มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 34 คนสองคนบนก้อนหินริมธาร
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่ากู้หานคิดถามสิ่งใด แต่นางมิได้คิดตอบคำถาม หากแต่สืบเท้าเดินต่อไปเบื้องหน้า
“หยุด!”
กู้หานกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
เขาสูดหายใจ สะกดอารมณ์ของตนเองเอาไว้ สายตามองดูแผ่นหลังของนางพลางกล่าว “ยอดเขาอื่นล้วนแต่ชรา อนาคตของชิงซาน อยู่ที่พวกเรา…”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้รอให้เขากล่าวจบ
“ท่านผิดแล้ว อนาคตของชิงซานอยู่ที่ข้า หาใช่พวกท่านไม่”.
ครั้นกล่าวจบ นางก็สืบเท้ามุ่งหน้าไปทางยอดเขากระบี่ ก่อนจะหายไปในพายุหิมะอย่างรวดเร็ว
กู้หานจ้องมองจุดดำที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ในพายุหิมะ พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ “เช่นนั้นจิ๋งจิ่วล่ะ? เหตุผลที่เจ้าสนใจมันคืออะไรกันแน่?”
พายุหิมะกระโชก กระบี่บินปรากฎขึ้นมา เขายกเท้าเดินขึ้นไปบนกระบี่ มุ่งหน้าทวนลม กลายเป็นควันสีขาว
หลังบินขึ้นไปไม่นาน กู้หานก็มาถึงยอดเขาที่งดงามแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้
ยอดเขางดงาม แต่ตรงที่ราบริมผา ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่สามารถมองเห็นแสงกระบี่ที่รวดเร็วและดุดัน จิตสังหารรุนแรง กลิ่นอายสงครามคละคลุ้ง แม้แต่เกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาจากฟ้ายังถูกหลอมละลายจนกลายเป็นควัน
นี่คือยอดเขาเหลี่ยงว่าง ยอดเขาที่สองของชิงซาน
ลูกศิษย์ที่นี่ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากแต่ละยอดเขา ศิษย์ส่วนใหญ่ได้บำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นมิประจักษ์ไปแล้ว แล้วก็มีบางคนที่บรรลุถึงขั้นคเนจร
กู้หานชื่นชอบความรู้สึกแบบนี้ยิ่งนัก
คล้ายกับศิษย์ส่วนใหญ่ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาเองก็มิชื่นชอบวิธีการของยอดเขาอื่นๆ รวมไปถึงงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนด้วย พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการกระทำที่แสนน่าเบื่อที่แต่ละยอดเขาใช้เพื่อหาผู้มาสืบทอดพวกเขาและแย่งชิงคนที่มีความสามารถเท่านั้น นอกจากทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งภายในแล้วก็มิได้มีประโยชน์อื่นใดเลย
ลำแสงกระบี่หายไปในถ้ำที่อยู่ปลายสุดของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
“มัวแต่ยืนมองอยู่ข้างๆ เช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้เหตุใดล่าเยวี่ยถึงดูเป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา”
กู้หานมองดูแผ่นหลังนั้นพลางกล่าว
“เดี๋ยวทางศิษย์น้องข้าจะไปพูดเอง แต่เจ้าต้องมั่นใจนะว่าทางชิงเอ๋อร์กับสือซุ่ยจะไม่เกิดปัญหา”
คนผู้นั้นกล่าวถามโดยมิได้หมุนตัวกลับมา “นอกจากนี้ ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้เจ้ามองจิ๋งจิ่วอย่างไรกันแน่?”
กู้หานนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ข้าไม่ชอบมัน”
คนผู้นั้นหมุนตัวกลับมา ใบหน้างดงาม สีหน้าดูอ่อนโยน
เขาคือกั้วหนานซาน ศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักชิงซาน แล้วยังมีอีกสถานะหนึ่งคือหัวหน้าลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง
“หม่าหวาพิสูจน์แล้วว่าความคิดของเขาถูกต้อง”
กั้วหนานซานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “แต่ข้าก็ยังสนับสนุนวิธีของเจ้า หากไม่สามารถผ่านบททดสอบได้ ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหนมันก็ไร้ความหมาย เจ้าเด็กนั่นถูกเจ้าดูแคลนไปหลายครั้งหลายครั้ง แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะชักกระบี่ แล้วในอนาคตจะพิชิตความชั่วร้ายและพิทักษ์วิถีธรรมเพื่อชิงซานของเราได้อย่างไร?”
