มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 42 ข้าปรารถนาจะไปยอดเขาที่เก้าของชิงซาน
ลำแสงกระบี่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย นั่นคือกระบี่เล่มเล็กสีเขียว
กระบี่สีเขียวเล่มนี้ดูเก่าแก่ นอกจากนั้นก็มิได้มีอะไรที่ดูพิเศษ
ครั้นนั้นเจ้าล่าเยวี่ยเพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักได้สามเดือนก็ได้รับการยอมรับจากกระบี่สีเขียวที่อยู่บนยอดเขากระบี่ สร้างความตกตะลึงให้กับหลายคน แต่ก็มีหลายคนที่รู้สึกเสียดาย
คุณภาพเนื้อกระบี่เล่มนี้ค่อนข้างธรรมดา
สำหรับพวกเขาแล้ว หากเจ้าล่าเยวี่ยอดทนอีกสักหน่อย นางมีโอกาสที่จะได้กระบี่ที่ดีกว่านี้
นางเตรียมปล่อยกระบี่ แต่กลับถูกห้ามเอาไว้
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยที่ดำเนินงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนผู้นั้นมองนางอย่างเมตตา พลางกล่าว “เจ้ามิจำเป็นต้องดูแล้ว”
หากเปลี่ยนเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมบางคน ในเวลานี้อาจจะยืนกรานที่จะแสดงความสามารถของตนเองออกมาเหมือนศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น เช่นนี้ก็จะสามารถสะท้อนความยุติธรรมของสำนักออกมาได้ แต่มิรู้เป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากจิ๋งจิ่วหรือเป็นเพราะนางรู้สึกว่าการแสดงกระบี่มันน่าเบื่อ มันยุ่งยาก เจ้าล่าเยวี่ยจึงมิได้กล่าวกระไร หากแต่เก็บกระบี่กลับเข้าไปในแขนเสื้อใหม่อีกครั้ง
แน่นอนว่าไม่มีใครขอท้านาง
กู้ชิงซึ่งเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์ขอท้านาง ได้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือจิ๋งจิ่วไปแล้ว
เช่นนั้นหลังจากนี้ก็จะเป็นช่วงที่น่าดึงดูดที่สุดในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน —- เลือกและถูกเลือก
สถานการณ์ในเวลานี้แตกต่างไปจากตอนที่แย่งชิงจิ๋งจิ่วกันอย่างดุเดือดเมื่อครู่นี้ บริเวณหน้าผาเงียบสงัดยิ่งนัก อีกทั้งยังมีความรู้สึกตรึงเครียดเพิ่มขึ้นมาด้วย
“ดูเหมือนทุกคนจะรู้ดีว่าควรทำอย่างไร”
ผู้อาวุโสจากยอดเขาซื่อเยวี่ยสีหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปยังคนของแต่ละยอดเขาที่อยู่บนหน้าผาพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ตามลำดับแล้วกัน”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ดูแล้ว เหมือนจะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในประวัตศาสตร์งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของสำนักชิงซาน
ในตอนที่ทุกยอดเขาต่างต้องการตัวศิษย์ผู้หนึ่ง หากการแย่งชิงดุเดือดมากเกินไป อาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ง่าย
ในเวลานี้แบบนี้จำเป็นต้องมีการกำหนดขั้นตอนล่วงหน้า
ยอดเขาทั้งเก้าจะพูดคุยกับศิษย์ผู้นั้นตามลำดับ
ความจริงแล้วลำดับในที่นี้เป็นการเรียงลำดับขึ้นมาจากท้าย ยอดเขาที่อยู่อันดับท้ายสุดจะเป็นคนเริ่มก่อน
ยอดเขาที่ก้าวออกมาเป็นคนแรกสุดคือยอดเขาปี้หู
อาจารย์ลุงผู้บรรลุสภาวะขั้นคเนจรที่เพิ่งกลายเป็นเจ้ายอดเขาปี้หูเมื่อคืนนี้คนนั้นกล่าวออกมาสองสามประโยค
