มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 47 ท่านเซียนพาขึ้นยอดเขา
ตอนที่จิ๋งจิ่วกลับมายังหน้าศาลา เจ้าล่าเยวี่ยได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
นางมองไปรอบกายอย่างระมัดระวัง กระบี่สี่เขียวบินวนรอบตัวอย่างเงียบๆ พร้อมที่จะโจมตีออกไปทุกเมื่อ
นางพอจะเดาได้ว่าที่นี่ืคือที่ไหน แต่ยังรู้สึกไม่กล้าเชื่อ ดังนั้นจึงรู้สึกวิตกกังวล
กระทั่งจิ๋งจิ่วเดินออกมา สีหน้านางจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย พลางถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็เหมือนที่เจ้าเห็น พวกเรามาถึงยอดเขาแล้ว”
เสียงของเจ้าล่าเยวี่ยสั่นเครือเล็กน้อย “ที่นี่คือถ้ำของปรมาจารย์อาอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เกรงว่าจะใช่”
เจ้าล่าเยวี่ยเก็บกระบี่สีเขียว สายตาจ้องมองไปในดวงตาของเขา หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่จึงถามออกมาว่า “เจ้าทำได้ยังไง?”
นางเดาได้แต่แรกแล้วว่าจิ๋งจิ่วน่าจะมีวิธีขึ้นเขาอยู่ แต่ในตอนที่เขาทำได้จริงๆ อีกทั้งยังพานางขึ้นมาถึงยอดเขาด้วย นางยังคงรู้สึกตกใจอย่างมาก
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ตอนที่เจ้าหลับไป จู่ๆ มีเซียนหนวดขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วพาพวกเรามาที่นี่ จากนั้นจึงหายตัวไป”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา มิกล่าวกระไร
จิ๋งจิ่วกล่าว “เรื่องนี้ไม่ดีหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าพอมีโอกาสที่จะเชื่อบ้างไหม?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา พลางกล่าวอย่างจริงจังออกมา “ข้ามิใช่หลิ่วสือซุ่ย”
จิ๋งจิ่วถอนใจ “ดูเหมือนข้าต้องคิดเรื่องใหม่แล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเองก็กำลังหาคำตอบอยู่เช่นกัน”
……
……
ภายในถ้ำที่นักพรตจิ่งหยางทิ้งเอาไว้มีเก้าอี้หินอยู่ตัวหนึ่ง บนเก้าอี้มีเบาะรองนั่ง บนเบาะใช้ดิ้นทองปักลายดอกไม้และนกอย่างง่ายๆ ไม่รู้ถูกนั่งทับมาเป็นเวลานานเท่าไร สีสันของดิ้นทองจางลง กระทั่งรูปดอกไม้และนกเหล่านั้นก็ดูไม่ค่อยชัดเจน แต่ยังไม่ฉีกขาด อีกทั้งเบาะรองนั่งนี้หนายิ่งนัก
จิ๋งจิ่วนั่งลงไปอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นมองดูเจ้าล่าเยวี่ยกำลังค้นหาบางสิ่งภายในถ้ำ
“เจ้ากำลังหากระบี่เล่มนั้น?”
เจ้าล่าเยวี่ยหยุดฝีเท้า มองดูเขาพลางถามอย่างไม่เข้าใจ “หรือเจ้าไม่คิดอยากหากระบี่เล่มนั้น?”
จิ๋งจิ่วคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับนาง แต่นางได้เดินไปที่อื่นแล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยค้นดูทั้งนอกถ้ำและในถ้ำจนทั่ว แต่ก็ยังหากระบี่เล่มนั้นไม่พบ ครั้นใช้จิตจำแนกรับรู้ ก็ไม่มีเสียงสะท้อนใดๆ กลับมา
นางเดินไปริมผา ค้นหาในป่า ในใจคิดว่าหรือกระบี่จะอยู่ในยอดเขา แต่ยอดเขาเสินม่อกว้างใหญ่ขนาดนี้ ตนเองจะไปหาเจอได้อย่างไร?
