มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 104 คิดถึงโลกมนุษย์
“จำเป็นต้องกังวลไฟแค้นเหล่านั้นไหม?”
“พลังต่างกันมากเกินไป ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวล นอกเสียจากฟ้าดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
“อะไรจึงจะถือว่าฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่?”
“สายแร่วิญญาณบนแผ่นดินเฉาเทียนหายไปจนหมด พลังชีวิตแตกกระจาย”
“เป็นไปได้หรือ?”
“อาจจะมีสักวัน แต่มิใช่ตอนนี้”
“อย่างนั้นตอนนี้ล่ะ?”
“ภัยคุกคามที่แท้จริงของมนุษย์คือแคว้นเสวี่ย”
“จิ๋งจิ่วกล่าว “ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฟ้าดินที่ต้องกังวลก็คือแคว้นเสวี่ยบุกลงใต้”
ในอดีตสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยบุกลงใต้ ผู้บำเพ็ญพรตที่ิมิได้หลบหนีพากันบาดเจ็บล้มตายจนเกือบหมด สำนักบำเพ็ญพรตในดินแดนทางเหนือไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมล้วนแต่ถูกทำลายจนเกือบราบคาบ โลกมนุษย์ไร้ระเบียบ ประชาชนเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย หลบหนีและกลายเป็นโจร บางคนได้ทรัพย์สินและอาวุธวิเศษของสำนักบำเพ็ญเหล่านั้นมา ก็เที่ยวกระทำชั่วไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด ปล้นฆ่าไปทั่วทุกที่ ไม่มีความชั่วใดไม่ทำ
“จึงมีเพลิงสงครามนานสามเดือน” เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
เจ้าล่าเยวี่ยพลันคิดถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา
“หากไม่มีเทพดาบ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนธรรมดาล้มตายมากน้อยเท่าไร เขาเองก็เป็นผู้บำเพ็ญพรต หรือคนธรรมดานอกจากความเกลียดชังและความโกรธแค้นแล้ว พวกเขาไม่มีความรู้สึกขอบคุณเลย?”
“เฉาหยวนมิใช่ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดา หากแต่เป็นอรหันต์ มีผู้บำเพ็ญพรตเพียงไม่กี่คนที่สามารถกลายเป็นอรหันต์ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่เพื่อที่จะต่อต้านแคว้นเสวี่ยและกำราบดินแดนหมิงเอาไว้ โลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็มีคนตายอยู่ตลอด หรือพวกเขามิได้รับความรู้สึกขอบคุณจากคนธรรมดาเลย?”
จิ๋งจิ่วมองดวงตาของนาง กล่าวว่า “พวกเขาต่อสู้เพื่อคนธรรมดา หรือว่าเพื่อสำนักของตัวเอง?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าไม่คิดว่ามีต่างกัน”
“ย่อมต้องมีความแตกต่างแน่นอน เพราะเมื่อเรื่องราวมาถึงตัว ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า ยังไงก็ต้องมีลำดับก่อนหลัง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ขอเพียงสามารถรักษาการสืบทอดของสำนักตัวเองเอาไว้ได้ หรือพวกเขายังจะสนใจความเป็นความตายของคนธรรมดาอยู่?”
เจ้าล่าเยวี่ยนึกถึงศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้นขึ้นมา อย่างเช่นกั้วหนานซาน อย่างเช่นกู้หาน นางพบว่าไม่สามารถตอบคำถามได้
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ผู้บำเพ็ญพรตทุกคนเป็นเหมือนอย่างเฉาหยวน ความเกลียดชังและความโกรธแค้นของคนธรรมดาก็ไม่มีทางหายไปไหน”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจ จึงกล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะริษยา”
เจ้าล่าเยวี่ยนึกภาพถ้าหากตนเองไม่สามารถบำเพ็ญพรตได้ ก็จะเป็นเพียงคุณหนูสูงศักดิ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งในเมืองเจาเกอเท่านั้น…ทิวทัศน์ที่อยู่เหนือเมฆเหล่านั้น ความรู้สึกที่ไม่สามารถใช้คำพูดบรรยายออกมาได้เหล่านั้น การตื่นรู้ที่ไม่สามารถสัมผัสได้เหล่านั้น ชีวิตการบำเพ็ญพรตที่เงียบสงบและไม่ถูกควบคุม นั่นสิ แล้วจะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร?
