มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 53 ใครกันแน่ที่เป็นกองหนุนของลิง
จิ๋งจิ่วส่ายหน้า
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา กล่าวว่า “รู้สึกว่าข้าแปลกใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แล้วแต่เจ้าจะคิด”
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปข้างกายเขา จากนั้นมองไปยังหน้าผาที่อยู่รอบๆ พลางกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม? คนที่ข้าเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดก็คือปรมาจารย์อาจิ่งหยาง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “คนที่เลื่อมใสศรัทธาเขามีมากมาย”
เจ้าล่าเยวี่ย “แต่ข้ามิเคยเจอเขามาก่อน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “คนที่เคยเจอเขามีน้อยมาก”
เจ้าล่าเยวี่ยถลึงตาใส่เขา
จิ๋งจิ่วยกมือขึ้นมาเพื่อบอกให้นางพูดต่อ
เจ้าล่าเยวี่ยสงบอารมณ์ ก่อนกล่าวต่อว่า “ข้ารู้สึกเสียใจมาตลอด ในใจครุ่นคิดว่าหากได้บำเพ็ญเพียรอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับปรมาจารย์อา นั่นคงจะดีไม่น้อย”
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไปคล้ายหลิ่วสือซุ่ย เขามักรู้สึกอยากพูดออกมา
อย่างเช่นในเวลานี้ เขาคิดอยากจะบอกว่ายินดีด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “แต่ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงยอดเขาของท่านแล้ว รู้สึกเหมือนได้อยู่กับท่าน ข้ามีความสุขยิ่งนัก”
เมื่อคิดถึงถ้วยชาแลข้าวของเครื่องใช้ภายในถ้ำที่ถูกเอาไว้ซ่อนไว้ แล้วมองดูเสื้อผ้าที่ดูใหญ่โคร่งบนตัวของนาง ในที่สุดจิ๋งจิ่วก็มั่นใจในเรื่องหนึ่ง
สาวน้อยอัจฉริยะผู้ที่หยิ่งยโสเย็นชาในสายตาชาวโลกผู้นี้ คือผู้ที่ไล่ติดตามจิ่งหยางอย่างบ้าคลั่ง เรียกง่ายๆ ว่า ‘บ้าผู้ชาย’
เมื่อคิดถึงว่าตนเองกำลังยืนอยู่ข้างกายนาง จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกๆ จึงถามว่า “เจ้ามิใช่กังวลว่าเขาจะบรรลุเป็นเซียนล้มเหลว จากนั้นตายไปแล้วหรอกหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ปรมาจารย์อาเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มานาน เช่นนี้แล้ว บนโลกยังจะมีผู้ใดทำร้ายท่านได้อีก?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “กระบี่มิคำนึงอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด อย่างนั้นมันก็ชัดเจนแล้ว ข้าคือผู้สืบทอดที่ปรมาจารย์อาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า แน่นอนว่ายังมีเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พวกเราไม่เหมือนกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “มีอะไรไม่เหมือนกัน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็มันไม่เหมือนกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ามีสร้อยกระบี่ เจ้าก็มี ข้าต้องการมาที่นี่ เจ้าก็ต้องการ อีกทั้งตอนนี้พวกเราก็อยู่ที่นี่แล้วด้วย”
จิ๋งจิ่วมองดูสร้อยข้อมือของนาง ในใจครุ่นคิดฟังดูมันก็พอมีเหตุผลอยู่จริงๆ
แต่เขารู้ว่าความจริงมันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ จึงส่ายศีรษะ จากนั้นนอนหลับตาลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วเริ่มพักผ่อน