จากนั้นเจ้ายอดเขาซีไหลก็ออกมากล่าวสองสามประโยค
เห็นได้ชัด พวกเขามิได้มีความมั่นใจแม้เพียงน้อยว่าจะได้ตัวเจ้าล่าเยวี่ยมา เพียงแต่แนะนำจุดเด่นของยอดเขาตัวเอง และพูดเชิญชวนเล็กน้อยเท่านั้น
เจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยเตรียมรับจิ๋งจิ่วเป็นศิษย์ ดังนั้นผู้ที่ก้าวออกมาจึงเป็นผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง
สุ้มเสียงอันอ่อนโยนของเจ้ายอดเขาชิงหรงดังสะท้อนอยู่เป็นเวลานาน ผู้คนถึงได้รู้ว่าหญิงสาวที่มีสภาวะและความอาวุโสสูงที่สุดในสำนักชิงซานผู้นี้มีมุ่งมั่นอย่างมากที่จะได้ตัวเจ้าล่าเยวี่ยมา
ยอดเขาอวิ๋นสิงใคร่ครวญถึงเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยฝึกฝนอย่างหนักอยู่บนยอดเขากระบี่มาตลอดระยะเวลาสองปีนี้ คิดว่าฝั่งตนเองน่าจะมีโอกาสอยู่ไม่น้อย จึงใช้เวลาพร่ำพรรณนาอยู่เป็นเวลานาน
จากนั้นเป็นยอดเขาซั่งเต๋อ
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในครั้งนี้ ยอดเขาซั่งเต๋อยังคงไม่เป็นที่สนใจของเหล่าศิษย์เหมือนอย่างที่แล้วมา หลายคนคิดว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสเท่าไร
ไม่มีใครคาดคิดว่าเสียงอันเยือกเย็นและทรงพลังเสียงหนึ่งจะดังขึ้นมา
“เจ้าคืออนาคตของชิงซาน หากเจออาจารย์ไม่ดี ก็มีแค่จะถ่วงการบำเพ็ญเพียรของเจ้า ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าดีกว่า”
หยวนฉีจิง เจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อที่มิได้รับศิษย์มาเป็นเวลานานหลายปี และแทบจะไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนกลับปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังตัดสินใจถ่ายทอดเพลงกระบี่ด้วยตัวเอง!
แม้นยอดเขาซั่งเต๋อจะไม่เป็นที่สนใจของเหล่าศิษย์ แต่หยวนฉีจิงคือใคร? เขาคือกฎกระบี่ของชิงซาน!
ในยอดเขาทั้งเก้า ใครจะมีความอาวุโสมากกว่าเขา มีอำนาจและสถานะมากกว่าเขา มีสภาวะลึกล้ำกว่าเขา และมีสิทธิ์รับเจ้าล่าเยวี่ยไว้เป็นศิษย์มากกว่าเขา?
เสียงฮือฮาดังขึ้นมา จากนั้นพลันเงียบลงอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ในเวลานี้พลันมีการเปลี่ยนแปลงที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นอีกครา
“เสี่ยวล่าเยวี่ย เจ้ายินดีติดตามข้าเพื่อเรียนกระบี่หรือไม่?”
เสียงนั้นอ่อนโยนและห่างไกล คล้ายสายลมชุ่มชื้นที่พัดมาจากชายฝั่ง ก่อนจะตกลงบนหัวใจของทุกคน
ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก
เพราะนั่นเป็นเสียงของเจ้าสำนัก
มิน่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสไป๋แห่งยอดเขาเทียนกวางจึงออกหน้ารับหลิ่วสือซุ่ยไว้เป็นศิษย์สืบทอดกระบี่ ที่แท้ท่านเจ้าสำนักคิดจะเอาสิทธิ์ของตัวเองให้กับเจ้าล่าเยวี่ย
หรือว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะเป็นคนที่เจ้าสำนักเลือกเอาไว้แต่แรกแล้ว?
หรือว่าในที่สุดปริศนานั้นจะได้รับการคลี่คลาย?
ปัญหาอยู่ที่หลายปีก่อนเจ้าสำนักได้รับจัวหรูซุ่ยไว้เป็นศิษย์ก้นกุฏิ หรือเขาคิดจะแหวกกฎ?
