มิค่อยกล่าววาจามากนัก หากว่ากันตามหลักแล้ว แม้นเขาจะเงียบกว่าปกติ มันก็ยากที่จะมีใครสังเกตเห็นได้ ทว่าหม่าหวากลับรู้สึกว่าเขามีบางอย่างผิดปกติ เพราะนอกจากเงียบกว่าเดิมแล้ว เวลาหลิ่วสือซุ่ยฝึกกระบี่ เขามักใจลอยบ่อยครั้งด้วย ในช่วงเวลาสองวันนี้มีอยู่หลายครั้งที่เขาเกือบพลาดทำร้ายตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นมิบ่อยนัก
หม่าหวาคิดอยากหยั่งเชิงดู แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าอันที่จริงหลิ่วสือซุ่ยยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าขวบ การที่จู่ๆ ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ สภาพจิตใจไม่สงบมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
คงจะมีเเพียงสาวน้อยสัตว์ประหลาดอย่างเจ้าล่าเยว่กระมังถึงจะได้ไม่ได้รับผลกระทบกระไร?
เขาทอดตามองไปทางยอดเขากระบี่ที่ถูกเมฆหมอกปกคลุม พลางครุ่นคิดเช่นนี้
……
……
ในคืนวันเดียวกัน หลิ่วสือซุ่ยไปยังถ้ำของจิ๋งจิ่ว เขาไม่ได้ไปที่นั่นนานมากแล้ว
จิ๋งจิ่วแปลกใจเล็กน้อย
ใบหน้าหลิ่วสือซุ่ยดูขาวซีด ดวงตาแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอน
จิ๋งจิ่วนึกว่าเขากังวลเรื่องงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน จึงยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา กล่าวว่า “เจ้าเหมาะกับยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างมาก พวกเขาต้องรับเจ้าอย่างแน่นอน”
หลิ่วสือซุ่ยเงยหน้า พลันถามว่า “คุณชาย…ท่านเป็นคนทำหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม ฟังไม่ชัดว่าหางเสียงตวัดขึ้นหรือลง
หลิ่วสือซุ่ยมองเขา สายตาแข็งทื่อเล็กน้อย กล่าวว่า “คืนวันนั้น…ข้ามาท่าน แต่ท่านไม่อยู่ที่นี่”
จิ๋งจิ่วถึงได้รู้ว่าคืนวันนั้นหลิ่วสือซุ่ยมาหาตน คิดว่าคงไม่เจอตน เจอแต่เพียงป้ายกระบี่ชิ้นนั้นเป็นแน่
เขายิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าสามารถฆ่าคนผู้นั้นได้?”
ลูกศิษย์ขั้นล้างกระบี่ที่ไม่มีแม้กระทั่งกระบี่ จะไปสังหารผู้ที่บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ได้อย่างไร?
ที่การสืบสวนของยอดเขาซั่งเต๋อมิได้เข้าใกล้ธารสี่เจี้ยน ก็ด้วยเหตุผลนี้
อย่าว่าแต่จิ๋งจิ่วเลย กระทั่งลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่บรรลุสภาวะได้ค่อนข้างสูงในห้องเรียนแรกของศาลาสี่เจี้ยน ก็ยังไม่ตกเป็นเป้าหมายสงสัย
ครั้นได้ยินคำพูดจิ๋งจิ่ว สีหน้าของหลิ่วสือซุ่ยดูสับสน
“เมื่อคืนพวกศิษย์พี่กู้บอกว่าตรงลำคอของอาจารย์อาที่ตายไปผู้นั้นเรียบลื่น มือสังหารน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับขั้นคเนจร หรือไม่ก็ใช้สุดยอดกระบี่”
“ข้าจำได้ชัดเจน ท่านเคยบอกว่าสิ่งที่ท่านถนัดที่สุดก็คือ….ตัดขาด”
“คืนก่อนหน้านี้ คุณชายท่านไปที่ไหนมา?”
“คุณชาย ข้ารู้สึกกลัวจริงๆ”
จิ๋งจิ่วมองดูใบหน้าเล็กๆ ของหลิ่วสือซุ่ย
เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าใบหน้าของหลิ่วสือซุ่ยสามารถขาวได้ถึงเพียงนี้
เขาย่อมสามารถปิดบังหลิ่วสือซุ่ยได้ เขาสามารถหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอธิบายได้อย่างง่ายดาย เหตุใดตนเองที่มิเคยออกจากถ้ำ คืนวันนั้นกลับออกไปจากถ้ำ อย่างเช่นเขาไปผจญภัยที่ยอดเขากระบี่มา เขาไปดูพวกวานรเล่นสนุกมา…..เพราะเขาทราบดี หลิ่วสือซุ่ยเพียงแค่ต้องการเหตุผลปลอบใจจากเขาเท่านั้น
แต่มิรู้เพราะเหตุใด เขาถึงไม่ได้ทำเช่นนี้
“ใช่”
“อา?”
“คนผู้นั้น ข้าเป็นคนฆ่าเอง”
ภายในถ้ำตกอยู่ในความเงียบ สามารถได้ยินเสียงธารสี่เจี้ยนที่ไหลเอื่อยอยู่ด้านล่างหน้าผาได้อย่างชัดเจน
จากนั้นเสียงลมหายใจของหลิ่วสือซุ่ยยิ่งฟังดูก็ยิ่งว้าวุ่นขึ้นทุกขณะ
สีหน้าเขายิ่งเขาซีด
“คุณชาย…ท่าน…เป็นใคร…กันแน่?”
