มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 45 ข้ากลัวว่าจะไม่ทัน
เส้นทางขึ้นเขาภายในยอดเขาเสินม่อคับแคบ อีกทั้งยังทรุดโทรมอย่างมาก บันไดหินสูงต่ำไม่เท่ากัน บางที่กระทั่งบันใดหินก็ยังไม่มี
นักพรตจิ่งหยางมิเคยลงจากเขามาก่อน ที่นี่ไม่มีลูกศิษย์ ทุกๆ สองสามปี เวลาเจ้าสำนักพาผู้อาวุโสมายอดเขาเสินม่อเพื่อเยี่ยมเยียนก็จะขี่กระบี่บินมา ทางขึ้นเขาไร้คนใช้งาน นานวันเข้าย่อมต้องผุพัง
ยิ่งเดินเข้าไปยังส่วนลึกของยอดเขาเสินม่อ ทางขึ้นเขาก็ยิ่งทรุดโทรม ข่ายพลังกระบี่่ที่ปิดกั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
แม้นจะระมัดระวังเพียงใด บาดแผลบนร่างกายของเจ้าล่าเยวี่ยก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ โลหิตสดๆ ค่อยๆ ย้อมเสื้อผ้าจนเป็นสีแดง
เจตน์กระบี่หลอมกายามิสามารถทำให้นางหลบหลีกอันตรายที่มีทั้งหมดในข่ายพลังกระบี่ไปได้ แล้วก็ไม่สามารถต้านทานการเชือดเฉือนของเจตน์กระบี่เหล่านั้นได้ด้วย
จิ๋งจิ่วสองมือไพล่หลังเดินตามอยู่ด้านหลังนาง
“ข้าเหนื่อยแล้ว” เขากล่าว
เจ้าล่าเยวี่ยหยุดฝีเท้า ขัดสมาธินั่งลงไป ก่อนจะดูดซับพลังชีวิตในธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูพลังของตน
มิรู้ผ่านไปนานเท่าไร นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“เหตุใดเจ้าต้องตามข้ามา?”
นางมองดูจิ๋งจิ่ว ก่อนจะมั่นใจว่าบนร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลใดๆ “ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องตามข้ามาเลย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าบอกแล้ว ข้าเพียงใคร่รู้”
ในขณะที่พูด เขาไม่ได้มองนาง หากแต่จ้องมองไปในจานกระเบื้องที่อยู่ตรงหน้า ในมือคีบเม็ดทรายเอาไว้ กำลังครุ่นคิดว่าควรจะวางไว้ตรงไหนดี
เมื่อมองดูเม็ดทรายที่ถูกกองขึ้นมาใหม่ในจานกระเบื้อง และครุ่นคิดถึงพื้นที่ภายในยอดเขาเสินม่อที่ถูกเจตน์กระบี่แบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นางลุกขึ้นยืน มองดูทางขึ้นเขาที่เงียบสงัดจนทำให้เกิดความรู้สึกกริ่งเกรงขึ้นในใจ หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ นางสะบัดข้อมือ ก่อนจะกำโซ่กระบี่ที่เปลี่ยนมาจากสร้อยข้อมือ
โซ่กระบี่ที่ดูคล้ายธรรมดาเส้นนี้เคยใช้รัดตัวอาจารย์อาจั่วแห่งยอดเขาปี้หูที่บรรลุสภาวะมิประจักษ์ นี่ย่อมมิใช่โซ่กระบี่ธรรมดา
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดมิน่าคืนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตากับโซ่กระบี่เส้นนี้
เขารู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยคิดใช้โซ่กระบี่สำรวจเส้นทาง จึงส่ายศีรษะ
การตัดสินใจนี้ชาญฉลาดอย่างมาก แต่มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่คับขันจริงๆ ก็อย่าใช้มัน เพราะมีคนกำลังมองดูเราอยู่”
ยอดเขาเสินม่อมีข่ายพลังกระบี่ปิดกั้นเอาไว้อยู่ ด้านนอกยอดเขามิสามารถมองเห็นภายในยอดเขาได้ มีความลึกลับเสียยิ่งกว่าชั้นเมฆบนยอดเขากระบี่เสียอีก
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งยังรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างยากลำบาก ดังนั้นจึงเตรียมใช้วิธีที่แข็งแกร่งที่สุดที่ตนเก็บซ่อนเอาไว้อยู่
แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่มีข้อยกเว้น
เหล่าผู้อาวุโสที่บรรลุสภาวะทะลวงสวรรค์สามารถมองทะลุหมอกอันหนาทึบได้
หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดิน คนที่บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์นั้นมีอยู่เพียงไม่กี่คน แต่น่าเสียดายที่สำนักชิงซานอาจมีคนที่บรรลุถึงสภาวะนั้นอยู่สองคน
จิ๋งจิ่วเชื่อว่าสองคนนั้นมิได้มายังธารสี่เจี้ยนด้วยตัวเองจริงๆ หากแต่ใช้กระบี่ส่งเสียงมา ในเวลานี้น่าจะมองดูที่นี่อยู่บนยอดเขาของตัวเอง
เจ้าล่าเยวี่ยนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยบอกตน หยวนฉีจิงอาจจะแอบบรรลุเข้าสู่สภาวะทะลวงสวรรค์ไปแล้ว
เช่นนั้นคนที่จิ๋งจิ่วกำลังระมัดระวังและป้องกันคือใคร? เจ้าสำนักหรืออาจารย์ลุงผู้เป็นกฎแห่งกระบี่?
เจ้าล่าเยวี่ยเก็บโซ่กระบี่ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปบนเส้นทางต่อ
ครั้งนี้ความเร็วของนางเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย จำนวนครั้งที่ถูกเจตน์กระบี่เชือดเฉือนก็น้อยลงไปมาก มิรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเม็ดทรายที่ถูกกองขึ้นมาใหม่ในชามกระเบื้องหรือไม่
……
……
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
“ข้าเหนื่อยแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าวเป็นครั้งที่สาม
เจ้าล่าเยวี่ยหยุดฝีเท้า ลืมตามองไปทางยอดเขา
นางเดินมาเป็นเวลานานแล้ว ปลายสุดของยอดเขาเสินม่อคล้ายยังอยู่ที่ปลายขอบฟ้า
“ข้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ยอดเขาของปรมาจารย์อานี้ จะขึ้นไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
คำพูดนี้มีความหมายสองชั้น
“เจ้าทำได้ไม่เลวแล้ว”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วราบเรียบ แต่ฟังดูจริงใจยิ่งนัก
เจ้าล่าเยวี่ยกินยาลงไป ก่อนจะเริ่มพันแผลให้กับตัวเอง เมื่อดูจากยาและของใช้ต่างๆ แล้ว นางเตรียมตัวมาพร้อมทีเดียว
จิ๋งจิ่วมิได้ช่วยนางทำอะไร เพียงแต่ยืนมองอยู่ข้างๆ
เงียบสงบ มักจะดูเย็นชา
เขาคล้ายเป็นเพียงผู้ที่ชมอยู่ข้างๆ เท่านั้น
……
……
จิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยเข้าไปในยอดเขาเสินม่อ ผู้คนที่อยู่ด้านนอกยอดเขามองไม่เห็นพวกเขาอีก
ยอดเขาต้องห้ามที่ว่าก็คือเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรืออะไรก็ตาม ก็ล้วนแต่ถูกกั้นเอาไว้ภายนอก
ผู้คนมองดูทางขึ้นเขาที่เงียบเหงานั้น ในใจมีอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป
สาวน้อยจากสำนักเสวียนหลิงแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของอาจารย์อาพลางหาวออกมา
นางนอนหลับไปสองครั้งแล้ว แต่ยังคงยืนกรานมิยอมจากไป
นางคิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนุกที่สุดในการเดินทางมาชิงซานครั้งนี้ จึงมิอยากจะพลาดตอนจบของเรื่องราว
ไม่ว่าตอนจบที่ว่านั้นจะโศกเศร้าหรือน่ายินดีก็ตาม
องค์ชายสองคนที่มาจากเมืองเจาเกอสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล มิรู้ว่ากำลังกังวลผู้ใด และเพราะเหตุใดจึงกังวล
