มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 52 ในใจคนเราล้วนแต่มีผีอยู่
เหมยหลี่จ้องมองดวงตาเขา พลางกล่าว “เหตุผล?”
“บ้านของจิ๋งจิ่วที่เมืองเจาเกอ ดูคล้ายไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับราชวงศ์ แต่ความจริงแล้วมีความสัมพันธ์ลับๆ กันอยู่ บรรพบุรุษของเขาเคยให้การรับใช้เสินหวงองค์ก่อน”
ฉือเยี่ยนกล่าว “พวกเราต่างรู้ว่าราชวงศ์มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับนิกายฌานมาโดยตลอด ถึงขนาดมีข่าวลือว่าเสินหวงองค์ก่อนแสร้งสวรรคต แต่ความจริงแล้วกลับแอบไปซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษที่วัดกั่วเฉิง”
เจ้ายอดเขาซีไหลกล่าว “ว่าต่อ”
ฉือเยี่ยนกล่าวต่อว่า “งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครานี้ ทางวัดกั่วเฉิงได้ส่งหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังมา ก็ด้วยเหตุผลนี้”
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังมีสถานะในวัดกั่วเฉิงค่อนข้างสูงส่ง เป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดในเหล่าอาคันกุตะที่มาชมงานชุมนุมครั้งนี้ จำเป็นต้องให้เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลมาต้อนรับจึงถือว่าสมฐานะ
ตามหลักแล้ว งานเล็กๆ อย่างงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนนี้มิอาจทำให้เขาหวั่นไหวใดๆ ได้
ตั้งแต่ต้นจนจบงาน หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังรูปนี้นิ่งเงียบมาโดยตลอด แต่เมื่อคืนกลับมาคอยเฝ้าอยู่ด้านล่างยอดเขาเสินม่อ
เพราะเหตุใด? สมณะสูงศักดิ์ของนิกายฌานย่อมมิสนใจเรื่องความสนุกสนาน องค์ชายจากเมืองเจาเกอสองคนนั้นไปยืนดูเพราะเป็นห่วงเจ้าล่าเยวี่ย เช่นนั้นเขากำลังดูสิ่งใดอยู่?
ทุกคนที่อยู่ภายในอารามคล้ายกำลังครุ่นคิด
เหมยหลี่ถาม “มีอยู่ปัญหาหนึ่ง หรือจะบอกว่าจิ๋งจิ่วมาจากวัดกั่วเฉิง จึ่งรู้ว่าจะทำลายข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อได้อย่างไร?”
“อาจารย์อาคนเล็กมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวัดกั่วเฉิง”
ฉือเยี่ยนมองดูทุกคนพลางกล่าว “พวกท่านน่าจะยังไม่ลืม ในอดีตยอดเขาทั้งเก้ามิเคยมีอาคันตุกะมาเยือก แต่ฉานจึกลับพักอยู่ที่ยอดเขาทั้งเก้าถึงหนึ่งร้อยวัน”
เหมยหลี่คิดถึงเรื่องราวในอดีต บนใบหน้าอันงดงามมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา
“พระน้อยรูปนั้นหน้าตาน่ารักขนาดนั้น แม้ตัวข้าเองก็ยังคิดอยากให้เขาอยู่ต่ออีกสักหลายวัน”
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลกล่าว “ศิษย์น้อง ห้ามเสียมารยาทต่อฉานจึ”
เหมยหลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด มิได้กล่าวกระไรอีก
ฉือเยี่ยนกล่าว “ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้….กายาวชิระ หากจิ๋งจิ่วมาจากวัดกั่วเฉิง เรื่องนี้ก็สามารถอธิบายได้”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงกล่าว “ในหมู่ลูกศิษย์ก็มีข่าวลือบางอย่างเช่นกัน พวกเขาบอกว่าจิ๋งจิ่วชื่นชอบลูบศีรษะคน”
ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วสือซุ่ยหรือเจ้าล่าเยวี่ย ก็ล้วนแต่เคยถูกจิ๋งจิ่วลูบหัว ทั้งยังเคยถูกคนเห็นด้วย
