มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 44 ยอดเขาที่ถูกตัดขาด
ด้านหน้ายอดเขาเสินม่อมีคนอยู่ร้อยกว่าคน
ลูกศิษย์ขั้นล้างกระบี่ธรรมดาอย่างเซวียหย่งเกอ ศิษย์น้องอวี้ชิงต่างกลับไปยังริมลำธาร และกำลังรอคอยข่าวคราวอย่างตื่นเต้น จะกลัวก็แต่คืนนี้พวกเขาคงนอนไม่หลับเป็นแน่
เหล่าอาคันตุกะที่มาชมงานชุมนุมมิรู้เป็นเพราะมารยารหรือใคร่รู้จริงๆ กันแน่ พวกเขากลับยังคงอยู่ที่นี่
องค์ชายที่มาจากเมืองเจาเกอสองคนนั้นมองดูเงาทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่างยอดเขา สีหน้ามีความกังวลที่ไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้
สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงเบิ่งตาโต พลางกล่าว “นี่สิถึงจะน่าสนุก”
เหล่าศิษย์หญิงของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและยอดเขาชิงหรงยืนอยู่ด้วยกัน พวกนางซุบซิบพูดคุยอะไรบางอย่างด้วยเสียงเบาๆ สายตาเหลือบมองดูด้านล่างยอดเขาบ่อยครั้ง
ยอดเขาชิงหรงอยู่ใกล้กับยอดเขาเสินม่อมากที่สุด ในหมู่เมฆระหว่างยอดเขามีเงาตะคุ่มๆ ของรถลากขนาดใหญ่
คนที่อยู่ตรงหน้ายอดเขาเสินม่อไม่เยอะ แต่การสืบทอดกระบี่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายปีครั้งนี้ มิรู้ว่าดึงดูดความสนใจจากคนในยอดเขาทั้งเก้ามากน้อยเท่าไร
เมื่อเห็นภาพสองคนที่อยู่ตรงด้านหน้ายอดเขา สีหน้ากู้หานดูหม่นหมองอย่างมาก เรียกได้ว่าดูแย่กว่ากว่าตอนที่กู้ชิงถูกจิ๋งจิ่วตีเสียอีก
ก่อนหน้านี้เจ้าล่าเยวี่ยมิตอบรับความห่วงใยของเขา กระทั่งมองก็ยังไม่เหลือบมองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้นางกลับเดินเคียงคู่กับจิ๋งจิ่ว สนทนาพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา
ภาพนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นเหมือนเหลือบไรที่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวศิษย์น้อง ไยศิษย์น้องต้องสนใจมันด้วย?
กั้วหนานซานตบบ่าเขาเพื่อปลอบใจ
……
……
เมื่อมาถึงหน้ายอดเขาเสินม่อ สภาพแวดล้อมยิ่งดูเงียบสงัด บรรยากาศเองก็ยิ่งดูแปลกขึ้นกว่าเดิม
บนหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจ้างมีน้ำตกสายเล็กๆ ไหลลงมา แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ
เวลาค่ำคืนมาถึง สายลมที่เย็นสบายพัดผ่านยอดไม้ ยังคงไม่มีเสียงใดๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ตรงหน้ายอดเขา มองดูภาพแปลกๆ เหล่านี้ ก่อนจะค่อยๆ เข้าใจเหตุผล
ภายในยอดเขาเสินม่อมีข่ายพลังกระบี่ จุดประสงค์ของข่ายพลังกระบี่มิใช่เพื่อสังหารคนที่มาจากภายนอก หากแต่เป็นการตัดขาด
ข่ายพลังกระบี่นี้ตัดขาดยอดเขาเสินม่อกับโลกภายนอก กลายเป็นยอดเขาต้องห้ามที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน ข่ายพลังกระบี่อันนี้ก็ปลดปล่อยเจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนออกมาคล้ายดั่งผ้าแพร แบ่งพื้นที่ภายในยอดเขาออกเป็นพื้นที่เล็กๆ ไม่รู้มากน้อยเท่าไร
เสียงภายในยอดเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ในพื้นที่เล็กๆ แต่ละอัน คนที่อยู่ภายนอกไม่สามารถได้ยินได้
เวลานี้สามารถมองยอดเขาเสินม่อเป็นเหมือนอัญมณีที่มีรอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนอยูภายใน ดูคล้ายเป็นรูปเป็นร่าง แต่ความจริงแตกออกไปนานแล้ว
ก็เหมือนที่หยวนฉีจิงกล่าวไว้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือแห่งวิถีกระบี่ที่บรรลุขั้นคเนจร ซึ่งสามารถขี่กระบี่ไปยังที่ต่างๆ บนแผ่นดินได้อย่างใจนึก ก็ไม่สามารถเข้าไปในยอดเขาเสินม่อในตอนนี้ได้แม้เพียงก้าวเดียว
ตอนนี้สภาวะของเจ้าล่าเยวี่ยเพียงแค่ขั้นสมความนึกคิดบริบูรณ์ แล้วจะขึ้นไปบนยอดเขาได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วมองดูแผ่นหลังของนาง ภายในใจคิดอยากรู้คำตอบนี้