ปลายสุดของยอดเขาเทียนกวาง เมฆหมอกลอยคว้างดุจทะเล เงาร่างสูงใหญ่เงาหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผา สายตามองไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งของหมู่ยอดเขา
ผู้อาวุโสมั่วที่เพิ่งกลับมาจากยอดเขาเสินม่อมองดูเงาร่างนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ศะ..ศิษย์พี่เจ้าสำนัก…อีกเดี๋ยว…ตอนที่….ท่านช่วย…สาวน้อยผู้นั้น ท่านอย่าลืม…จะ…จิ๋งจิ่วด้วยนะ”
บนปลายสุดของยอดเขาซั่งเต๋อ ภายในถ้ำที่เยือกเย็นราวกับถ้ำน้ำแข็ง หยวนฉีจิงอยู่บนข้างบ่อน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน มิรู้กำลังครุ่นคิดอันใดอยู่
ฉือเยี่ยนรีบเข้ามา ก่อนจะส่งเสียงไอพลางรายงานสถานการณ์ทางยอดเขาเสินม่อออกมา
หยวนฉีจิงเดินออกมานอกถ้ำ มองดูทะเลเมฆที่อยู่ใต้แสงดาวและยอดเขาโดดเดี่ยวที่โผล่พ้นชั้นเมฆที่อยู่อีกฟากหนึ่ง จากนั้นยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าว “ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”
ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้ของเขาหมายถึงเจ้าล่าเยวี่ยหรือจิ๋งจิ่ว หรือว่าหมายถึงพวกเขาทั้งสองคน?
……
……
ปลายยอดเขาอยู่ตรงหน้า มิได้อยู่ตรงขอบฟ้าอีก แต่ความจริงแล้วมันยังอยู่ห่างออกไปอีกสองพันกว่าจ้าง
ท้องฟ้าดำมืดเหมือนหมึกสีดำ ก้อนเมฆที่ลอยนิ่งๆ อยู่ตรงปลายยอดเขาสะท้อนแสงดาวออกมา ดูสะดุดตาเหมือนกระดาษสีขาว
ทั่วทั้งร่างของเจ้าล่าเยวี่ยล้วนเต็มไปด้วยโลหิต บนเสื้อผ้าล้วนเต็มไปด้วยรอยกระบี่ กระทั่งผ้าพันแผลก็ยังถูกฟันจนขาดอีกครั้ง ดูน่ารันทดยิ่งนัก
“เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าเหตุใดข้าถึงต้องขึ้นเขานี้ให้ได้?”
นางนั่งพิงต้นสนต้นหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายหยุดเดินก่อน
สีหน้านางขาวซีด สายตามิได้แน่วแน่เหมือนอย่างเวลาปกติ ดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้านาง พร้อมยื่นใบไม้ใบใหญ่ให้ใบหนึ่ง ในใบไม้รองน้ำค้างที่ใสสะอาดเอาไว้
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ค่ำคืนได้มาถึงช่วงที่มืดที่สุด รุ่งอรุณกำลังจะมาถึง
เจ้าล่าเยวี่ยรับเอาใบไม้นั้นมา ก่อนจะจรดริมฝีปากแล้วดื่มลงไป
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะเหตุใด?”
“เพราะข้าเป็นศิษย์สืบทอดที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางเลือกเอาไว้จริงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูปลายยอดเขาพลางกล่าว “พวกเจ้าน่าจะคิดว่าข้าพูดจาเลอะเลือน และกำลังหาข้องอ้าง แต่นี่คือความจริง”
ตอนที่อยู่ริมธาร นางบอกตนเองคือลูกศิษย์สืบทอดที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางเลือกเอาไว้ ไม่มีใครแสดงความสงสัยในคำพูดของนาง เนื่องเพราะไม่มีใครสามารถไปเชิญปรมาจารย์อาจิ่งหยางที่บรรลุเป็นเซียนไปแล้วให้กลับมายืนยันได้ แต่ก็เป็นเหมือนอย่างที่นางว่า ความจริงแล้วมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อคำพูดนี้ นักพรตจิ่งหยางมุ่งสู่ธรรมวิถี หลายร้อยปีมิเคยรับศิษย์มาก่อน แล้วเหตุใดจึงจะรีบนางเป็นศิษย์?