และก็ไม่รู้ว่าเขาย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนี้มาจากริมธารสี่เจี้ยนตั้งแต่เมื่อไร
ดวงตาปิดลงมิได้หมายความว่ากำลังนอนหลับ แต่อาจจะกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างเงียบๆ
พักผ่อนเองก็มิได้หมายความไม่ทำอะไร หากแต่ฉวยโอกาสตอนนี้หัวสมองยังปลอดโปร่ง ทำสมาธิสำรวจตัวเอง
ใจของจิ๋งจิ่วดำลงไปในร่างกายของตน
นี่มิใช่การสำรวจตัวเองครั้งแรกของเขา แต่เขายังคงไม่ชิน ใช้เวลาอยู่เล็กน้อยจึงมองเห็นทะเลผืนนั้น
นั่นคือทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล และลึกจนยากหยั่งถึง
ความคิดก่อเกิดลมแผ่วเบา บนท้องทะเลสีเงินมีระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา ดูเหมือนโลหะที่หลอมละลาย
ทะเลอยู่สูงกว่าแผ่นดิน ขอบของทะเลมีสายน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนไหลไปยังส่วนลึกของที่ราบอันแห้งแล้ง
สายน้ำนั้นคือเส้นลมปราณ
เมื่อมองสูงขึ้นไป สายน้ำค่อยๆ เล็กลง กลายเป็นท่อที่อยู่ในลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าต้นหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า
นี่คือต้นไม้ที่เกิดจากเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋า
ในส่วนลึกของต้นไม้แห่งเต๋ามีผลไม้ห้อยอยู่ลูกหนึ่ง
ผลไม้ลูกนี้สีจืดจางยิ่งนัก ดูไม่ออกว่าสุกแล้วหรือยัง
ในสำนักที่บำเพ็ญพรตสำนักอื่น ผลไม้ลูกนี้จะเปลี่ยนกลายเป็นจินตัน หรือไม่ก็กระดิ่งแห่งชีวิต
สำหรับศิษย์ชิงซานแล้ว ผลไม้ลูกนี้คือผลแห่งกระบี่
ตอนนี้ปราณก่อกำเนิดที่อยู่ในเส้นลมปราณของเขาได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นวัตถุเหมือนสายน้ำสีเงิน นี่หมายความว่าปราณกระบี่บริสุทธิ์แล้ว
เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไป ผลแห่งกระบี่ที่อยู่ภายใต้การหล่อเลี้ยงของปราณกระบี่จะแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใส และกลายเป็นโอสถกระบี่ที่เหมือนกับผลึกแก้ว
วันที่โอสถกระบี่ก่อกำเนิด นั่นก็คือวันที่เขาจะบรรลุสู่สภาวะสมความนึกคิด
แต่สิ่งที่เขารอคอยมากกว่านั้นก็คือวันที่บรรลุสภาวะมิประจักษ์ เพราะเมื่อถึงตอนนั้น กระบี่บินของเขาจะสามารถหลอมรวมเข้ากับโอสถกระบี่ พูดอีกอย่างคือเขาสามารถเก็บกระบี่บินเข้าไปในร่างกายได้
เขาใคร่รู้ยิ่งนัก หากตัวเองทำเช่นนั้นมันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นแล้ว การทำเช่นนี้ไม่มีปัญหาใดๆ
แต่ในสำนักชิงซานไปจนถึงทั้งแผ่นดินเฉาเทียน กระทั่งทั่วทั้งโลก ล้วนแต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เหมือนอย่างเขามาก่อน
จิ๋งจิ่วลืมตา พบว่าเจ้าล่าเยวี่ยกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมผา นางกำลังทำสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่
กระบี่มิคำนึงสีแดง หยุดนิ่งอยู่เหนือศีรษะของนาง
ไอพลังที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งเคลื่อนที่ไปกลับระหว่างร่างกายของนางกับกระบี่มิคำนึงอย่างแช่มช้า
ฝึกหนักอยู่บนยอดเขากระบี่มาหลายปี เจ้าล่าเยวี่ยได้บรรลุสู่สภาวะสมความนึกคิดจนบริบูรณ์แล้ว ตอนนี้ได้กระบี่มิคำนึงมาช่วย เกรงว่าภายในสองปีคงสามารถบรรลุถึงขั้นมิประจักษ์ได้
แล้วเมื่อไรจิ๋งจิ่วจึงจะสามารถบรรลุสู่ขั้นสมความนึกคิดได้? ยังคงเป็นคำนั้นอยู่ — ‘รอ’
