มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 101 หวังเสี่ยวหมิงที่ก้าวสู่การบำเพ็ญเพียร
จิ๋งจิ่วน่าจะหยุดการฆ่าตัวตายของซือเฟิงเฉินได้ แต่เขาไม่ทำ
มิใช่เป็นเพราะว่าไม่จำเป็น แต่เป็นเพราะในตอนที่ซือเฟิงเฉินกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา เขามองเห็นความปรารถนาที่จะตายในดวงตาของอีกฝ่าย
เขาเข้าใจความโกรธและความแค้นที่ซือเฟิงเฉินมีต่อผู้บำเพ็ญพรต ถึงแม้จะไม่เห็นใจก็ตาม
เขาเองก็ไม่อยากไล่ถามถึงความทุกข์ยากและเรื่องราวในอดีตของอีกฝ่าย
การเกิดและการตายสำคัญที่สุด
เขาเคารพ
เช่นนั้นก็ให้ผู้ที่ต้องการตายได้ตายตามที่ปรารถนาแล้วกัน
……
……
ภายในบ้านเงียบสงัด
แสงอาทิตย์เคลื่อนคล้อย ไก่ผอมสองตัวจิกเงาบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ไม่รู้เมื่อไร ประตูรั้วถูกเปิดออกอีกครั้ง
“อาจารย์ วันนี้กินผักกวางตุ้งผัดเนื้อแดดเดียวเหมือนเดิมนะขอรับ!”
หวังเสี่ยวหมิงเดินกระโผลกกระเผลกเข้าไป วางเนื้อแดดเดียวเส้นนั้นลงบนหินโม่ ยืดขาออกไปเตะไก่สองตัวนั้นเข้ากรง เพื่อที่พวกมันจะได้ไม่มาจิกเนื้อ
“ครั้งที่แล้วท่านบอกผักกวางตุ้งแก่ไปหน่อย ครั้งนี้ผักอ่อนมากเลยขอรับ”
เขาถือผักกวางตุ้งเดินเข้าไปในบ้านอย่างร่าเริง ด้วยหวังจะให้ผู้เป็นอาจารย์ได้ดู
เสียงเผละดังขึ้นเบาๆ
ผักกวางตุ้งตกลงบนพื้น แตกกระจายออก คล้ายดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น
ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นเทาขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมได้
“อา…อา…อาจารย์!”
ภายในบ้านมีเสียงร่ำไห้ที่ฟังดูน่าสังเวชใจดังขึ้นมา
เสียงร่ำไห้ฟังดูแย่มาก
เสียงร่ำไห้ไม่ไพเราะ
……
……
งานศพของซือเฟิงเฉินจัดขึ้นอย่างวังเวง
อย่างน้อยก็ในตอนแรกสุด
หวังเสี่ยวหมิงคุกเข่าอยู่ด้านหน้าโถง โยนกระดาษเงินกระดาษทองลงไปในกะละมัง ท่าทางดูซังกะตาย สีหน้าด้านชา
ไม่รู้เป็นเพราะถูกควันรมมากไป หรือเป็นเพราะร่ำไห้นานเกินไป ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง
เพื่อนบ้านเข้ามา แล้วออกไป ภายในบ้านเหลือเพียงเขาที่คุกเข่าอยู่ที่นี่
ด้านนอกบ้านพลันมีเสียงตะคอกและเสียงความเคลื่อนไหวอื่น จากนั้นประตูไม้ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง
มิใช่คนที่มาหาเรื่อง หากแต่เป็นคนใหญ่คนโตบางคนที่เดินทางมาแสดงความเสียใจ เจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการที่ได้รับแจ้งจึงรีบมาเตรียมพื้นที่
ธงขาวถูกยกขึ้นสูง ตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกสีดำยังมีหมึกไหลหยดลงมา นี่ทำให้บรรยากาศภายในบ้านเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
หวังเสี่ยวหมิงมิได้สนใจ เขายังคงคุกเข่าอยู่หน้ากะละมัง เผากระดาษเงินกระดาษทองอย่างเฉยชา
เขาจำไม่ได้ว่าคนใหญ่คนโตที่ปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นมีตำแหน่งอะไร ชื่ออะไร
ซือเฟิงเฉินก่อนตายบ้านเงียบเหงา หลังตายภายในบ้านกลับคึกคัก ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเพราะอะไร
หวังเสี่ยวหมิงเองก็รู้
ไม่มีใครเห็นว่าซือเฟิงเฉินตายยังไง กรมชิงเทียนสืบสวน ก่อนจะทำการยืนยันว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่เขาถูกใครบีบให้ต้องตายล่ะ?