เขารู้ดีกว่าใคร นี่เป็นเรื่องที่นางไม่มีวันทำสำเร็จ
……
……
สายลมยามค่ำคืนหอบม้วนใบไม้สีเขียวใบหนึ่งที่อยู่บนทางขึ้นเขาเข้าไปในยอดเขา
ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ ใบไม้สีเขียวใบนั้นถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆ สิบกว่าชิ้น จากนั้นค่อยๆ ลอยร่วงตกลงพื้น
มิน่าใต้ต้นไม้สองข้างทางจึงมีเศษใบไม้กองเป็นชั้นๆ เหมือนพรม สีเขียวสีเหลืองผสมกัน น่าดูยิ่งนัก
เศษใบไม้เหล่านี้น่าจะเป็นใบไม้ที่ตกลงมาแล้วถูกข่ายพลังกระบี่ตัดขาดแล้วกองรวมกันมาเป็นเวลาสามสี่ปี ส่วนต้นไม้ น้ำตก ก้อนหินแปลกๆ ที่มีอยู่แต่เดิมในยอดเขานั้นมิได้รับผลกระทบใดๆ ขอเพียงยังอยู่ในตำแหน่งและลักษณะเดิม แม้จะเคลื่อนออกตามตำแหน่งเล็กน้อย ก็จะมิถูกข่ายพลังกระบี่โจมตี
เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้คนที่อยู่ด้านนอกยอดเขาพากันรู้สึกวิตกกังวล
หลิ่วสือซุ่ยใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย กำหมัดไว้แน่น สายตาที่กู้หานจ้องมองเจ้าล่าเยวี่ยดูเป็นกังวลยิ่งนัก
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูทางขึ้นเขาที่อยู่ตรงหน้า มองดูอยู่นาน คล้ายจะมองความลับของยอดเขาเสินม่อให้ทะลุปรุโปร่ง
ระหว่างก้อนหินมีรอยแตกอยู่รอยหนึ่ง นั่นคือเส้นแบ่งระหว่างโลกภายนอกและภายในยอดเขาเสินม่อ
ทันใดนั้น นางพลันหลับตา แล้วก้าวข้ามเส้นนั้นไป
เสียงฟึบเบาๆ ดังขึ้น บนแขนเสื้อของนางมีรอยขาดปรากฏขึ้นมา ดูไปแล้วเหมือนว่าถูกกระบี่ที่คมกริบที่สุดตัดขาด
หลังก้าวข้ามเส้นนั้นมา นางก็หลับตาหมุนตัวไปทางซ้ายแล้วก้าวออกไปสามก้าว ก่อนจะถอยหลังแปลกๆ อีกสองก้าว ฝีเท้าขยับเขยื้อนเล็กน้อย
มุมหนึ่งของชายเสื้อปลิวตกลงมา แต่ไม่มีเสียงใดๆ เพราะนางได้เข้าไปในยอดเขาแล้ว
“อาา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” สาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นกล่าวอย่างประหลาดใจ
อาจารย์อาของนางและหลายๆ คนต่างมองเข้าใจแล้ว
ในเมื่อดวงตาและหูไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเจตน์กระบี่อยู่ที่ใด ไม่สามารถมองหากฎเกณฑ์ของข่ายพลังกระบี่ได้ เจ้าล่าเยวี่ยจึงปิดตา แล้วใช้เพียงแค่จิตจำแนกแห่งกระบี่ในการรับรู้ถึงเจตน์กระบี่
นี่ย่อมอันตรายอย่างมาก
จิ๋งจิ่วเองก็ขยับเหมือนกัน
การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้า ดูแล้วเก้ๆ กังๆ
เนื่องเพราะเขาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเจ้าล่าเยวี่ย
เขาแยกการเคลื่อนไหวของเจ้าล่าเยวี่ยออก จากนั้นทำการรวมมันเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำใหม่อีกครั้ง
เขายกเข่าขึ้นมา ก้าวข้ามเส้นที่อยู่บนก้อนหิน จากนั้นหมุนซ้าย หนึ่งก้าวสองก้าวสามก้าว จากนั้นถอยหลัง หนึ่งก้าวสองก้าว
ในขณะที่ทำการเคลื่อนไหวเหล่านี้ เขาทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยสองครั้ง ตรงตำแหน่งที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกเจตน์กระบี่ตัดชายเสื้อ เขากลับก้าวข้ามไปได้อย่างปลอดภัย
เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วหายไปบนทางขึ้นเขา
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ด้านนอกยอดเขาเสินม่อถึงมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
สาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นกล่าวอย่างทอดถอนใจออกมา “อย่างนี้ก็ได้หรือ”
ไม่รู้ว่านางกำลังชื่นชมในสติปัญญาและความกล้าของเจ้าล่าเยวี่ย หรือว่ากำลังถอนใจให้กับความหนาของหนังหน้าของจิ๋งจิ่ว
หลินอู๋จือยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “ฉวยโอกาสพลิกแพลงก็ถือเป็นความสามารถ ศิษย์น้องจิ๋งช่าง…”
กู้หานกล่าวเสียงเบาๆ “ไร้ยางอาย!”