เหมยหลี่ถาม “แล้วมันยังไง?”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงกล่าว “นักบวชในนิกายฌานชอบทำเช่นนี้มิใช่หรือ ก้วนติ่ง[1]อย่างไรเล่า”
เหมยหลี่หัวร่อพลางเกล่า “ศิษย์พี่ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง”
ฉือเยี่ยนเองก็หัวร่อขึ้นมา กล่าวว่า “แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานใดๆ การพูดคุยเหล่านี้ห้ามมิให้แพร่งพรายออกไป จะได้ไม่ทำเหล่าลูกศิษย์ตื่นตระหนก”
เจ้าแห่งยอดเขายอดเขาซีไหลถอนใจพลางกล่าว “เวลานี้เขามิใช่ศิษย์แล้ว หากแต่เป็นผู้อาวุโสรุ่นเดียวกัน ข้าเองก็ต้องเรียกเขาศิษย์น้อง ช่าง…วุ่นวายจริง”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาปี้หูมิเข้าใจอารมณ์ของทุกคนในเวลานี้ จึงกล่าวอย่างคร่ำเคร่งว่า “หากจิ๋งจิ่วมาจากวัดกั่วเฉิงจริง แล้วเราควรทำอย่างไร?”
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลสบตาเขา พลางกล่าวอย่างราบเรียบ “ก็เลี้ยงดูไปแล้วกัน ยังจะทำอย่างไรได้อีก?”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงอุทานชื่นชม “ไม่เลว พยายามเลี้ยงดูให้กลายเป็นเทพแห่งดาบคนที่สอง ให้พระพวกนั้นขโมยไก่ไม่ได้ แล้วยังต้องเสียข้าวสารอีก[2]”
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลลูคิ้วขาวของตนเบาๆ ก่อนจะกล่าวอย่างปรารถนาว่า “หากเรื่องนี้เป็นจริง หากเรื่องนี้สามารถสำเร็จได้ เช่นนั้นก็คงดียิ่งนัก”
……
……
ปลายสุดของยอดเขาซั่งเต๋อ
ฉือเยี่ยนเดินเข้าไปยังส่วนลึกของถ้ำ สายตามองดูร่างที่ยืนอยู่ริมบ่อน้ำพลางกล่าว “เรื่องที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ดูฝืนไปจริงๆ”
หยวนฉีจิงหมุนตัวกลับมา ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ในอดีตตอนที่เทพดาบเผยสถานะของตน พวกไร้ค่าในสำนักเฟิงเตาพวกนั้นมีใครกล้าเชื่อบ้าง?”
เขาหมายถึงเรื่องราวในอดีตของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเรื่องหนึ่ง
ในอดีตเทพดาบเคยเป็นพระของวัดกั่วเฉิง
ในตอนที่ออกไปหาประสบการณ์ในโลกแห่งปุถุชน เขาเลือกไปยังดินแดนทางเหนือ เข้าไปในสำนักเล็กๆ ที่ใช้ดาบแห่งหนึ่ง
ท่ามกลางพายุหิมะที่ปลิดปลิวเต็มท้องฟ้า เขาสังหารศัตรูร่วมกับสำนักเล็กๆ แห่งนั้น ก้าวผ่านความเป็นความตายด้วยกัน หลังผ่านไปสิบปี เขาพบว่าตัวเองมิอาจจากที่แห่งนี้ไปได้
ดังนั้น วัดกั่วเฉิงจึงเสียสมณะสูงศักดิ์ไปรูปหนึ่ง ดินแดนทางเหนือได้เทพดาบเพิ่มมาคนหนึ่ง
เรื่องในอดีตของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเรื่องนี้ สำหรับเหล่าผู้อาวุโสในชิงซานแล้วมิได้ถือเป็นความลับอะไร
การพูดคุยหยอกล้อระหว่างเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลและผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงก็หมายถึงเรื่องนี้
ความจริงฉือเยี่ยนมิเข้าใจว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงต้องสั่งให้ตนเองไปทำแบบนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงไม่ปิดบังสภาวะที่แท้จริงของตนเองอีกต่อไป หรือคิดอยากจะแสดงให้ยอดเขาเทียนกวงเห็น?
