มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 56 เสียงถอนใจเสียงหนึ่ง
กู้หานเองก็รอเขาอยู่ด้านล่างยอดเขา
“ช่วงนี้ยอดเขาซั่งเต๋อคงจะไม่มาถามอะไรเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นอาจารย์อาไป๋จะโกรธเอาได้ ข้าเองก็จะไม่ถามเจ้าว่าคืนนั้นเจ้าไปที่ไหนกันแน่”
เขากล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “เพราะพวกเรารู้ว่าเรื่องนี้มันมิได้เกี่ยวข้องกับเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้บอกใครเรื่องที่จิ๋งจิ่วสังหารคน แล้วก็ไม่เคยบอกว่าคืนนั้นเขาได้ไปหาจิ๋งจิ่วมา
แต่กู้หานและหม่าหวาย่อมต้องเดาได้ว่าคืนนั้นเขาไปหาจิ๋งจิ่วมา แต่กลับเข้าใจผิดเรื่องเหตุผลที่เขาไม่ยอมพูดออกมา
กู้หานกล่าว “อีกไม่นานยังจะมีเรื่องอีก เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าคงต้องลำบากหน่อย เตรียมใจเอาไว้ล่ะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เพียงแต่หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ว่าอีกไม่นานที่ว่านั้นมันจะนานเท่าไร หนึ่งปี สองปี หรือสามปี?
“อาจารย์และเหล่าศิษย์ร่วมสำนักในยอดเขาทั้งเก้าสามารถตัดขาดเรื่องราวทางโลก สามารถตัดขาดอารมณ์ความรู้สึก เพื่อเอาเวลาและสมาธิทั้งหมดมาทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเพียร แต่อย่าลืมเสียล่ะ ที่พวกเขาสามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างสงบ เป็นเพราะพวกเรายอดเขาเหลี่ยงว่างคอยเสียสละสู้รบกับศัตรูที่อยู่นอกชิงซาน”
กู้หานมองเขาพลางกล่าว “ศิษย์ร่วมสำนักเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรต้องหยุดลง บางคนต้องตายอย่างน่าหดหู่ เทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเราได้รับความลำบากบ้างมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
เขาหยิ่งทะนงยิ่งนัก เข้มงวดกับลูกศิษย์อย่างมาก แทบจะเรียกได้ว่าเด็ดขาด แต่กับหลิ่วสือซุ่ยแล้ว เขาถือว่าดูแลได้มิเลวเลยทีเดียว
เนื่องเพราะเขากับกั้วหนานซานคาดหวังในตัวหลิ่วสือซุ่ยเอาไว้สูงมาก
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ข้าเข้าใจขอรับ ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อชิงซาน”
กู้หานตบบ่าของเขา กล่าวว่า “ตั้งใจร่ำเรียนกับอาจารย์อาไป๋ที่ยอดเขาเทียนกวงให้ดี อีกสักหลายวันไปเจอกันที่ยอดเขาเหลี่ยงว่าง”
คำพูดประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้ง มิรู้หลายวันที่ว่าคือนานเท่าไรกันแน่
……
……
“ยอดเขาซั่งเต๋อกำลังสืบสวนหลิ่วสือซุ่ย ได้ยินว่าในคืนนั้นเขาออกไปจากถ้ำตัวเอง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ใด”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว แต่ก็มองไม่เห็นความกังวลใจใดๆ บนใบหน้าของเขา
จิ๋งจิ่วคิดในใจดรุณีนางนี้มีคนคอยช่วยเหลืออยู่ในยอดเขาทั้งเก้าจริงอย่างที่คาด เพียงแต่มิรู้ว่าเป็นคนของยอดเขาไหน
เขากล่าวว่า “คืนนั้นเขาไปหาข้า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้ามิกังวล?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าบอกเขาแล้วว่าข้าเป็นคนสังหารคนผู้นั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองเขา คล้ายกำลังคิดหาอะไรบางสิ่งจากบนใบหน้าของเขา
“เจ้ามิกังวล?”
คำถามเหมือนกัน คำที่ใช้ก็เหมือนกัน แต่ความหมายที่นางต้องการจะสื่อกลับแตกต่างกัน
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบคำถามนางตรงๆ หากแต่กล่าวว่า “ไป๋หรูจิ้งช่วยปกปิดความผิด ยอดเขาเหลี่ยงว่างช่วยปกปิดความผิด เขากับเจ้าล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เจ้าสำนักไม่มีทางปล่อยให้ยอดเขาซั่งเต๋อมาทำอะไรแน่”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เป้าหมายของยอดเขาซั่งเต๋อคือยอดเขาเหลี่ยงว่าง หรืออาจจะเป็นเจ้าสำนัก ต่อให้สืบไม่ได้อะไร ต่อให้ แต่สร้างปัญหาให้พวกเขานิดหน่อยก็ยังดี”
จิ๋งจิ่วมิได้รับคำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสนใจที่จะคุยเรื่องนี้
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เจ้ามิได้สนใจเรื่องเหล่านี้จริงๆ หรือว่ามีวิธีรับมืออยู่กันแน่?”