จัวหรูซุ่ย หลิ่วสือซุ่ย แล้วยังมีเจ้าล่าเยวี่ย หากเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดทั้งสามคนล้วนไปอยู่ที่ยอดเขาเทียนกวง….
บรรยากาศบริเวณหน้าผาแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาชิงหรงหรือยอดเขาอวิ๋นสิงที่เวลาปกติจะติดตามยอดเขาเทียนกวงเพียงยอดเขาเดียวก็ยังเกิดความรู้สึกไม่พอใจ
กระทั่งยอดเขาปี้หู ยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาซีไหลที่ปกติมิค่อยได้ออกความคิดเห็นก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
มิสิทธิ์อะไร?
แต่ใครจะหาญกล้าไปแย่งตัวศิษย์กับท่านเจ้าสำนัก?
“ให้นางเลือกเองแล้วกัน”
เสียงของหยวนฉีจิงเยือกเย็นยิ่งนัก
มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถหยุดไม่ให้เจ้าสำนักพูดต่อได้
เพราะในอดีตเขาเป็นศิษย์พี่ร่วมยอดเขากับเจ้าสำนัก
“ไม่เลว”
เจ้ายอดเขาชิงหรงกล่าว “เยวี่ยเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นลงหน่อย อย่าปล่อยให้เรื่องบางเรื่องมาทำให้จิตใจของสับสนวุ่นวาย จะเลือกอย่างไรก็ได้ มิต้องกลัว”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร
ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ ยอดเขาซั่งเต๋อพูดขึ้นมา หรือการเชื้อเชิญด้วยตัวเองของเจ้าสำนัก ล้วนแต่มิอาจทำให้สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนได้
จนกระทั่งในเวลานี้ เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้ายอดเขาชิงหรงประโยคนี้ คิ้วที่ดกดำราวกระบี่ของนางพลันเลิกขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย
จากเมืองเจาเกอมายังชิงซาน จากศาลาหนานซงมาเป็นศิษย์ในสำนัก คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างอยากรู้ว่านางจะเลือกสืบทอดกระบี่ของยอดเขาไหน
นางมิเคยบอกกล่าวความคิดของตนเองมาก่อน กระทั่งท่าทีที่เล็กน้อยที่สุดก็ยังมิเคยเผยออกมา ทุกอย่างก็เพื่อรอคอยโอกาสนี้
“เลือกอย่างไรก็ได้งั้นหรือ?”
นางทวนคำพูดของเจ้ายอดเขาชิงหรงอีกครั้ง
หยวนฉีจิงกล่าวเสียงเยือกเย็น “ถูกต้อง ไม่มีผู้ใดจะหยุดเจ้าได้”
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยทอดข้ามหน้าผาสูงไป มองไปยังที่ใดที่หนึ่งของยอดเขาทั้งเก้าที่เร้นกายอยู่ในก้อนเมฆอีกฟากหนึ่ง
คนบางคน รวมไปถึงเจ้ายอดเขาชิงหรงพลันรู้สึกได้ว่าต้องเกิดเรื่อง แต่คิดจะหยุดยั้งมันก็มิทันการเสียแล้ว
“ยอดเขาเสินม่อ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวเบาๆ
……
……
“อะไรนะ?”
“นางว่าอะไรนะ?”
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย พวงแก้มสองข้างมีลักยิ้มตื้นๆ ปรากฏขึ้นมา
“ข้าบอกว่า ข้าจะสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ”
……
……
บริเวณหน้าผาตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนตะลึงลาน หลายคนนึกว่าตนเองฟังผิดไป
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังเจ้าล่าเยวี่ย
ไม่มีใครคาดคิดว่านางจะปฏิเสธท่านเจ้าสำนักและหยวนฉีจิง แล้วไปเลือกยอดเขาเสินม่อ!
ยอดเขาเสินม่อคือยอดเขาที่เก้าของชิงซาน
ปัญหาคือ เหตุใดนางจึงเลือกยอดเขานี้?