เป้าทุกอย่างล้วนแต่ชี้ไปที่สำนักชิงซาน พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือชี้ไปที่จิ๋งจิ่ว
เหล่าเจ้าหน้าที่ของราชสำนักที่ได้รับอิทธิพลจากสำนักจงโจวล้วนแต่ใช้เรื่องนี้เพิ่มความกดดันไปทางสำนักชิงซาน
ที่บอกว่าแสดงความเสียใจ บนใบหน้าของเหล่าขุนนางมีความเสียใจที่ไหนกัน?
สำหรับหวังเสี่ยวหมิงแล้ว คนเดียวที่ดูค่อนข้างจริงใจกลับกลายเป็นพระสนมหูที่เป็นคนทำให้อาจารย์ต้องตายทางอ้อมผู้นั้น
ในเวลากลางดึก พระสนมหูส่งคนให้นำเงินและทองจำนวนมากมามอบให้
หวังเสี่ยวหมิงกล่าวขอบคุณ
หลังศพของซือเฟิงเฉินถูกฝัง หวังเสี่ยวหมิงก็ออกไปจากเมืองเจาเกอ
ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน
เพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกับเขาในห้องเก็บเอกสารของกรมชิงเทียนพูดคุยถึงเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว
มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่สนิทกับเขามากที่สุดชื่อว่าชีสือเอ้อร์ เวลาที่ถูกถามก็จะกล่าวไปว่า “เขาบอกว่าจะกลับไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เขาบอกว่าบ้านเก่าอยู่ที่นั่น”
ความจริงตัวเขาเองก็รู้สึกแปลก เพราะในช่วงสองปีมานี้ไม่เคยได้ยินหวังเสี่ยวหมิงพูดถึงบ้านเก่าเลย แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับตะวันตกเฉียงเหนือ
……
……
สวนด้านหลังเรือนตระกูลเจ้าเงียบสงบ
ต้นไม้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิกำลังอยู่ในช่วงที่บานสะพรั่งมากที่สุดและไม่ทำให้คนเบื่อหน่าย ดูแล้วทำให้มีความสุข
แต่อารมณ์ของเจ้าล่าเยวี่ยกลับมิเป็นเช่นนี้
“ซือเฟิงเฉินเลี้ยงเด็กที่ชื่อหวังเสี่ยงหมิงเอาไว้คนหนึ่ง มีศักยภาพที่จะบำเพ็ญพรตได้ วันนี้เดินทางออกไปจากเมืองเจาเกอ ไม่รู้ไปที่ใด”
จิ๋งจิ่วมองตานาง ในใจครุ่นคิดว่านี่จะตัดรากถอนโคนอย่างนั้นหรือ?
“ข้าเคยบอกแล้ว ข้าไม่ใช่คนดี ข้าโหดร้ายอย่างมาก”
สีหน้าของนางค่อนข้างขาวซีด อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากหุบเขาหมิงชุ่ยในวันนั้นค่อนข้างหนัก
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความจริงซือเฟิงเฉินก็มิได้ถือว่าคิดผิดมากนัก นี่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าข้าสอนคนไม่เป็นจริงๆ นั่นแหละ ใจที่ื่ชอบการสังหารของเจ้ามันรุนแรงเกินไปจริงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองเขา “เจ้าใส่ใจ?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่ยังคิดไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงรู้สึกโกรธ”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ใช่ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องฆ่าข้า หรือข้าทำอะไรผิดจริงๆ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พลังยิ่งแข็งแกร่ง ความรับผิดชอบก็ยิ่งมาก ในทางกลับกัน ความอันตรายก็จะยิ่งมากตามไปด้วย นิสัยของเจ้าไม่ชอบถูกผูกมัด ทั้งยังรักและสงสารคนบนโลก ดังนั้นเขาจึงมองว่าเจ้าเป็นอันตราย จำเป็นต้องฉวยโอกาสในตอนที่เจ้ายังไม่แข็งแกร่งมากพอ รีบกำจัดเจ้าซะ”
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงไม่เข้าใจ กล่าวว่า “หรือการหลบไปบำเพ็ญเพียรตัดขาดความรู้สึกอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น ไม่สนใจความเป็นความตายของคน นั่นต่างหากคือสิ่งที่ดี?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ในอีกแง่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญพรตที่่ไม่สนใจเรื่องราวในโลกภายนอก สำหรับคนธรรมดาแล้วย่อมต้องมีความปลอดภัยมากกว่า”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร ตอนเด็กนางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเจาเกอ ทุกวันครุ่นคิดถึงแต่เรื่องบำเพ็ญพรต แต่นางก็เคยอ่านหนังสือทั่วๆ ไปอยู่บ้างเช่นกัน
ในเรื่องเล่าเหล่านั้นมีทั้งหนุ่มสาวรูปโฉมงดงามมากความสามารถ รักความยุติธรรมช่วยเหลือผู้อ่อนแอ แล้วก็มีผู้กล้าที่รักชาติ ภายหลังได้เข้าไปยังสำนักชิงซาน กฎสำนักก็เขียนเอาไว้ว่าต้องช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก แต่ในการเดินทางหลายหมื่นลี้จนมาถึงตอนนี้ ท่าทีที่จิ๋งจิ่วแสดงออกมากลับกลายเป็นว่าผู้บำเพ็ญพรตไม่ควรจะสนใจเรื่องราวทางโลก นี่เพราะเหตุใด?