จริงอยู่ที่สำหรับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร เมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดนั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่สำหรับนักพรตจิ่งหยางแล้วมันไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า”
ไม่มีความลังเล และไม่มีการครุ่นคิด เป็นคำพูดที่เป็นปกติอย่างมาก
“ขอบคุณ”
นอกจากขอบคุณความเชื่อใจของเขา ยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีก
นางกล่าวว่า “หากไม่เป็นเพราะเจ้า ข้าคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้”
ตลอดทางที่ผ่านมา จิ๋งจิ่วบอกว่าตนเองเหนื่อยอยู่หลายครั้ง
ความจริงแล้ว นั่นล้วนแต่เป็นช่วงที่นางเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด
นางมิรู้ว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงวิเคราะห์ได้แม่นยำเพียงนี้ แต่นางรู้สึกขอบคุณเขาอย่างมาก
ดูแล้วเหมือนจิ๋งจิ่วฉวยโอกาสเดินตามนาง คอยเลียนแบบวิธีการเดินข้ามข่ายพลังของนาง เขาถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
แต่เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่านี่มิใช่ความจริง เหตุผลที่แท้จริงคือเขารู้จักข่ายพลังกระบี่ของยอดเขาเสินม่อเป็นอย่างดี
หากไม่เป็นเพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนนาง เขาคงขึ้นไปถึงปลายยอดเขานานแล้ว
หากไม่มีเขาอยู่เป็นเพื่อน และไม่มีคำชี้แนะที่ดูเหมือนมิได้ตั้งใจเหล่านี้ นางเพียงคนเดียวไม่มีทางจะเดินมาถึงตรงนี้ได้
จิ๋งจิ่วกล่าว “ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ถูกเลือก ก็มิจำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้”
หากเจ้าล่าเยวี่ยเพียงแต่กังวลว่ายอดเขาเสินม่ออาจจะถูกตัดสายสืบทอด นางสามารถไปฝึกฝนยังยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกสามปีได้
เจ้าล่าเยวี่ยในอีกสามปีหลังจากนี้น่าจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้มาก งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งหน้าค่อยลองขึ้นเขาใหม่ โอกาสสำเร็จน่าจะมีมากกว่า
“ข้ารีบร้อนจริงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เพราะข้ากลัวว่าจะไม่ทัน”
จิ๋งจิ่วคิดในใจหรือข้ายังต้องอุ้มเจ้าด้วย?
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ ข้ามิอาจบอกเจ้าเรื่องความลับที่แท้จริงนั้นได้
ข้าเพียงแค่อยากขึ้นไปบนยอดเขา ดูว่ากระบี่เล่มนั้นอยู่หรือไม่ คนผู้นั้นอยู่หรือไม่
นางกล่าวว่า “ข้าอยากนอนครู่หนึ่ง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “นอนตอนนี้ ยากจะตื่นขึ้นมาได้”
นางมองดูยอดเขา กลาวว่า “ข้าเหนื่อยจริงๆ ลืมไปแล้วว่าผ่านมาสามปีหรือสี่ปี”
กล่าวจบประโยคนี้ นางพลันหลับตาลง หลังพิงต้นสนต้นนั้นแล้วหลับไป ไม่นานนักก็มีเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นมา
ขนตาของนางเรียวยาว มิขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย
ผมของนางสั้นยิ่งนัก ปลิวยุ่งเหยิงตามลม
ดูเหมือนนางจะเหนื่อยจริงๆ
จิ๋งจิ่วเงยหน้ามองดูหน้าผาอันเงียบสงัดนั้น ในใจเกิดความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เขามิได้เสียใจที่เลือกขึ้นเขามาพร้อมกับสาวน้อย
การปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อแข็งแกร่งมากเกินไป กระทั่งตัวเขาในตอนนี้ยังรู้สึกยุ่งยาก นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ
…………………………………………………………………..