หยวนฉีจิงแค่นหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าจิ๋งจิ่วนั่นมีปัญหาแน่นอน”
ฉือเยี่ยนเห็นด้วย กล่าวว่า “แต่เขาคล้ายจะมิเคยคิดปิดบังตัวเองมาก่อน แปลกมาก”
หยวนฉีจิงกล่าว “ไม่ต้องไปสนใจมัน ทางวัดกั่วเฉิงก็ถามไม่ได้อะไร ในเมื่อยอดเขาเหลี่ยงว่างมีเบาะแส เช่นนั้นก็เริ่มสืบจากการตายของจั่วอี้ก่อนแล้วกัน”
ฉือเยี่ยนรับคำ
หยวนฉีจิงกล่าว “แวะไปกำราบยอดเขาเหลี่ยงว่างหน่อย ไม่เช่นนั้นคนหนุ่มสาวพวกนั้นจะได้ใจขึ้นมาจริงๆ”
ฉือเยี่ยนกล่าว “กู้ชิงยอมรับผิดเอง”
หยวนฉีจิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนถามว่า “ไม่มีใครเอ่ยถึงกระบี่มิคำนึง?”
ฉือเยี่ยนคิดถึงภาพในอารามของยอดเขาซีไหล ก่อนจะส่ายศีรษะพลางกล่าว “จนถึงตอนสุดท้ายก็ไม่มีใครเอ่ยถึง”
ตอนที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน เหตุใดจึงไม่นำกระบี่มิคำนึงไปด้วย?
นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่คนเหล่านั้นกระทั่งเอ่ยก็มิเอ่ยถึง
เพราะเหตุใด?
“ในใจทุกคนล้วนมีผี บางทีอาจจะกลัวถูกคนอื่นมองเห็นผีที่อยู่ในใจตัวเอง บางทีอาจจะไม่กล้าไปดูผีตัวนั้นที่อยู่ในใจคนอื่น”
หยวนฉีจิงยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าว “หรือคิดว่าถ้าไม่ไปดู ผีตัวนั้นมันก็ไม่มีอยู่อย่างนั้นหรือ?”
……
……
ปลายสุดของยอดเขาเสินม่อ
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปนอกหน้าผาพลางกล่าว “ข้าคิดว่ามันเกินไปหน่อย”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางหมายถึงเรื่องที่ตนเองไปตบไหล่กั้วหนานซาน อีกทั้งคำพูดเหล่านั้น
เขามิได้อธิบาย นั่นเป็นตอบโต้ออกไปโดยไม่ทันฉุกคิด
แม้นกั้วหนานซานจะสุขุมนุ่มลึกเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยในสายตาเขา
เจ้าล่าเยวี่ยดึงสายตากลับ ก่อนจะมองดูเขาพลางกล่าว “คนอื่นต่างคิดว่าเจ้าอาศัยข้าจึงขึ้นยอดเขาได้ ถึงขนาดบอกเจ้าไร้ยางอาย เจ้ามิโกรธหรือ?”
