มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 107 อย่างนั้นไปจัดการเองแล้วกัน
แรงดูดที่ส่งออกมาจากด้านในไข่หนอนหิมะแผ่วเบาเป็นอย่างมาก กระทั่งเส้นผมเส้นหนึ่งก็มิอาจขยับได้ หากมิเป็นเพราะจิ๋งจิ่วมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเป็นอย่างมาก บางทีเขาเองก็อาจจะไม่รู้สึกถึงมันเช่นกันกัน
เขามองดูไข่ที่อยู่ตรงหน้า ใช้นิ้วมือบี้เบาๆ ไข่ส่งเสียงกรุ๊กๆ คล้ายถุงหนังที่กรอกสุราลงไปจนเต็ม แต่มิได้มีการตอบสนองใดๆ ออกมา
จิตจำแนกแห่งกระบี่แผ่ลงไป จิ๋งจิ่วมั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในไข่ตื่นขึ้นมาแล้ว
ในตอนที่นิ้วมือของเขาแตะลงไปบนไข่ ความละโมบและความหิวกระหายที่จะกลืนกินอาหารของเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นก็ไหลพรั่งพรูออกมา
แต่หลังจากนั้นมันก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของจิตของจิ๋งจิ่ว เพราะหวาดกลัวมันจึงเริ่มแกล้งตาย
ร่างเริ่มต้นของปีศาจแคว้นเสวี่ยที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด ยังมิทันได้เห็นโลกที่แท้จริงก็เกิดความตระหนักรู้ในความเป็นความตายที่รุนแรงขนาดนี้แล้ว ช่างน่าสนใจจริงๆ
จิ๋งจิ่วเก็บมันเอาไว้
……
……
ด้านล่างยอดเขาหินสีดำที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์สามสี่คนกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่
พวกเขาเองก็เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต เสื้อผ้าฉีกขาด น่าจะพบเจอกับการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่สีหน้ายังคงฮึกเหิมอย่างมาก สายตาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมั่นใจ
พวกเขากำลังสรุปสถานการณ์การต่อสู้ของเมื่อวานอยู่ โดยหวังว่าการประสานงานร่วมกันภายในกลุ่มจะมีความรู้ใจกันมากกว่านี้ ทำให้การโจมตีระยะใกล้และการป้องกันสามารถหลอมรวมเข้ากับการโจมตีระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เสียงติงเบาๆ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มคนหนึ่งหยิบเอาของวิเศษออกมา ก่อนดูสรุปรายชื่อของเมื่อวานอย่างตั้งใจ พลางกล่าวว่า “พวกลั่วไหวหนานยังคงนำอยู่”
ที่พูดมาก็คือตำแหน่งบนรายชื่อการประลองวิถีพรต แล้วก็เป็นตำแหน่งบนที่ราบหิมะของพวกเขา
กลุ่มของลั่วไหวหนานเข้าไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ ได้เจอกับสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ยที่แข็งแกร่งมากมาย ดังนั้นดอกเหมยที่อยู่บนภาพวาดถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น
พวกเขามองไปทางชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าผู้นั้นทันที บนสีหน้าเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเคารพนับถือ — หากมิเป็นเพราะในกลุ่มมีคนผู้นี้อยู่ พวกเขาก็แทบไม่ต้องหวังเลยว่าจะตามอยู่ด้านหลังลั่วไหวหนานได้ พวกเขาคงจะถูกสลัดทิ้งจนมองไม่เห็นแผ่นหลัง แล้วก็หมดโอกาสที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการประลองวิถีพรตไปแล้ว
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ร่างกายยังคงยืดตรงราวกับกระบี่
เขาก็คือถงหลู ศิษย์อัจฉริยะของสำนักกระบี่ซีไห่
ในการตัดสินของเจวี่ยนเหลียนเหรินก่อนหน้านี้ ถงหลูอยู่ในอันดับที่สองของการประลองวิถีพรต ถึงขนาดที่ว่าแซงหน้าไป๋เจ่าและถงเหยียน เป็นรองแค่เพียงลั่วไหวหนาน
และในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้น ภาพวาดดอกเหมยหลายสิบภาพที่แขวนอยู่ตรงระเบียงทางเดินของเรือนซีซาน มีเพียงกลุ่มของพวกเขาเท่านั้นที่พอจะสามารถไล่ตามกลุ่มของลั่วไหวหนานได้
หากว่ากันแต่จำนวนดอกเหมยแล้ว ถงหลูนั้นมิได้ด้อยไปกว่าลั่วไหวหนานเลย เพียงแต่เป็นเพราะยังเข้าไปในที่ราบหิมะได้ไม่ลึกพอ จึงยังไม่ได้เจอสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยระดับกลางมากนัก
ผู้บำเพ็ญพรตสี่คนนั้นต่างทราบดี ความจริงแล้วเป็นตัวเองที่ถ่วงถงหลูเอาไว้ ในใจจึงรู้สึกผิด เวลาที่ต่อสู้จึงแสดงความกล้าหาญอย่างมากออกมา
“จิ๋งจิ่วเป็นอะไร? ทำไมผ่านมาหลายวันแล้วเขายังไม่มีคะแนนอีก?”