เสียงของเจ้ายอดเขาชิงหรงดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงของนางมิได้อ่อนโยนเหมือนเวลาปกติอีก หาแต่มีความเยือกเย็นและคร่ำเคร่งเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ยอดเขาเสินม่อมิเคยเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเลย?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “รู้ เพราะปรมาจารย์อาจิ่งหยางมิเคยรับศิษย์มาก่อน”
ในเวลานี้หลายร้อยปีที่ผ่านมา ยอดเขาที่เก้าของชิงซานมีเพียงจิ่งหยางคนเดียวเท่านั้น”
จิ่งหยางตั้งใจแสวงหาแต่ธรรมวิถี มิเคยคิดเรื่องสืบทอดอะไรพวกนั้นมาก่อน
สำนักชิงซานเคยชินกับเรื่องที่ยอดเขาเสินม่อมิเคยเข้าร่วมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนมานานแล้ว
“ในเมื่อรู้ เหตุใดเจ้ายังเลือกยอดเขาที่เก้าอีก?”
ในน้ำเสียงของเจ้ายอดเขาชิงหรงแฝงไว้ด้วยความดุร้าย “อีกไม่กี่ปี ยอดเขาที่เก้าก็จะทำการสืบทอดขึ้นมาใหม่ แต่นั่นเป็นเรื่องที่ศิษย์น้องของเจ้าต้องเป็นคนคิด”
ก่อนที่จิ่งหยางจะบรรลุกลายเป็นเซียน ต่อให้เขาไม่รับศิษย์ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ตอนนี้สำนักชิงซานจะปล่อยให้ยอดเขาเสินม่อว่างเปล่าเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในกฎของสำนักชิงซานกล่าวไว้อย่างชัดเจน หากไม่มีใครมาสืบทอดกระบี่ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครบสามครั้ง การสืบทอดของยอดเขานั้นจะถือเป็นอันสิ้นสุด และทำการเปิดสายกระบี่ขึ้นมาใหม่
ปัญหาคือ ยอดเขาเสินม่อที่ทำการเปิดสายกระบี่ขึ้นมาใหม่จะยังคงเป็นยอดเขาเสินม่อที่นางอยากไปอยู่หรือเปล่า?
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางหน้าผา นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำที่ไหลลงมาตามผาหิน
ตั้งแต่เล็กนางเฉลียวฉลาดกว่าผู้อื่น เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กก็อ่านหนังสือครบสามพันเล่ม
จากนั้น นางก็เริ่มเตรียมตัวบำเพ็ญเพียรและบำเพ็ญเพียร
การบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญ จืดชืดและน่าเบื่อ อีกทั้งมักจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ร่างกายและจิตใจ
ในเมืองเจาเกอ นางเป็นลูกสาวของขุนนางผู้หนึ่ง แต่นางลำบากว่าอสูรหิมะที่อยู่ในแคว้นเสวี่ยเสียอีก
หลังมาถึงชิงซาน นางก็ยิ่งขยันขันแข็งจนไม่สามารถบรรยายได้ หากใช้คำพูดของอาจารย์เมิ่งที่กล่าวไว้ในตอนแรก นางขยันขันแข็งจนดูไม่เหมือนอัจฉริยะเลยแม้แต่น้อย
เด็กหญิงอายุสิบสามสิบสี่นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขากระบี่ ไม่ทันไรก็ผ่านไปสามปี เส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรกเลอะเทอะ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่น นางทำไปเพื่อสิ่งใด?
เพื่อมีสิทธิ์สืบทอดกระบี่และมีสิทธิ์ได้เลือกอย่างอิสระ
“ทำไมน่ะหรือ? เพราะข้าไม่อยากเห็นยอดเขาใหม่อะไรนั่น”
นางกล่าวว่า “ข้าจะสืบทอดยอดเขาเสินม่อ”
เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นถามว่า “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เพราะข้าคือศิษย์สืบทอดที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางเลือกเอาไว้”
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนก้อนหิน สายตามองดูน้ำในลำธาร ในใจครุ่นคิดเป็นเช่นนี้นี่เอง
……………………………………………………………