ดวงอาทิตย์ยามเช้าที่อยู่ทางหมู่ยอดเขา แสงสว่างยามรุ่งอรุณส่องไปบนเมฆขาว แต่ด้านล่างยอดเขายังคงมืดสลัวอยู่
สีหน้าเธอขาวซีดเล็กน้อย
“เป็นอะไร?”
จิ๋งจิ่วเดินมาข้างกายนาง
เจ้าล่าเยวี่ยก้มหน้า คล้ายเด็กน้อยที่ทำอะไรผิดมา “ข้าหากระบี่เล่มนั้นไม่เจอ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สืบทอดกระบี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเราไปยอดเขาเหลี่ยงว่างได้”
ตอนที่กล่าวประโยคนี้ เขาคล้ายจะลืมไปกว่ายอดเขาเหลี่ยงว่างย่อมต้องต้อนรับเจ้าล่าเยวี่ยแน่นอน แต่พวกเขาจะต้อนรับตนด้วยหรือไม่?”
“ไม่ใช่เรื่องสืบทอดกระบี่”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด หากปรมาจารย์อาจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียนไม่สำเร็จ และกระบี่เล่มนั้นยังอยู่ในยอดเขาเสินม่อ ก็แสดงว่าเขาอาจจะยังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่
หากกระบี่เล่มนั้นไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นเกรงว่าตัวเขาก็คงไม่อยู่เหมือนกัน
นางพอจะเดาได้ว่าจิ๋งจิ่วน่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับปรมาจารย์อาจิ่งหยาง แต่นางไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเขาดีหรือไม่
นางนั่งลงไปริมผา สองมือกอดเข่า สีหน้าอ้างว้างโดดเดี่ยว
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ๋งจิ่วได้เห็นอารมณ์ที่อ่อนแอเช่นนี้บนใบหน้าของนาง
ตอนที่เจอกันบนยอดเขากระบี่ครั้งแรก เขาก็มองออกแล้วว่าในส่วนลึกภายใต้ดวงตาของสาวน้อยผู้นี้มีความรู้สึกโศกเศร้าแอบซ่อนเอาไว้อยู่
คืนนี้หลายเรื่องราวล้วนมีคำตอบออกมา
“ปรมาจารย์อาตายแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเทือกเขาที่สงบนิ่ง พลางคิดถึงถ้ำที่อ้างว่างและว่างเปล่า ในใจครุ่นคิดขึ้นมา
นางบ่นพึมพำ “ที่แท้ก็ตายแล้วจริงๆ”
เช่นนั้นทุกสิ่งที่นางทำมาตลอดสี่ปีนี้ มันยังมีความหมายอะไรอีก?
ความรู้สึกกลัดกลุ้มที่ได้แต่ต้องเก็บเอาไว้ในใจ ไม่สามารถบอกผู้อื่นได้ อีกทั้งความรู้สึกเหนื่อยล้าและเจ็บปวด ในพริบตานี้พลันล้นทะลักออกมา
เสียงเคร้งดังขึ้น
กระบี่สีเขียวหักเป็นสองท่อนร่วงหล่นลงพื้น สูญเสียพลังวิญญาณทั้งหมดที่มี
พรืด! เจ้าล่าเยวี่ยกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะสลบไป
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ๋งจิ่วรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
ในอดีตเขาไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้มาก่อน ถึงแม้นจะมีมันก็เป็นเรื่องสมัยยังเป็นหนุ่ม เขาลืมมันไปนานแล้ว
นับแต่ที่เหยียบเข้ามาในชิงซานอีกครั้ง อารมณ์แบบนี้กลับปรากฏขึ้นมาสองสามครั้ง อย่างเช่นตอนที่หลิ่วสือซุ่ยดื่มชาถ้วยนั้น อย่างเช่นตอนนี้
“เขายังไม่ตาย”
จิ๋งจิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เขาเพียงแค่เกือบตายเท่านั้น”
กล่าวจบประโยคนี้ เขายกมือขวาขึ้น