“เดิมผู้บำเพ็ญพรตกับคนธรรมดานั้นเป็นคนที่อยู่กันคนละโลกอยู่แล้ว ทันทีที่คนสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ก็จะไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวข้องกับคนธรรมดาอีก กวีในราชวงศ์ก่อนหน้านี้เคยเขียนโคลงอำลา ‘ท่องภูเขาโดดเดี่ยว’ เอาไว้บทหนึ่ง ได้รับความชื่นชอบจากคนธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่ผู้บำเพ็ญพรตกลับมิได้มีความรู้สึกใดๆ อีกทั้งยังรู้สึกชื่นชอบโคลง ‘ความกลัดกลุ้มอันยาวนาน’ ของเขาบทนั้นมากกว่า นี่เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วกลาวว่า “เป็นเพราะโคลงอันหลังเขียนเอาไว้ว่าการเกิดและการตายคือความทุกข์ยาก ผู้บำเพ็ญพรตยังยากที่จะหลุดพ้นจากมันได้ จึงมีความรู้สึกร่วม แต่โคลงอันแรกนั้นเขียนถึงเรื่องเทพเซียน เจ้าและข้านั้นต่างก็เป็นเทพเซียน พวกเราได้เห็นภาพที่คนธรรมดามองไม่เห็น ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่พวกเขาไม่มีวันรับรู้ได้ แล้วพวกเราจะหวั่นไหวต่อภาพและความรู้สึกที่คนธรรมดาจินตนาการขึ้นมาได้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “แต่คนธรรมดาก็สามารถไล่ตามได้เช่นกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง คนธรรมดาสามารถปฏิเสธชะตาชีวิตของตนเองได้ ดิ้นรนขึ้นไปเหยียบบนวิธีแห่งการเป็นเซียน แต่มิใช่ว่าคนธรรมดาทุกคนจะมีโชคเช่นนี้”
……
……
นอกเมืองเจาเกอ มีศาลเจ้าบนภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง เวลานี้มิใช่เทศกาล คนที่มาจุดธูปไหว้เจ้าจึงมีน้อยมาก
หวังเสี่ยวหมิงเดินมาถึงด้านหลังศาลเจ้า ปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างยากลำบาก หลังแน่ใจว่าในป่ารอบๆ ไม่มีใครแล้ว เขาถึงจะหยิบถุงกระดาษน้ำมันถุงหนึ่งออกมาจากด้านในสุดของเสื้อ
ภายในถุงมีสิ่งของบางอย่างอยู่ในนั้น สำหรับเขาแล้วถือเป็นของที่มีความสำคัญอย่างมาก
ของเหล่านั้นคือตั๋วเงินที่พระสนมหูให้คนเอามาให้ แล้วยังมีหนังสือบางๆ อยู่เล่มหนึ่ง
บนหนังสือเขียนเอาไว้ว่านภากระจ่าง เป็นวิชาขั้นพื้นฐานของสำนักซานชิง
นี่คือมรดกที่ซือเฟิงเฉินทิ้งเอาไว้ให้เขา
เขาพลิกเปิดหนังสือแล้วเริ่มอ่านอย่างตั้งใจ แต่หลังผ่านไปนานก็ยังไม่สามารถอ่านตัวหนังสือที่อยู่บนนั้นให้เข้าใจได้
เพราะเขามักจะคิดถึงผู้เป็นอาจารย์ขึ้นมา หลังจากนั้นหยดน้ำตาก็ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัว ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่สะอาดเสียที
………………………………………………………….