กู้หานสีหน้าราบเรียบ กล่าวว่า “เจ้านั่นกระทั่งกระบี่ก็ยังไม่มี แล้วจะชักกระบี่ได้อย่างไร?”
……
……
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นค่อยๆ หายไป ต้นหญ้าที่แห้งเหลืองกลับกลายเป็นสีเขียวใหม่อีกครั้ง ต้นวสันตฤดูกลับมาเยือนอีกครา
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนใกล้จะเริ่มขึ้น
ว่ากันว่าเจ้าล่าเยวี่ยเสร็จสิ้นการฝึกฝนอย่างหนักบนยอดเขากระบี่และกลับลงมาแล้ว ทว่ายังไม่มีใครพบเจอนาง แม้แต่ในถ้ำของจิ๋งจิ่วก็ไม่มี
สำหรับชิงซานแล้ว งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ละฝ่ายย่อมต้องให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก
ปลายสุดของลำธารสี่เจี้ยนมีที่นั่งมาจัดวางเอาไว้เรียบร้อย บนผนังหินที่ยาวหลายร้อยจ้างมีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เหล่าอาจารย์เซียนแห่งยอดเขาซีไหลใช้พลังเคลื่อนย้ายมาเป็นแท่นสำหรับรับชมงานชุมนุม ก้อนหินยักษ์กว้างขวางยิ่งนัก สามารถบรรจุคนได้หลายพันคน แล้วยังมีเมฆขาวและสายน้ำเล็กๆ บนหน้าผาไหลเคียงคู่ ดูแล้วช่างให้ความรู้สึกเหมือนดินแดนแห่งเซียน
ลูกศิษย์ธรรมดาที่อยู่ข้างแม่น้ำกำลังทำการฝึกวิชาอย่างตื่นเต้น บางครั้งมักจะอดใจมองขึ้นมาบนฟ้ามิได้
เหล่าศิษย์พี่แห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ออกไปขจัดความชั่วร้ายยังโลกภายนอกและเหล่าอาจารย์แต่ละยอดเขาที่อยู่ในที่ต่างๆ อย่างเมืองเจาเกอต่างทยอยกลับมา
ที่น่าสะดุดตาที่สุดก็คือเหล่าตัวแทนจากสำนักต่างๆ ที่มาชมงานชุมนุม วัดกั่วเฉิงมีสมณะมาสิบกว่ารูป เมืองเจาเกอมีเจ้าหน้าที่จากราชสำนักมาสามสี่คน สำนักอื่นที่มีสัมพันธ์อันดีกับชิงซานอย่างเช่นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย สำนักเสวียนหลิงก็ได้ส่งบุคคลสำคัญที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักมา ได้ยินว่าแม้แต่กระทั่งสำนักเฟิงเตาที่อยู่ห่างไกลในดินแดนทางเหนือก็ยังส่งคนมา
เหล่าศิษย์ในสำนักที่ฝึกฝนขั้นสี่เจี้ยนอยู่ในแม่น้ำมาเป็นเวลาหลายปี ขอเพียงมีความมั่นใจ ก็สามารถลงชื่อเข้าร่วมงานชุมนุมได้
เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดย่อมต้องเป็นที่จับตาของทุกคน ได้ยินว่าแม้แต่กระทั่งผู้อาวุโสท่านหนึ่งแห่งสำนักเสวียนหลิงก็ยังเคยสอบถามถึงสถานการณ์ของหลิ่วสือซุ่ย ส่วนเจ้าล่าเยวี่ยนั้นเป็นคนสำคัญที่ทุกคนต่างจับตามอง หากไม่เป็นเพราะไม่สะดวก เกรงว่าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยคงจะรุดไปหานางแล้ว
ทุกคนต่างใคร่รู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะเลือกยอดเขาไหนในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน
ในขณะเดียวกัน การเปิดเผยของคำตอบนี้ยังเป็นการคลี่คลายปริศนาที่รบกวนสำนักชิงซานมาเป็นเวลาหลายปีด้วย
ในอดีตเมื่อครั้งก่อนที่เจ้าล่าเยวี่ยจะลืมตาดูโลก สำนักชิงซานก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่านางคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แล้วก็คอยให้การปกป้องอย่างลับๆ มาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นฝีมือของใครกันแน่?
นอกจากเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ย ยังมีลูกศิษย์อีกสิบกว่าคนที่ถูกจับตามองอยู่เช่นเดียวกัน
ลูกศิษย์เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในระหว่างที่ฝึกฝนอยู่ในขั้นล้างกระบี่ ในจำนวนนั้นมีอยู่สามคนที่ถูกยอดเขาเหลี่ยงว่างจับจ้องเอาไว้ล่วงหน้าเหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ย ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วก็เริ่มเรียนอยู่ในห้องแรกโดยมีกู้หานเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง ในนั้นยังมีลูกศิษย์คนหนึ่งนามกู้ชิงซึ่งมีสภาวะสูงที่สุด สูงจนสำนักให้ความสำคัญอย่างมาก
หากไม่มีอะไรผิดคาด ลูกศิษย์นามกู้ชิงผู้นี้จะต้องเป็นศิษย์สืบทอดได้อย่างราบรื่นแน่นอน
กู้ชิงมิเป็นที่รู้จักนัก เนื่องเพราะเขาเรียนกระบี่อยู่ในยอดเขาเหลี่ยงว่างในฐานะเด็กติดตาม น้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัวในธารสี่เจี้ยน ด้วยเหตุนี้จึงดูค่อนข้างลึกลับ
ในสายตาของผู้ที่รู้เรื่องราว พลังสภาวะของกู้ชิงนั้นเหมือนจะเหนือกว่าเจ้าล่าเยวี่ยอยู่หน่อยด้วยซ้ำ น่าจะถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ขั้นล้างกระบี่รุ่นนี้แล้ว
เพราะเขาเป็นเด็กติดตามของกั้วหนานซาน ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าลูกศิษย์แห่งยอดเขาเหลี่ยงว่าง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นน้องชายแท้ๆ ของกู้หานด้วย
……
……
ก่อนงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนจะเริ่ม สำนักชิงซานมีเรื่องที่สำคัญยิ่งเรื่องหนึ่งต้องจัดการ
นั่นคือการสืบทอดตำแหน่งเจ้าแห่งยอดเขาปี้หู
การตายของเหลยพั่วอวิ๋นซึ่งเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูคนก่อนยังมิได้มีการประกาศออกมาว่าสาเหตุเป็นเพราะเหตุใด ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเรื่องของสำนักชิงซาน ดังนั้นจึงจัดการอย่างเงียบเชียบที่สุด
นอกจากเจ้าสำนักและเจ้าแห่งยอดเขาอื่นๆ แล้ว ไม่มีผู้ใดได้รับชมการต่อสู้นั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าตัวแทนจากแต่ละสำนักที่มารับชมงานชุมนุมเลย
ในคืนนั้น ลำแสงกระบี่ส่องสว่างไปทั่วทั้งเก้ายอดเขา
เจตน์กระบี่พวยพุ่งฉวัดเฉวียนไปมาบนท้องฟ้าและแผ่นดิน ข่ายพลังชิงซานเริ่มทำงาน ผู้พิทักษ์ทางเหนือลืมตา บดบังแสงดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน สุดท้ายจึงตัดสินแพ้ชนะ
ผู้อาวุโสที่อาศัยอยู่บนยอดเขาปี้หูอย่างสันโดษคนหนึ่งเอาชนะฉื่อเยี่ยนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อ รับตำแหน่งเจ้าแห่งยอดเขาคนต่อไปได้สำเร็จ
……
……
แสงแรกของวันสาดส่อง ยอดเขาทั้งเก้าตื่นขึ้นมา ปลายสุดของลำธารมีเสียงคนจำนวนนับไม่ถ้วนลอยมา
จิ๋งจิ่วมองไปทางด้านนั้น จากนั้นเดินไปยังอีกฝั่งของลำธาร เข้าไปในศาลาสี่เจี้ยน ก่อนจะเคาะประตู
ทุกคนต่างไปยังผาหินตรงปลายสุดของลำธาร ภายในศาลาสี่เจี้ยนเงียบสงัด ตามหลักแล้วมันควรจะว่างเปล่าไม่มีใครอยู่