เสียงแปะเบาๆ ดังขึ้น
ฝ่ามือของเขาประทับลงไปกลางศีรษะของเจ้าล่าเยวี่ย
สายลมพัดมา ชุดขาวพลิ้วไหว กลิ่นอายที่ยากจะบรรยายได้สายหนึ่งแผ่กระจายไปบนยอดเขา
ปราณกระบี่หลั่งไหลเข้าไปในศีรษะของเจ้าล่าเยวี่ยอย่างไม่ขาดสาย ช่วยปกป้องใจกระบี่ที่บาดเจ็บสาหัสของนาง จากนั้นค่อยๆ บำรุงซ่อมแซม
ไม่รู้ว่าผ่านไม่นานเท่าไร หลังมั่นใจแล้วว่านางไม่เป็นไร จิ๋งจิ่วจึงดึงมือขวากลับมา
เขากลับเข้ามาในถ้ำ ใช้ผ้าผืนหนึ่งชุบน้ำ จากนั้นเดินกลับไปริมผาแล้วประคองนางขึ้นมา แล้วเริ่มเช็ดหน้าเช็ดตาให้นาง
เขาเช็ดอย่างละเมียดละไม รายคราบเลือดและฝุ่นดินบนใบหน้าของสาวน้อยถูกเช็ดออกไปจนสะอาด
เขามองดูผมสั้นที่ฟูฟ่องและยุ่งเหยิงของนาง ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปในถ้ำ หยิบหวีไม้จันทราออกมาหนึ่งเล่ม แล้วเริ่มหวีผมให้นาง
หวีไม้จันทราที่แฝงเร้นไอเย็นเอาไว้เหมาะที่สุดที่จะเอามาใช้หวีผม
ผมสั้นอันยุ่งเหยิงของสาวน้อยแปรเปลี่ยนเป็นเรียบลื่นอย่างรวดเร็ว คราบฝุ่นที่อยู่บนผมเองก็หายไปจนหมดสิ้น
จิ๋งจิ่วด้านหนึ่งหวีผมให้นาง อีกด้านหนึ่งก็พูดกับตัวเอง
“ที่แท้บ้านเจ้าแซ่เจ้าหรือ”
“แต่คืนนั้นมันหิมะตกปรอยๆ นี่นา มิใช่พายุหิมะเสียหน่อย”
“อีกอย่าง เกิดในเดือนล่าเยวี่ยก็เลยชื่อล่าเยวี่ยอย่างนั้นหรือ? ชื่อนี้ก็ไม่ได้ดีเท่าไรเลย”
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำของปรมาจารย์อาจิ่งหยาง แต่ครั้งนี้มิได้อยู่บนพื้นเย็นๆ หากแต่อยู่บนเตียงหยกอุ่นๆ หลังหนึ่ง
ความแตกต่างในการดูแลเช่นนี้ มิได้ทำให้นางเกิดความคิดเชื่อมโยงอะไรมากนัก เพราะเวลานี้อารมณ์ของนางค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตอนที่สลบไป นางได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรือเปล่า
ตอนที่นางมองเห็นตัวเองในกระจก นางพลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เหตุใดใบหน้าของนางถึงได้สะอาดสะอ้านเพียงนี้ แล้วยังมี….
นางลืมความกังวลและการคาดเดาเรื่องตัวตนที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วที่มีก่อนหน้านี้ไปจนหมด หากแต่รีบพุ่งออกไปนอกถ้ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำอะไรกับข้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่ได้ทำอะไร”
“ไม่ได้ทำอะไร? อย่างนั้นจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยชี้ไปบนผมของตัวเองพลางกล่าว
ผมสั้นๆ ของนางถูกหวีขึ้นมาแล้วมัดเป็นมวยเล็กๆ เอาไว้มวยหนึ่ง ชี้ขึ้นไปบนฟ้า
จิ๋งจิ่วกล่าว “ทำไมหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างโมโห “เจ้ามามัดเปียชี้โด่แบบนี้ให้ข้าทำไม! ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย!”
“ผมเจ้าสั้นขนาดนี้ จะไปมัดเป็นเปียได้อย่างไร นี่เรียกว่ามวยต่างหาก”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าวอย่างจริงจัง “อีกทั้งข้าคิดว่ามันน่ารักดี”
…………………………………………………………..