จิ๋งจิ่วจนปัญญา กล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากรู้มากกว่าก็คือเหตุใดหลังขึ้นเขาเสินม่อมา คำพูดของเจ้าถึงได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ?”
“เพราะในใจข้ามีคำถามมากมาย”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้หลบเลี่ยงคำถามนี้ กล่าวว่า “อย่างเช่น ข้าคิดอยู่ตลอดว่าเจ้าจะถามคำถามนั้นกับข้า แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็มิได้ถาม”
หยวนฉีจิงกล่าวว่าในใจทุกคนล้วนแต่มีผีอยู่
จิ๋งจิ่วมิรู้ว่าในใจเจ้าล่าเยวี่ยมีผีอยู่หรือเปล่า หากแต่รู้ว่าบนตัวนางมีปัญหาอยู่มากมาย
อย่างเช่น เหตุใดอาจารย์อาจั่วแห่งยอดเขาปี้หูจึงต้องการสังหารนาง?
เพราะนางกำลังสืบเรื่องหนึ่งอยู่
เหตุใดนางจึงต้องขึ้นมาบนยอดเขาเสินม่อให้ได้?
เพราะนางกำลังสืบเรื่องหนึ่งอยู่
“เอาล่ะ”
จิ๋งจิ่วมองนางพร้อมถามอย่างจริงจัง “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่านักพรตจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียนไม่สำเร็จ?”
……
……
มิรู้ว่าหมอกหนักเหมือนเมฆ หรือว่าเมฆเบาบางเหมือนหมอก
กระแสอันอลหม่านสีขาวไหลออกมาจากหมู่ยอดเขา เคลื่อนตัวตามภูมิประเทศจนมาถึงในเมือง เมฆหมอกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
สำหรับความงดงามนี้ เหล่าชาวเมืองและอาคันตุกะต่างถิ่นมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ข้างหม้อไฟที่อยู่บนเหลาสุรายังคงมีเสียงคนดังวุ่นวาย
ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่าบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือเมฆหมอก มีลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเมืองอวิ๋นจี๋มีป่าอยู่แห่งหนึ่ง ต้นไม้มิได้แน่นขนัดอะไร แต่เจริญงอกงามเป็นอย่างดี ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้สีเขียวดูคล้ายเงินทองแดงที่ถูกร้อยเป็นพวง ละลานตาเต็มไปหมด
ลมโชยผ่านต้นไม้ ฝุ่นควันฟุ้งแผ่วเบา แสงสีแดงพลันหดกลับไป
เจ้าล่าเยวี่ยเก็บกระบี่มิคำนึงเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นผายมือออกแล้วพูดกับจิ๋งจิ่วว่า “ที่นี่แหละ”
เวลานี้พวกเขาอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง บนพื้นมีใบไม้ที่ร่วงหล่นทับถมมาเป็นเวลาหลายปี ดูแล้วธรรมดาอย่างมาก ไม่มีอะไรผิดปกติ
“ศิษย์ของเผ่าหมิงผู้นั้นสภาวะต่ำต้อย เวลานั้นยังรั้งอยู่ในเมืองอวิ๋นจี๋มิจากไป ดูแล้วแปลกประหลาด”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูพื้นดินนั้นพลางกล่าว “ถึงแม้ตอนนั้นจะประกาศเขตหวงห้ามสามพันลี้ออกมา แต่อาจารย์เมิ่งกระทั่งถามยังไม่ถามก็สังหารเขาไปเสียแล้ว เรื่องนี้มันก็ค่อนข้างแปลกเช่นกัน แต่ตอนนั้นข้า หิ้วศพเขามุ่งหน้ามาที่นี่โดยมิได้สนใจอะไรนัก จากนั้นในช่วงเวลาที่ปรมาจารย์อาบรรลุกลายเป็นเซียน จู่ๆ ก็มีเรื่องๆ หนึ่งเกิดขึ้น”
จิ๋งจิ่วถาม “เรื่องอะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้ามองไปทางหมู่ยอดเขาที่อยู่ในเมฆหมอก กล่าวว่า “ข้าได้ยินเสียงถอนใจเสียงหนึ่ง”
จิ๋งจิ่วเลิกคิ้วขึ้นมา “ถอนใจ?”
“ใช่” ในเสียงถอนใจนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง คล้ายมีความคิดถึงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดต่อโลกนี้ แล้วก็อาจจะเสียใจ แต่ว่า….มันยังมีความรู้สึกพึงพอใจอย่างมากอยู่ด้วย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ามั่นใจว่าศิษย์เผ่าหมิงผู้นั้นตายแล้ว รอบกายไร้ผู้คน แล้วเสียงถอนใจนั้นมันมาจากไหน?
จิ๋งจิ่งกล่าว “เจ้ามั่นใจว่าเจ้าได้ยิน?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เสียงถอนใจมันดังขึ้นในหัวข้า”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบ
“ตอนนั้นข้ากำลังมองที่นั่นอยู่”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวพลางมองไปอีกฝ่ายหนึ่ง
เมฆหมอกหนาทึบ ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของหมู่ยอดเขาได้ แต่จิ๋งจิ่วรู้ว่านางหมายถึงยอดเขาเสินม่อ
เขายืนสองมือไพล่หลัง มองดูที่นั่นอย่างเงียบสงบ”
“บางครั้งข้าคิดว่า เสียงถอนใจนั้นมันจะใช่เสียงถอนใจของปรมาจารย์อาหรือเปล่า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ตอนแรกข้าแทบจะไม่กล้าเชื่อ แต่ตอนนี้ข้ายิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อข้าเป็นศิษย์สืบทอดที่ปรมาจารย์อาเลือกเอาไว้ ในเมื่อท่านเก็บกระบี่มิคำนึงเอาไว้ข้างกายข้ามาโดยตลอด เช่นนั้นในตอนที่ท่านจากโลกนี้ไป ท่านยังจะทิ้งข้อความอะไรบางอย่างเอาไว้ให้ข้าหรือเปล่า คล้ายกับที่ทิ้งเคล็ดเพลงกระบี่เอาไว้ที่เจ้า?”
“ข้าว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าอยากดูศิษย์เผ่าหมิงที่ว่านั่น”
ลำแสงกระบี่ที่แดงฉานปานโลหิตส่องสว่างไปทั่วป่าทั้งผืน กระบี่มิคำนึงอันคนกริบขุดพื้นดินจนเป็นหลุมขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นศพของศิษย์แห่งเผ่าหมิงผู้นั้น
ผ่านมาหลายปี มิรู้เหตุใดซากศพกลับมิเน่าเปื่อย มันยังคงรักษาสภาพเหมือนอย่างในตอนแรกไว้อยู่ เพียงแต่ซูบเซียวลง ดูคล้ายใบไม้ที่คายน้ำออกอย่างไรอย่างนั้น
จิ๋งจิ่วปลดกระบี่เหล็กออก แล้วงัดศพขึ้นมา พลางกล่าวถามว่า “ทำไมไม่ใช้ไฟกระบี่เผาทิ้งเสีย?”
ศิษย์ชิงซานที่เข้าสู่สภาวะปัญญาแห้งแจ้งจะสามารถจุดเพลิงกระบี่ได้
ตอนนั้นเจ้าล่าเยวี่ยยังเป็นศิษย์นอกสำนัก แต่ด้วยพรสวรรค์ของนางแล้วน่าจะสามารถทำได้
อาจารย์เมิ่งให้นางกำจัดศพนี้ ก็ด้วยคิดเช่นนี้
“เพราะตอนนั้นข้าคิดว่ามันมีปัญหา ดังนั้นจึงเก็บศพนี้เอาไว้ แล้วก็ยังใส่หินสะกดวิญญาณเข้าไปด้วย”
จิ๋งจิ่วใช้กระบี่เหล็กขุดก้อนหินที่เหมือนหยกสีดำที่ฝังอยู่ข้างศพขึ้นมา สายตามองดูใบหน้าที่เปลี่ยนรูปร่างเหมือนขี้ผึ้งหลอมละลาย นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
เขาไม่เคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน
เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบดูศพของศิษย์แห่งเผ่าหมิงผู้นี้อย่างละเอียดอยู่หลายรอบ
จากนั้น เขาพลันพบปัญหาหนึ่ง
ในส่วนลึกตรงหว่างคิ้วของศิษย์เผ่าหมิงผู้นี้มีรูอยู่รูหนึ่ง
รูนั้นเล็กยิ่งนัก แล้วก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่คนเผ่าหมิงใช้เก็บเพลิงวิญญาณ อย่างนั้นมันเอาไว้ใช้ทำอะไร?
จิ๋งจิ่วสังเกตเห็น รูที่ว่านั้นเรียบลื่น อีกทั้งเมื่อดูจากรูปร่างแล้ว มันคล้ายกับผลใจมนุษย์
ดูเหมือน จะมีคนเคยอาศัยอยู่ข้างในนี้เป็นเวลานาน
…………………………………………………………………