หากเปลี่ยนเป็นชาวบ้านชั้นล่างที่พยายามเอาชีวิตรอด ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างยากลำบากเหล่านั้น ก็คงจะมีเหตุผลอีกร้อยแปดพันเก้าให้อิจฉากระมัง
จิ๋งจิ่วยืนขึ้นมา ก่อนจะเดินไปริมระเบียงแล้วมองไปยังกอไผ่สีเขียว
“ปัญหาที่ไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ เหตุใดพวกเจ้าถึงอยู่ได้หลายร้อยปี หลายพันปีหรืออาจจะยาวนานกว่านั้น แต่พวกข้ากลับมีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่สิบปี?”
ถูกต้อง นี่ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถตอบได้อย่างแท้จริง
ระเบียงทางเดินเงียบสงัด
“เหมือนกับที่ทุกคนต่างอิจฉาผู้ที่เป็นอมตะอย่างแท้จริง”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแผ่นหลังเขาพลางกล่าวว่า “ปรมาจารย์อาจิ่งหยางก็เลยเกิดเรื่อง ใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วมิได้หมุนตัวกลับมา แล้วก็มิได้ตอบคำถามของนาง คล้ายกับมิได้ยินที่นางถาม
เขาหลับตา ขนตายาวงอน
แสงอาทิตย์ลอดผ่านกิ่งไผ่ที่อยู่เบื้องหน้า ตกกระทบลงมาบนใบหน้าเขา กลายเป็นเงาของใบไผ่กระดำกระด่าง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมายืนอยู่ข้างกายเขา นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่เหมือนคนที่จะคิดเรื่องเหล่านี้เลย”
“มาจากโลกมนุษย์ ก็ต้องคิดถึงโลกมนุษย์บ้าง”
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้น กล่าวว่า “แต่แค่คิดๆ ก็พอแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา กล่าวว่า “เหตุใดแค่คิดๆ ก็พอแล้ว?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะแค่คิดๆ ก็จะรู้ว่า ไม่มีใครที่สามารถคิดหาวิธีแก้ปัญหาได้”
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วกล่าวว่า “แค่นี้หรือ?”
“แล้วจะให้ทำยังไง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “กลับเขาก่อนเถอะ บำเพ็ญเพียรสำคัญกว่า เมื่อไรที่ไม่คิดเรื่องเหล่านี้แล้วค่อยมาโลกมนุษย์ใหม่ก็ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา ก่อนถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าหาคนที่อยากเจอพบหรือยัง?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ กล่าวว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าเขาเคยปรากฏตัวออกมาแล้ว อีกทั้งยังใช้วิธีการบางอย่างมองเห็นข้าแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “เอาล่ะ อย่างนั้นตอนประลองวิถีพรตก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “ทำไมข้าต้องเข้าร่วมประลองวิถีพรต?”
เจ้าล่าเยวี่ยยิ่งแปลกใจ กล่าวว่า “ทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ย่ำโลหิตแสวงหาดอกเหมยมันอันตรายเกินไป และข้าก็ไม่ค่อยทำเรื่องเสี่ยงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยลืมตาโต มองดูดวงตาของเขา กล่าวถามว่า “ทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เพราะกลัวตาย”
ระหว่างทางที่มาเมืองเจาเกอ ถ้ำปลอมของนักพรตจิ๋งหยางเปิดออก เขาลอบสังเกตดูอย่างเงียบๆ ผลปรากฏว่าถูกฟางจิ่งเทียน พบเข้า อีกฝ่ายถึงขนาดมีความคิดที่จะฆ่าเขา
ในเวลานั้นเขารู้สึกได้ถึงอันตรายอันร้ายแรง
นี่เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกเช่นนี้หลังจากผ่านมาหลายปี
คืนนั้นฟางจิ่งเทียนมิได้ออกกระบี่ แต่หลังจากนั้นในสวนดอกเหมยเก่า เทียนจิ้นเหรินได้ลงมือโจมตีเขา
จากนั้นเขาถึงได้เข้าใจว่าตอนนี้มิใช่อดีตอีกแล้ว
ในอดีตเขาเคยชินกับการที่ไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ รวมไปถึงการจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน หลายคนต่างพยายามสังหารเขาได้
คืนนั้นเมื่อได้ยินว่าเจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหาร เขาดูเหมือนเป็นปกติ แต่ภายในใจยังคงเกิดความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าหลังจากนี้เวลาทำอะไรก็ควรจะระมัดระวังให้มากขึ้น อย่าได้เอาแต่คิดว่าเดินไปเดินมาเพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายปรากฏตัว กลับไปยังชิงซานก่อนดีกว่า นั่นคือการตัดสินใจที่ปลอดภัยที่สุด
เจ้าล่าเยวี่ยคิดไม่ถึงว่าเขาจะให้คำตอบแบบนี้ออกมา จึงกล่าวว่า “เจ้ามักจะรอให้เขามาหาเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นฝ่ายไปหาเขา?”
จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้าที่อยู่เหนือชายหลังคาขึ้นไป ก่อนกล่าวว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาอยากให้ข้าเข้าร่วมการประลองวิถีพรต เพื่อจะได้เห็นอะไรบางอย่าง”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขาก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “หากเจ้าเชื่อว่าตัวเองถูกต้อง อย่างนั้นลองไปดูจะเป็นอะไร?”
จิ๋งจิ่วคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขายื่นมือไปลูบศีรษะนาง พลางกล่าวว่า “นั่นสิ”
……
……
ข้อสรุปสุดท้ายในคดีของซือเฟิงเฉินคือฆ่าตัวตาย แต่ยังคงมีสายตาที่สงสัยจำนวนมากทอดมองไปยังสำนักชิงซาน
มีคนบางกลุ่มคิดอยากฉวยโอกาสนี้สร้างความวุ่นวาย แต่เมืองเจาเกอกลับยังเงียบสงบ
ในราชสำนักคล้ายมีพลังที่อยู่ในความมืดคอยกำราบเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ นี่ทำให้หลายๆ คนเกิดความยำเกรงมากขึ้น เพราะที่นี่คือเมืองเจาเกอ มิใช่ดินแดนทางใต้ ใครจะไปคิดบ้างว่าสำนักชิงซานจะยังมีอิทธิพลมากขนาดนี้เมื่ออยู่ที่นี่ มิได้เป็นรองสำนักจงโจวเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกเคารพยำเกรงเช่นนี้ยิ่งมีมากเท่าไร พระสนมหูก็ยิ่งใช้ชีวิตได้ยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น เพราะแทบทุกคนต่างคิดว่านางคือคนที่วางแผนสังหารเจ้าล่าเยวี่ย
สำหรับพระสนมหูแล้ว ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ช่างแตกต่างกันอย่างมาก นางเพิ่งจะได้รับการอนุญาตจากฝ่าบาทให้มีลูกได้ ได้รับการโปรดปรานอย่างที่ไม่มีใครเทียบ แต่ผลสุดท้ายกลับต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้
“ข้าโง่เง่าขนาดนั้นหรือว่าดุร้ายรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ? ข้ามิใช่ศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ยเสียหน่อย! แล้วในเวลาแบบนี้ข้ายังจะก่อเรื่องได้ยังไง?”
บนใบหน้าพระสนมหูมิได้ทาแป้ง ดูค่อนข้างอิดโรย นางกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าซือเฟิงเฉินนั่นสร้างปัญหาให้ข้าจริง!”
นางกำนัลอาวุโสกล่าวด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ว่า “พระองค์ไม่ควรให้เงินก้อนนั้นไปเลยเพคะ?”
“เรื่องราวต้องแยกแยะ ซือเฟิงเฉินเคยช่วยข้า คนก็ตายไปแล้ว อย่างน้อยก็ต้องพยายามแสดงน้ำใจหน่อย”
พระสนมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สำนึกบุญคุณ ตัดกรรม นี่คือสิ่งที่ฉานจึเคยสอนข้า”
นางกำนัลอาวุโสคิดในใจ กรรมมันใช่เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างกังวลใจว่า “เช่นนั้นตอนนี้ทำอย่างไรดีเพคะ?”
พระสนมหูเองก็กังวลใจเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้ฝ่าบาทไม่เสด็จมาหานางเลย
เมื่อดูภายนอกแล้วชีวิตของนางมิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่บรรยากาศที่อยู่รอบกายคล้ายจะยิ่งเหนียวเหนอะมากขึ้น จนรู้สึกหายใจได้ยากลำบาก
นางพลันถามขึ้นมาว่า “ฉานจึยังไม่ยอมพบข้าหรือ?”
“เพคะ หม่อมฉันมีความรู้สึกว่า…”
นางกำนัลอาวุโสมองนาง พลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “เป็นไปได้ว่าเหอกั๋วกงมิได้ส่งจดหมายเข้าไปในวัดจิ้งเจวี๋ยเพคะ” ”
พระสนมหูขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าอยากพบเจ้าล่าเยวี่ย เป็นไปได้หรือไม่?”
นางกำนัลกล่าวว่า “นางได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังรักษาตัวอยู่ ไม่มีทางพบแขกแน่นอนเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่านางกำลังเตรียมตัวกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ชิงซานแล้วเพคะ”
พระสนมหูนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “อย่างนั้นจิ๋งจิ่วล่ะ?”
นางกำลังสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “เขาก็ต้องไปเข้าร่วมการประลองวิถีพรตสิเพคะ”
………………………………………………………………