การขึ้นมาบนยอดเขาเมื่อคืนแม้นเขาจะมิได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สูญปราณกระบี่ไปไม่น้อย เขารู้สึกค่อนข้างเหนื่อยล้า ไม่มีใจจะไปเล่นทราย
ในเวลานี้บนหน้าผามีลมพัดเย็นสบาย แสงแดดกำลังอบอุ่น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การงีบหลับ เขาหลับตาเตรียมนอนหลับสักครู่
คิดไม่ถึงว่าตอนที่เขากำลังจะหลับ ด้านล่างหน้าผาพลันมีเสียงร้องของวานรดังติดต่อกันขึ้นมา
เสียงร้องของวานรดังยิ่งนัก ดูมีความสุขอย่างเห็นชัด
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตา กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ลิงย้ายบ้าน”
ก่อนที่จิ่งหยางจะบรรลุกลายเป็นเซียน เหล่าวิหคและสรรพสัตว์ในยอดเขาเสินม่อถูกขับไล่ออกไปยังยอดเขาอื่นจนหมด
หลายปีผ่านไป ยอดเขาเสินม่อปลดผนึกปิดกั้นออกอีกครา เหล่าวิหคและสรรพสัตว์พวกนั้นยังมิรู้เรื่องราว มีเพียงวานรที่อยู่ด้านหลังผาริมธารสี่เจี้ยนได้ย้ายกลับมาอย่างรวดเร็ว
วานรเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ในยอดเขานี้มาเนิ่นนาน พวกมันเบื่อกับการใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกแล้ว
ยอดเขาเสินม่อในเวลานี้ไม่มีสัตว์ที่กล้ามาแย่งที่กับพวกมัน ภายในป่าเต็มไปด้วยผลไม้อันหอมหวาน เหล่าวานรย่อมต้องปีติยินดี
มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือแมลงที่มีในภูเขาตอนนี้ก็มีค่อนข้างน้อยเช่นเดียวกัน คิดอยากจะกินให้เต็มคราบจึงค่อนข้างยาก
“หุบปาก” จิ๋งจิ่วพูดลงไปยังหน้าผาที่อยู่ด้านล่าง
เสียงร้องยินดีของเหล่าวานรหายไปทันที
ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่ก็สามารถจินตนาการได้ว่าเหล่าวานรพวกนั้นหวาดกลัวเพียงใด
ยอดเขากลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าเสียงเบาหน่อยก็ไม่เป็นไร”
เหล่าวานรส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างยินดี ฟังดูคล้ายกำลังทำการตอบกลับ เพียงแต่ครั้งนี้เสียงเบาลงกว่าเดิมเยอะ
ยอดเขาเสินม่อกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่ผ่านไปไม่นาน บริเวณหน้าผาก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีก
ทั่วทุกที่สามารถได้ยินเสียงกิ่งไม้หักโค่น เสียงกรีดร้องอันโกรธเกรี้ยวของเหล่าวานรและเสียงของหนักๆ ร่วงตกสู่พื้น
“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าล่าเยวี่ยถาม
“ลิงจากยอดเขาซื่อเยวี่ยเข้ามาแย่งพื้นที่ เจ้าลิงพวกนั้นตัวไม่ใหญ่ แต่มีจำนวนมาก”
จิ๋งจิ่วถือกระบี่เหล็กเตรียมลงจากเขา
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงงเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
“ช่วยลิงสู้”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ราวกับว่านี่มิใช่เรื่องแปลกอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างตกใจ “ช่วยลิงสู้?”
“นี่เป็นลิงของพวกเรา”
จิ๋งจิ่วแปรเปลี่ยนเป็นเงาสีขาว วิ่งตะบึงเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านล่างหน้าผา
เจ้าล่าเยวี่ยตะลึงลานอยู่ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับมา ครั้นคิดถึงคำพูดประโยคสุดท้ายของจิ๋งจิ่ว รู้สึกทั้งโมโหและอับอาย
…………………………………………….