“ไม่แน่ใจ ในกลุ่มของศิษย์พี่ข้ามีศิษย์คุนหลุนอยู่คนหนึ่ง ได้ยินเขาบอกว่าหลายวันนี้จิ๋งจิ่วมิได้ลงมือเลย เรียกได้ว่าไม่เคยออกจากภูเขาลูกนั้นเลย”
“ภูเขาลูกแรกหลังจากที่เข้ามาในที่ราบหิมะน่ะหรือ?”
“ใช่”
“นี่เขากลัวหรือ? แต่ถ้าหากกระทั่งที่ราบหิมะก็ยังไม่กล้าเข้ามา แล้วเหตุใดต้องลงประลองวิถีพรตด้วย?”
ลมหนาวเสียดแทงราวคมมีด ม้วนเอาเกล็ดหิมะตกลงบนใบหน้าที่ดูธรรมดาของถงหลู
เขาได้ยินการพูดคุยของเพื่อนร่วมทาง ใบหน้าไร้ความรู้สึก มิรู้สึกหวั่นไหวใดๆ
หากเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะประลองวิถีหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย บางทีเขาอาจจะคิดว่าจิ๋งจิ่วเป็นคนขี้ขลาดไร้ความสามารถ แต่หลังจากที่ได้เห็นการประลองหมากกระดานนั้นแล้ว เขาย่อมไม่คิดเช่นนั้นอีก
คนที่สามารถทนต่อจิตสังหารที่อยู่บนกระดานของถงเหยียนได้ อีกทั้งยังโจมตีกลับได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นใจแห่งเต๋าหรือว่าความมุ่งมั่นก็ย่อมต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
เพียงแต่เขาเองก็ไม่เข้าใจ จิ๋งจิ่งกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ทันใดนั้นเอง เสียงอุทานตกใจพลันดังขึ้น
ถงหลูเดินกลับไปหาเพื่อนร่วมกลุ่ม เมื่อเห็นข้อมูลที่ของวิเศษส่งมาใหม่ล่าสุด คิ้วเขาพลันขมวดขึ้น รู้สึกตกใจเป็นยิ่งนัก
……
……
จิ๋งจิ่วและกลุ่มของเขาเดินไปบนที่ราบหิมะ ต่างคนต่างรักษาระยะห่างเอาไว้ที่ประมาณร้อยกว่าจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้วิชาที่ตนเองถนัดที่สุดเข้าช่วยเหลือเพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุดได้
พื้นผิวบนที่ราบหิมะพลันสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกลับคืนสู่ความเงียบอย่างรวดเร็ว
ห้าคนหยุดฝีเท้า
หลูจินหยิบเอาอาวุธวิเศษออกมาจ่อไปยังพื้นหิมะ สีหน้าเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งขึ้นมา ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนคนอื่นโดยไม่มีเสียงว่า “มีบางอย่าง”
พื้นหิมะเงียบสงบ คล้ายความเงียบสงัดจนวังเวง ได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิดของลมหนาว
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่มีประสบการณ์ จึงได้แต่กลั้นหายใจเก็บสีหน้า ไม่ส่งเสียงใดๆ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าความเงียบและการที่จู่ๆ เสียงฝีเท้าหายไปนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้พื้นหิมะมั่นใจยิ่งขึ้น
พื้นหิมะที่อยู่ไกลออกไปพลันยกตัวขึ้นมา จากนั้นกลายเป็นรอยแตกเส้นหนึ่งพุ่งออกไปไกล
หลังจากที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอ ทุกคนจึงรู้สึกตื่นเต้น ที่มากกว่านั้นคือวิตกกังวล จึงไม่ทันได้ตอบสนองออกมา
เพื่อที่จะหลบหนีได้เร็วยิ่งขึ้น เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นหิมะ ความเร็วพลันเร็วขึ้นกว่าเดิม จากระยะห่างประมาณสองร้อยกว่าจ้าง คล้ายจะมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายแมงมุมตัวหนึ่ง ขนาดประมาณโต๊ะกลมธรรมดา แผ่นหลังเรียบลื่นราวกระจก ขาที่อยู่ด้านล่างขยับอย่างรวดเร็ว มองเห็นไม่ชัดเจน
“อสูรขาหิมะ!”
