มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 43 ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
คำตอบที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนใคร่รู้ได้เปิดเผยออกมาในเวลานี้
คำตอบนี้ดูคล้ายไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หากครุ่นคิดให้ดีจะพบว่ามันแฝงความหมายเอาไว้นับไม่ถ้วน
หน้าผาตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ผู้คนต่างตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
สุดท้ายเป็นเจ้ายอดเขาชิงหรงที่ทำลายความเงียบ ใช้น้ำเสียงที่เยือกเย็นถามไปว่า
“เขาบรรลุเป็นเซียนไปแล้ว เจ้าจะไปร่ำเรียนกระบี่กับใคร? กระบี่มิคำนึงเองก็ติดตามเขาไป แล้วเจ้าจะสืบทอดกระบี่อะไร?”
อาคันตุกะที่มาชมงานชุมนุมต่างสังเกตเห็นว่าตอนที่เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงกล่าวถึงนักพรตจิ่งหยางนั้นมิได้ใช้คำแสดงความเคารพ มิได้ขานเรียกอาจารย์อา หากแต่เรียกเขาเฉยๆ แต่มิรู้เพราะเหตุใด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักชิงซานหรือหยวนฉีจิงต่างก็มิได้กล่าวกระไร คล้ายสำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ตามกฎเก่าของชิงซาน ขอเพียงข้าสามารถขึ้นยอดเขาเสินม่อ และเอากระบี่มิคำนึงมาได้ ก็จะถือว่าสืบทอดกระบี่สำเร็จ”
ขอเพียงสืบทอดกระบี่สำเร็จ เช่นนั้นการสืบทอดของยอดเขาที่เก้าของชิงซานก็จะไม่ขาดลง ส่วนจะเรียนกระบี่อย่างไรนั้น ตอนนี้นางมิได้ใส่ใจเลย
บนหน้าผามีเสียงอันเย็นยะเยือกของหยวนฉีจิงดังขึ้นมา
“ยอดเขาเสินม่อปิดกั้นตัวเอง นอกเสียจากข่ายพลังชิงซานจะเปิดสายกระบี่ขึ้นมาใหม่ ถึงจะสามารถเปิดทางได้ หากเจ้าต้องการสืบทอดสายกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ ข่ายพลังชิงซานย่อมไม่สามารถช่วยเจ้าได้ หนทางขึ้นสู่ยอดเขาอันตรายยิ่งนัก อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาที่ยังอยู่ในขั้นสมความนึกคิดเลย กระทั่งเหล่าอาจารย์อาที่อยู่ในขั้นคเนจรก็ยังมีโอกาสริบหรี่ที่จะรอดออกมาได้ เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะไปอีกงั้นหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ในเมื่อข้าต้องการสืบทอดกระบี่ของปรมาจารย์อา แล้วข้าจะกลัวได้อย่างไร?”
กระบี่ของยอดเขาเสินม่อนามมิคำนึง ใช้เคล็ดกระบี่เก้ามรณา
หมายถึงตายเก้าครั้งมิเสียใจ
หยวนฉีจิงนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ดีๆๆ”
คำว่าดีสามคำนี้เขาพูดโดยไร้ซึ่งความรู้สึก มิรู้ว่าเป็นการชมเชยในความกล้าของเจ้าล่าเยวี่ย หรือมิรู้ว่าจะพูดอะไร
“ที่แท้…เจ้าก็เป็นศิษย์ที่อาจารย์อาคนเล็กเลือกเอาไว้ อายุเพียงเท่านี้กลับมีความกล้าขนาดนี้ มิเสียทีที่เป็นคนที่อาจารย์อาคนเล็กเลือกมา ข้าอนุญาตเจ้า”
ในน้ำเสียงของเจ้าสำนักชิงซานเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจและหวนคิดถึงความหลัง และยังมีความรู้สึกชื่นชม
น้ำเสียงของหยวนฉีจิงยังคงเยือกเย็น “หากเจ้าล้มเหลมและรอดตายกลับมาได้ ภายในสามปีห้ามมิให้สืบทอดกระบี่ เจ้ายังต้องมาบำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองอยู่ที่ข้างลำธาร เข้าใจหรือไม่?”
การลงโทษนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงแล้วกลับหนักหนาสาหัสยิ่งนัก
ในเวลาสามปีไม่สามารถสัมผัสกับเคล็ดกระบี่อันลึกซึ้งที่แท้จริงได้ ทั้งยังไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แต่การบำเพ็ญเพียรของนางก็จะลำบากยากเข็ญยิ่งนัก อย่างน้อยก็จะช้ากว่าศิษย์ร่วมสำนักที่สืบทอดกระบี่สำเร็จไปแล้วเหล่านั้น และในด้านการบำเพ็ญเพียร หากช้าไปก้าวหนึ่ง ทุกอย่างก็จะช้าไปหมด ผลลัพธ์ที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ ผู้ใดจะยอมรับได้?