หลินอู๋จือไม่ได้ออกไป คล้ายว่ากำลังรอเขาอยู่
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว”
เขามองจิ๋งจิ่ว ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเคยชินกับการคิดแล้วทำเลย”
หลินอู๋จือพลิกเปิดสมุดลงชื่อที่เตรียมเอาไว้ พลางยื่นพู่กันให้เขา
จิ๋งจิ่วรับพู่กันมา ก่อนจะเขียนชื่อของตนลงไปบนสมุด
“อาจารย์มั่วชื่นชมเจ้าจริงๆ เห็นแก่ที่ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็ลองพิจารณาเขาหน่อยแล้วกัน”
หลินอู๋จือตบไหล่ของเขา กล่าวว่า “ถึงแม้…เขาจะหน้าตาดูไม่ดีเท่าไรก็ตาม”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้ามิได้สนใจเรื่องความงาม”
หลินอู๋จือมองดูใบหน้าของเขาพลางถอนใจ ในใจครุ่นคิดมันก็ใช่ อย่างไรเสียก็ไม่มีใครรูปงามเท่าเจ้าแล้ว
จิ๋งจิ่วเดินออกไปนอกศาลาสี่เจี้ยน
หลินอู๋จือเก็บสมุดลงชื่อ เตรียมส่งไปเก็บที่ยอดเขาซื่อเยวี่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองแผ่นหลังของเขา ทันใดนั้นพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
กระบี่ล่ะ? ทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปเอากระบี่?
……
……
ที่ปลายสุดของธารสี่เจี้ยน ริมฝั่งทั้งสองด้านมีเหล่าศิษย์ที่รอเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนยืนรออยู่เต็มไปหมด
บนหน้าผาทั้งสองด้านที่สูงหลายร้อยจ้าง ยังมีคนอยู่อีกมากมาย ดูแล้วน่าจะมาจากยอดเขาทั้งเก้า
บนหน้าผามีเมฆหมอกปกคลุม ไม่สามารถมองเห็นภาพด้านในได้อย่างชัดเจน เหล่าบุคคลสำคัญของสำนักชิงซานและตัวแทนจากสำนักต่างๆ ที่มาชมงานชุมนุมคงจะอยู่ในนั้นเป็นแน่
มิรู้ว่าปีนี้สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยจะส่งใครมา? ด้วยสถานะของศิษย์น้องเหลียนเกรงว่าคงไม่มาด้วยตัวเอง คนที่มาจะเป็นลูกศิษย์ของนางหรือเปล่า?
ครั้นมองดูหน้าผาที่อยู่ในสายหมอก จิ๋งจิ่วพลันคิดถึงศัตรูบางคนขึ้นมา
ริมฝั่งลำธารครึกครื้น ทุกที่ล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คน
“ศิษย์พี่จิ๋ง ทางนี้!”
ศิษย์น้องอวี้ซานลุกขึ้นยืนโบกมือมาทางเขา เพื่อบอกว่านางได้แย่งที่นั่งดีๆ เอาไว้ให้เขาแล้ว
จิ๋งจิ่วมองไป พบว่าที่นั่งนั้นหากใช้ชมงานชุมนุมก็ถือว่าไม่เลวจริงๆ แต่คนเยอะเกินไป
เขาชื่นชอบความเงียบ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่อยากไปในที่ที่มีคนเยอะๆ
สายตาเขาไปตกอยู่ในตำแหน่งที่เงียบสงบที่สุดของริมฝั่งแม่น้ำ
ที่นั่นไม่ได้อยู่ห่างไกล หากแต่เป็นจุดที่อยู่ใกล้หน้าผามากที่สุด เป็นหินสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ในแม่น้ำ
เหตุที่มันเงียบสงบ เป็นเพราะบนก้อนหินที่คนผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เจ้าล่าเยวี่ยอยู่ที่นั่น
ไม่มีลูกศิษย์กล้าเข้าใกล้นาง
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไป ก่อนจะนั่งลงข้างนาง
………………………………………………………………………