จิ๋งจิ่วลูบศีรษะของนาง กล่าวว่า “จะได้ไม่ยุ่งยาก ดีออก”
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองเขา มิกล่าวกระไร
จิ๋งจิ่วดึงมือกลับ ก่อนจะเอาไปไพล่ไว้ข้างหลังพลางกล่าว “ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าตอนที่เจอกู้หาน เจ้าจะพูดมากกว่าปกติ”
“ใช่”
จิ๋งจิ่วคิดถึงคืนหนึ่งขึ้นมา
คืนนั้นหลิ่วสือซุ่ยแอบมาหาเขาที่ถ้ำ พูดคุยกับเขาหลายคำ ชื่อของศิษย์พี่กู้ผู้นี้ก็ปรากฏขึ้นมาหลายครั้ง
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก เพราะเด็กหนุ่มที่ชื่อกู้หานผู้นั้นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แน่นอน ทั้งยอดเขาเหลี่ยงว่างล้วนแต่ทำให้เขาไม่สบายใจ
“ดังนั้น เจ้าจะอยู่ที่นี่”
เขามองดูสร้อยที่อยู่บนข้อมือพลางครุ่นคิด
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “นี่คืออะไร? กระบี่เหมือนอย่างสร้อยข้อมือของข้าหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความลับ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ความลับเจ้าช่างเยอะเสียจริง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อก่อนข้าได้ยินคนบอกว่า คนสองคนที่มีความลับจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ เดิมข้าคิดว่ามันถูกต้อง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ตอนนี้เจ้ามิได้คิดเช่นนี้แล้ว?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าหลังจากที่พวกเรารู้จักกันแล้ว เรื่องราวมันเปลี่ยนเป็นเยอะขึ้น?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขา ก่อนกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่เพราะว่าเรื่องที่พวกเราจะทำมันเป็นเรื่องเดียวกันหรือ?”
จิ๋งจิ่วมิเข้าใจคำพูดประโยคนี้
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ
ภายในถ้ำยังคงอยู่ในสภาพเดิม เพียงแต่ถ้วยชาที่จิ่งหยางเคยใช้ มิรู้ถูกนางเก็บไปไว้ที่ไหนแล้ว
นางเดินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ ยื่นมือไปผลักกำแพง ครั้นเห็นเสื้อผ้าสีขาวแถวนั้น ดวงตานางเป็นประกายขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน นางเดินกลับมาริมผา บนร่างกายเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีขาว
“สวยไหม?”
นางหมุนตัวตรงหน้าจิ๋งจิ่วรอบหนึ่ง ชุดสีขาวพริ้วไหวเบาๆ
แม้นจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด สุดท้ายแล้วนางก็เป็นคุณหนูที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง?
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า “ใหญ่เกินไป”
เสื้อสีขาวชุดนั้นเป็นเสื้อที่จิ่งหยางทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อไปใส่อยู่บนตัวเด็กสาวย่อมต้องใหญ่เกินไป
ลำแสงเจิดจ้าส่องสว่างขึ้นมาบนยอดเขา กระบี่มิคำนึงสีแดงฉานบินออกมาจากในถ้ำ ก่อนจะหมุนรอบตัวเจ้าล่าเยวี่ยด้วยความเร็วสูง
ลำแสงกระบี่วูบไหว เสียงวึงๆ ดังขึ้นติดต่อกัน ชิ้นส่วนเสื้อผ้าสองสามชิ้นขาดหลุดร่วง
แขนเสื้อและชายเสื้อด้านล่างของเจ้าล่าเยวี่ยหดสั้นลง แต่ยังคงดูหลวมอย่างเห็นได้ชัด เพราะตรงส่วนที่เป็นเอวนั้นไม่สามารถทำให้เล็กลงได้ในทันที
จิ๋งจิ่วมิอาจทนดูต่อไปได้ กล่าวว่า “อีกไม่กี่วัน ยอดเขาซีไหลน่าจะส่งผู้ดูแลมา ถึงตอนนั้นเจ้าก็ให้พวกเขาจัดการแล้วกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายมิได้ยินคำพูดของเขา นางกางแขนทั้งสองข้าง มองดูเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกาย สีหน้าพึงพอใจยิ่งนัก
…………………………………………………….
[1] ก้วนติ่ง เป็นพิธีกรรมทางศาสนา โดยการนำน้ำศักดิ์สิทธิ์รดลงไปบนศีรษะให้แก่ลูกศิษย์เพื่อแสดงถึงความคุ้มครองและความเมตตา
[2] ขโมยไก่ไม่ได้ แล้วยังต้องข้าวสารอีก เป็นสำนวนที่บอกว่าไม่เพียงแต่จะเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ แต่ตนเองยังต้องเสียผลประโยชน์ไปอีก