บนใบหน้าของอาคันตุกะหลายคนเผยให้เห็นสีหน้ามิอาจทนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเหล่าศิษย์ของชิงซาน หลายๆ คนคิดอยากขอร้องแทนเจ้าล่าเยวี่ย
แต่ในฐานะที่เป็นผู้คุมกฎกระบี่แห่งชิงซาน คำพูดของหยวนฉีจิงนั้นคือคำอธิบายกฎสำนักที่ทรงพลังที่สุด ต่อให้เป็นเจ้าสำนักก็มิอาจปฏิเสธได้โดยง่าย
กั้วหนานซานเดินมาริมผา ทำความเคารพเหล่าอาจารย์ที่อยู่ด้านบนพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นให้ศิษย์น้องเจ้าเข้ายอดเขาเหลี่ยงว่างได้หรือไม่ขอรับ?”
ทุกคนเข้าใจความหมายของเขา นึกในใจมิเสียทีที่เป็นหัวหน้าลูกศิษย์ของชิงซาน ทั้งฉลาดและมีไหวพริบ
เจ้ายอดเจ้าชิงหรงกล่าว “ข้าคิดว่าได้”
หยวนฉีจิงนิ่งเงียบมิเอ่ยวาจา
ทุกคนรู้สึกโล่งขึ้นมาทันที
เมื่ออยู่ที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างจะสามารถสัมผัสกับเพลงกระบี่ทั้งหมดของทุกยอดเขาได้
ส่วนที่หยวนฉีจิงบอกว่าเจ้าล่าเยวี่ยมิสามารถสืบทอดกระบี่ได้…ขนาดกู้ชิงที่เป็นศิษย์ขั้นล้างกระบี่ยังแอบเรียนเคล็ดกระบี่สุริยันของยอดเขาซื่อเยวี่ย อย่างนั้นยังมีอะไรให้ต้องกังวล?
นอกจากวัดกั่วเฉิง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย สำนักเสวียนหลิงแล้ว ในหมู่อาคันตุกะที่มาชมชุมนุมยังมีคนที่มีสถานะค่อนข้างพิเศษอยู่ด้วย — นั่นคือองค์ชายสองคนจากเมืองเจาเกอ
ในโลกปุถุชนพวกเขาคือบุคคลที่มีสถานะสูงส่งอำนาจล้นฟ้า แต่ในสถานที่บำเพ็ญเพียรที่อยู่นอกโลกปุุถุชนอย่างสำนักชิงซาน พวกเขากลับต้องสงบเสงี่ยม
นับแต่ตอนเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ องค์ชายสองคนนี้นิ่งเงียบมาโดยตลอด ใบสีหน้ามีรอยยิ้มสำรวม
แต่มิรู้เพราะเหตุใด ในเวลานี้จู่ๆ พวกเขากลับลุกขึ้นยืนส่งเสียงชื่นชมการตัดสินใจของสำนักชิงซานและความกล้าของเจ้าล่าเยวี่ย
ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายทั้งสองคนจึงทำเช่นนี้
ตามหลักแล้ว พวกเขาควรจะคิดว่าสำนักชิงซานทำแบบนี้มันปากว่าตาขยิบ แม้นจะไม่แสดงความคิดเห็นออกมาต่อหน้า แต่มันก็ไม่มีเหตุผลใดให้ชื่นชม
เจ้าล่าเยวี่ยเดินจากในลำธารกลับมานั่งลงบนก้อนหิน
ตั้งแต่ที่งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเริ่มต้นขึ้นจนมาถึงตอนนี้ นางยืนอยู่ตลอด ยังมิได้นั่งลงเลย
บนสีหน้าของนางมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ แต่จิ๋งจิ่วกลับสังเกตเห็นที่มุมขมับของนางมีรอยเปียกชื้น เห็นทีนางคงจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่มิน้อยเช่นกัน
เขาถามว่า “เจ้าอยากขึ้นเขาลูกนั้นขนาดนี้เลยหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร
จากนั้นยอดเขาเหลี่ยงว่างก็รับกู้ชิงไป ลูกศิษย์อีกหลายคนที่เหลือต่างก็เข้าสู่ยอดเขาที่ตนเองต้องการ
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยที่เป็นผู้ดำเนินงานชุมนุมมองมาทางจิ๋งจิ่ว พลางถามว่า “เจ้าคิดเสร็จหรือยัง?”
ในเวลานี้หลายคนถึงนึกขึ้นมาได้ว่าบุรุษหนุ่มชุดขาวที่ทำให้ทั้งงานชุมนุมตกตะลึงผู้นี้ยังไม่ได้ทำการตัดสินใจออกมาเลย
การตัดสินใจของเจ้าล่าเยวี่ยสร้างความตกตะลึงอย่างมาก จนทำให้บางคนลืมเรื่องนี้ไป
ไม่มีใครคิดถึงว่าต่อไปยังจะมีความตกตะลึงเกิดขึ้นอีก
“คิดเสร็จแล้ว” จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าก็ขอเลือกยอดเขาเสินม่อเช่นกัน”
บนหน้าผาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จากนั้นเป็นเสียงซุบซิบพูดคุย
เซวียหย่งเกออ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
สองมือของศิษย์น้องอวี้ชิงประคองแก้มมองดูจิ๋งจิ่ว สีหน้าลุ่มหลงจนมิอาจควบคุมได้
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงงเล็กน้อย นางมองดูใบหน้าของเขา รู้สึกตนเองนับวันจะยิ่งไม่เข้าใจคนผู้นี้
จิ๋งจิ่วก็เลือกยอดเขาเสินม่ออย่างนั้นหรือ?