ไต้อิ๋นตะโกนเสียงดัง “ใครมองเห็นบ้างว่ามีกี่ขา?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หกขา”
ครั้นได้ยินคำตอบนี้ สีหน้าของอินชิงมั่วและคนอื่นๆ พลันผ่อนคลายลง ไต้อิ๋นยิ้มออกมา ขาของอสูรขาหิมะยิ่งน้อย ระดับชั้นก็จะยิ่งสูง ยิ่งร้ายกาจ อสูรขาหิมะหกขาเป็นอสูรที่อ่อนแอที่สุด กระทั่งการยกระดับสักครั้งก็ไม่เคยผ่าน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ธรรมดาที่สุดก็ยังจัดการมันได้อย่างง่ายดาย
จิ่งจิ่วปลดกระบี่เหล็กลงมา
ไต้อิ๋นยื่นมือมาห้ามพลางกล่าว “ข้าเอง!”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นอีกสามคนพุ่งตัวตามออกไป
เพียงไม่กี่อึดใจ ไต้อิ๋นก็ไล่ตามมาถึงด้านหลังอสูรขาหิมะตัวนั้น มือถือเชือกมรกตเอาไว้ ก่อนจะฟาดลงไปอย่างแรง
เชือกมรกตเป็นอาวุธวิเศษของสำนักคุนหลุน มีพลังของมังกรเจียวชิงแฝงอยู่ภายใน การฟาดอย่างรุนแรงครั้งนี้หนักมากกว่าพันจิน[1] ต่อให้เป็นก้อนหินก็ต้องแหลกละเอียด
ถึงแม้กระดองของอสูรขาหิมะจะแข็งแกร่ง แต่อสูรขาหิมะตัวนี้ก็เป็นอสูรขาหิมะหกขาซึ่งเป็นอสูรระดับต่ำ ไม่มีทางที่มันจะทนรับแรงโจมตีอันมหาศาลนี้ได้เลย
เสียงผัวะทึบๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น เปลือกของอสูรขาหิมะตัวนั้นแตกออก ของเหลวสีเขียวจำนวนมากสาดกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง คล้ายกับลูกธนูก็มิปาน
ไต้อิ๋นกระโดดเหยียบอากาศถอยกลับมา ก่อนจะลงสู่พื้น
อู่หมิงจงพุ่งตัวออกไปข้างหน้า เรียกโล่กระบี่ออกมา คุ้มกันไต้อิ๋นเอาไว้ด้านหลัง
ความเร็วของอินชิงมั่วนั้นช้ากว่าเล็กน้อย นางยกป้านดารกะออกมาก่อนจะท่องคาถา ลำแสงกระจ่างใสสายหนึ่งพุ่งออกมาจากป้านดารกะราวกับน้ำตก ปกป้องนางและหลูจินเอาไว้ด้านใน
เสียงเปาะๆ แปะๆ ดังต่อเนื่อง คล้ายกับฝนที่ตกลงมาอย่างฉับพลัน ขณะเดียวกันก็มีเสียงเผาไหม้ดังซ่าๆ ด้วย
กระทั่งของเหลวสีเขียวตกลงมาหมดแล้ว อู่หมิงจงและอินชิงมั่วถึงจะเก็บอาวุธวิเศษ
ผิวนอกของโล่กระบี่ที่หนักและแข็งแกร่งเต็มไปด้วยหลุมเล็กๆ นั่นล้วนแต่เป็นร่องรอยที่ถูกพิษกัดกร่อน
ก่อนเข้าร่วมการประลองวิถีพรต พวกเขาได้เรียนรู้ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาบ้าง จึงทราบว่าโลหิตสีเขียวของอสูรขาหิมะนั้นมีพิษร้ายแรง อีกทั้งยังมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรงอย่างมาก แต่เมื่อได้มาเห็นภาพเหตุการณ์จริงๆ พวกเขาจึงได้รู้ว่าถึงแม้จะเป็นอสูรขาหิมะที่ระดับต่ำที่สุดก็ยังมีอันตรายถึงเพียงนี้ ต่อให้สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ยังทำอันตรายต่อตัวเองได้อยู่