ที่ศาลาหนานซงเมื่อสามปีก่อน หลิ่วสือซุ่ยเคยถามคำถามนี้กับจิ๋งจิ่วแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว
วันนี้ เขาถามมันออกมาอีกครั้ง
เขารู้ว่าจิ๋งจิ่วมีความลับ อีกทั้งจิ๋งจิ่วไม่คิดอยากข้องเกี่ยวกับยอดเขาเหลี่ยงว่าง เช่นนั้นความลับเหล่านี้อาจจะมีปัญหา
แต่ถึงอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงเลยว่า จิ๋งจิ่วจะ…สังหารอาจารย์ในสำนัก!
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ เรื่องนี้เจ้าสามารถรายงานอาจารย์ได้ หรือไม่ก็…ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นั้น ความจริง ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วเจ้าก็ควรทำเช่นนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าว
ในศาลาหนานซงเช่นเดียวกัน เขาเองก็เคยถามคำถามนี้กับหลิ่วสือซุ่ย ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวเช่นกัน
หลิ่วสือซุ่ยก้มหน้ากล่าวว่า “ข้ารู้ความลับของคุณชาย เพราะท่านไม่เคยคิดปิดบังข้า หลายครั้งท่านคิดช่วยข้า”
อย่างเช่นการหายใจในหมู่บ้าน อย่างเช่นยาวิเศษที่ละลายอยู่ในชาเม็ดนั้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นความลับของจิ๋งจิ่ว แต่มันกลับเป็นผลประโยชน์ของเขา
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” จิ๋งจิ่วยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เพราะกลัววุ่นวายต่างหาก เวลานั้นเจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันทุกวัน มันวุ่นวายเกินไปถ้าต้องมาปิดบังเจ้า”
เพียงแค่วุ่นวายงั้นหรือ?
หลิ่วสือซุ่ยยันกายลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำ แลดูน่าสงสาร
จากหมู่บ้านมาสามปี จากเด็กชายเติบโตเป็นชายหนุ่ม สุดท้ายก็ยังแตกต่างกัน
ตรงปากถ้ำ หลิ่วสือซุ่ยหยุดฝีเท้า ใบหน้ามิได้เหลียวกลับ เขาถามด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “…อาจารย์อาผู้นั้น…เป็นคนเลวงั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วก้มหน้าอ่านเคล็ดกระบี่ มิได้ตอบคำถามนี้
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่ตรงปากถ้ำ มิยอมจากไป
มิรู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเสียงของจิ๋งจิ่วก็ดังขึ้น
“เมื่อยืนในมุมของข้า เขาย่อมต้องเป็นคนเลว”
หลิ่วสือซุ่ยเดินจากไปโดยมิกล่าวกระไร
……
……
จิ๋งจิ่วไม่เคยคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยจะกล่าวฟ้องตนหรือไม่
เพื่อที่จะกลับมายังสำนักชิงซาน เขาคิดคำนวณอยู่ในหมู่บ้านนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม แม้นต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่เขาก็ยังมีวิธีรับมืออยู่มากพอ
แน่นอน อาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากครุ่นคิดถึงปัญหานี้
เวลานี้เขากำลังคิดถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งอยู่
รุ่งเช้า ดวงอาทิตย์ยังอยู่ตรงหมู่ยอดเขา เสียงธารสี่เจี้ยนดังชัดเจน
เขามองดูธารน้ำ ในใจครุ่นคิด
ในตอนที่ดวงอาทิตย์ลอยพ้นยอดเขา เขาครุ่นคิด
จนกระทั่งช่วงกลางวัน แสงอาทิตย์เจิดจ้า เขาหันหน้ากลับไปมองยอดเขาที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปีที่อยู่อีกฟากหนึ่ง พลางครุ่นคิด
“ไปดูหน่อยดีกว่า”
เขากล่าวพึมพำกับตัวเอง
พูดว่าจะไปดูก็ไปดู เขาออกจากถ้ำ เดินเลียบแม่น้ำสี่เจี้ยนไปทางยอดเขาแห่งนั้น
ทุกครั้งที่เขาออกมา มักจะดึงดูดสายตาและเสียงซุบซิบได้เป็นจำนวนมาก ครั้งนี้ก็มิต่างกัน
เมื่อคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในช่วงเวลาครึ่งปีที่เขาเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาออกจากถ้ำมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
คนที่เกียจคร้าน หรือพูดอีกอย่างคือเก็บตัวเองเหมือนอย่างเขา แม้นจะเป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่เคยชินกับการไปไหนมาไหนคนเดียวก็ยังพบเห็นได้น้อยนัก
ในตอนที่เขาเดินผ่านผาหินที่อยู่ปลายสุดของธารน้ำ แล้วเดินต่อไปทางยอดเขาทั้งเก้า สายตาที่มองมาทางเขายิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ เสียงซุบซิบพูดคุยก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
หากไปทางนั้น ก็น่าจะเป็นยอดเขากระบี่
“หรือเจ้านั่นคิดจะไปเอากระบี่?”
เหล่าลูกศิษย์ที่ยืนฝึกกระบี่บินอยู่ในแม่น้ำพากันหยุดเคลื่อนไหว
หม่าหวามองดูจิ๋งจิ่วที่อยู่อีกฟาก พลางกล่าวพึมพำ
จากนั้นเขาพลันสังเกตเห็น หลิ่วสือซุ่ยมิได้รับผลกระทบใดๆ เขายังคงตั้งใจฝึกกระบี่ของตนต่อไป
………………………………………………………………….