ทุกคนตะลึงลาน ในใจครุ่นคิดวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
……
……
ท้องฟ้ายามสายัณห์มืดครึ้ม อาทิตย์อัสดงคล้อยผ่านยอดเขาเสินม่อ เมฆหมอกบางเบาจนแทบไม่มี ภาพทิวทัศน์และป่าไม้บนภูเขาชัดเจนยิ่งนัก ทุกอย่างดูปกติ มีทางขึ้นเขาหลายทางที่มุ่งสู่ยอดเขา ตอนที่ผ่านผาขาดดูค่อนข้างอันตราย แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วนั้นมิใช่เรื่องยากอะไร
เหล่านี้ล้วนเป็นภาพลวงตา
หลังนักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน ยอดเขาเสินม่อก็ถูกปิดตาย นอกเสียจากข่ายพลังชิงซานจะเปิดสายกระบี่ขึ้นมาใหม่ มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถเปิดออกได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงเรื่องที่จะเข้าไป
เจ้าล่าเยวี่ยต้องการสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยคนนั้นกล่าวว่า “ขอเพียงพวกเจ้าสามารถขึ้นไปบนยอดเขา และหากระบี่มิคำนึงพบ ก็จะถือว่าพวกเจ้าสืบทอดกระบี่ของท่านนักพรตจิ่งหยางสำเร็จ”
เจ้าล่าเยวี่ยพยักหน้า
กั้วหนานซานกล่าว “ศิษย์น้อง หากมีปัญหาก็ถอยกลับมา อย่าได้ดันทุรัง”
กู้หานมองนางพลางกล่าวว่า “เหตุใดฝืนตัวเองเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ระวังตัวด้วย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวกับกั้วหนานซาน “ขอบคุณสำหรับความหวังดีที่ศิษย์พี่กล่าวกับข้าก่อนหน้านี้ แต่ต่อให้ล้มเหลว ข้าก็คงไม่ไปยอดเขาเหลี่ยงว่าง ขออภัยด้วย”
เมื่อครู่ที่กั้วหนานซานกล่าวคำพูดนั้น ก็เพื่อจะเหลือทางถอยเอาไว้ให้กับนาง และเพื่อได้รับการเห็นด้วยจากท่านเจ้าสำนัก ส่วนเรื่องอันตราย…เมื่อมีท่านเจ้าสำนักและยอดฝีมือของชิงซานคอยจับตาดูอยู่มากมายขนาดนั้น ไม่ว่าข่ายพลังปิดกั้นที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางเหลือทิ้งเอาไว้จะร้ายกาจเพียงใด เขาเชื่อว่าเจ้าล่าเยวี่ยคงมิถึงกับต้องตายอยู่บนนั้น
“ความจริงแล้ว…เจ้าอาจต้องตายจริงๆ”
จิ๋งจิ่วเงยหน้ามองดูยอดเขาสีเขียวที่อยู่ในท้องฟ้ายามสายัณห์อันเงียบสงบ ท่าทางจริงใจ
ยอดเขาเสินม่อเงียบสงบเกินไป ภาพทิวทัศน์ก็ชัดเจนเกินไป มิว่าจะเป็นหน้าผาแปลกๆ หรือป่าที่รกทึบก็ล้วนแต่ไม่มีเสียงใดๆ ราวกับเป็นภาพลวงตา
ความเงียบสงัดเช่นนี้ มักจะหมายถึงอันตรายที่แท้จริง
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะขึ้นไปดู ว่าแต่เจ้า…”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา กล่าวว่า “ในเมื่ออันตรายเช่นนี้ ความจริงเจ้ามิจำเป็นต้องตามข้าไปก็ได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงใคร่รู้ว่าข้างบนมีอะไร เมื่อมีคนเปิดทางอยู่ข้างหน้า ข้าจะได้มิต้องเปลืองแรง”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่มีอารมณ์มาครุ่นคิดว่าคำพูดนี้ของเขาจริงหรือเท็จ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตามมาให้ดี”
“จิ๋งจิ่ว ระ…ระวัง…ตัวด้วย”
ผู้อาวุโสมั่วถูมือทั้งสองข้าง พล่างกล่าวอย่างตื่นเต้น
จิ๋งจิ่วพยักหน้า จากนั้นมองไปข้างกายเขา
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่ที่นั่น บนใบหน้าเล็กๆ เปี่ยมไปด้วยความกังวล ในตอนที่จิ๋งจิ่วมองมา เขาพลันทำหน้าบึ้งตึง ดูไปก็น่ารักอยู่ทีเดียว
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยมุ่งหน้าไปยังยอดเขา
…………………………………………………………………………..