เมื่อเห็นอสูรขาหิมะที่ตายไปตัวนั้น อินชิงมั่วอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นพลันคิดถึงจิ๋งจิ่ว จึงหันกลับไปดูด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะพบว่าเขายืนอยู่ไม่ไกล เสื้อสีขาวพลิ้วไสว มิได้ถูกพิษกระเด็นใส่แม้แต่หยดเดียว
ในเวลานี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก
ในเปลือกของอสูรหิมะที่แตกออกพลันมีเงาดำเล็กๆ เงาหนึ่งกระโดดออกมา มันส่งเสียงร้องกริ๊กๆ แปลกๆ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างมาก
“ทิงเอ่อร์! นั่นมันทิงเอ่อร์!”
เมื่อเห็นเจ้าสิ่งนั้น ไต้อิ๋นมิเพียงไม่หวาดกลัว แต่กลับยิ่งรู้สึกตื่นเต้น
ทิงเอ่อร์เป็นปีศาจระดับกลางที่มีสติปัญหาที่พบเห็นได้น้อยมาก มันอาศัยอยู่ในเปลือกของอสูรขาหิมะ สามารถใช้เสียงควบคุมอสูรขาหิมะได้หลายร้อยตัวในเวลาเดียวกัน
บนสนามรบ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของทิงเอ่อร์คือการสั่งให้อสูรขาหิมะบุกโจมตีกองทัพของมนุษย์เหมือนสายน้ำหลาก
ความเร็วของทิงเอ่อร์นั้นเร็วอย่างมาก นอกจากนี้แล้วก็มิได้มีอันตรายอะไรอีก
ใครจะไปคิดบ้างว่าในที่ที่ห่างไกลจากใจกลางแคว้นเสวี่ย จะมีทิงเอ่อร์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในอสูรขาหิมะหกขาซึ่งมีระดับต่ำที่สุด
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างมาก
ไต้อิ๋นมิลังเล เตรียมจะไล่ตามไปสังหารทิงเอ่อร์ตัวนี้
จิ๋งจิ่วรู้สึกไม่ชอบมาพากล พลันยื่นมือไปด้วยคิดจะห้ามเขา
ไต้อิ๋นเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะแย่งผลงาน จึงส่งเสียงเหอะออกมา จากนั้นปัดมือของเขาออกแล้วพุ่งตัวออกไป
สำนักคุนหลุนอยู่ในภูเขาอันหนาวเย็น ถนัดการต่อสู้ในลมหิมะที่สุด
ไต้อิ๋นมิจำเป็นต้องขี่กระบี่ เขาเหยียบอากาศพุ่งออกไป เพียงไม่กี่อึดใจก็เปลี่ยนเป็นจุดดำเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป ไล่ตามทิงเอ่อร์ตัวนั้นจนทัน
ลำแสงสีเขียวส่องสว่างที่ราบหิมะ
มือที่ถือเชือกมรกตของเขาฟาดไปที่พื้น
ทันใดนั้นเอง เขาพลันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ร่วงตกลงมาจากบนอากาศ
…………………………………………………………