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยหลับตาเดินไปบนทางขึ้นเขาของยอดเขาเสินม่อ บางครั้งหมุนตัว บางครั้งถอยหลัง บางครั้งกระโดดขึ้น ความเร็วในการก้าวเดินเชื่องช้า
เดิมนางคิดอยากลองดูว่าจะสามารถออกไปจากทางขึ้นเขา แล้วขึ้นไปทางหน้าผาหรือป่าได้หรือได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจตน์กระบี่บริเวณหน้าผาจะหนาแน่นมากกว่าเสียอีก กลับกลายเป็นทางขึ้นเขานั้นเดินได้ง่ายกว่า
จิ๋งจิ่วเดินตามหลังนาง นางขยับเขาก็ขยับ นางหยุดเขาก็หยุด การเคลื่อนไหวเหมือนกันทุกอย่าง ดูคล้ายเงามตามตัวนางไม่มีผิด เพียงแต่ในบางเวลาเขาจะทำการปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทำให้ตัวเองไม่ถูกเจตน์กระบี่เฉือนเข้าเหมือนอย่างนาง
บนเสื้อผ้าของเจ้าล่าเยวี่ยมีรอยขาดเล็กๆ อยู่มากมาย อาศัยเพียงจิตจำแนกในการรับรู้ถึงเจตน์กระบี่ ยังไงก็ไม่มีทางที่จะทำอย่างสมบูรณ์แบบได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจตน์กระบี่สายหนึ่งร่วงหล่นตามกิ่งไม้กิ่งหนึ่งลงมา ก่อนจะเฉียดแก้มของนางและตัดผมสีดำของออกไปหลายเส้น โชคดีที่นางผมสั้น จึงมิได้ดูเด่นชัดอะไร
แต่รอยแผลบนติ่งหูของนางกลับชัดเจนยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วมองดูภาพข้างหน้าพลางกล่าว “ข้าเหนื่อยแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวมองเขา มิได้กล่าวกระไร นางขัดสมาธินั่งลง แล้วเริ่มดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติ พักฟื้นพลังให้กับตัวเอง
ข่ายพลังกระบี่ของยอดเขาเสินม่อคือการอาศัยเจตน์กระบี่ตัดขาดความว่างเปล่า กระทั่งแสงสว่างก็ยังเกิดการหักเห แต่ระดับความเข้มข้นของพลังชีวิตในธรรมชาติยังคงปกติ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เจ้าล่าเยวี่ยลืมตา มองไปทางปลายยอดเขาที่ยังคงอยู่ห่างไกล นิ่งเงียบมิพูดอะไร
ต่อให้สามารถใช้พลังชีวิตในธรรมชาติมาฟื้นฟูปราณกระบี่และพลังกายได้ทุกเมื่อ แต่การเดินแบบนี้ เมื่อไรถึงจะเดินไปถึง?
ในระหว่างที่เดินมา จิ๋งจิ่วมองดูนางหลับตาเดินอยู่บนทางเดินที่เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่จากด้านหลัง ทันใดนั้นพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หลังเจ้าล่าเยวี่ยเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก นางก็ฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาอยู่บนยอดเขากระบี่มาโดยตลอด
เหตุใดนางต้องฝึกวิชาที่อันตรายเช่นนี้ด้วย? เพียงแค่เพราะนางไม่ชอบถูกสายตาของคนอื่นจับจ้องอย่างนั้นหรือ? ไม่ ตอนนี้ดูแล้ว เหตุผลอันนั้นมันชัดเจนอย่างมาก
“ที่แท้ เจ้าก็เตรียมตัวเพื่อวันนี้มาโดยตลอด”
“ถูกต้อง”
“ทำไม?”
จิ๋งจิ่วเป็นคนที่พูดไม่เยอะ แล้วก็ไม่ได้มีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนผู้พิทักษ์ชิงซาน แต่นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาถามคำถามนี้แล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยยังมิตอบคำถามเขา หากแต่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินต่อไปข้างหน้า
………………………………………………………….