มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 11 ไห่โจวที่อยู่ห่างไปหมื่นลี้
ทุกคนดูรู้ ศิษย์หนุ่มของชิงซานผู้นั้นบรรลุสภาวะเพียงแค่ขั้นสมความนึกคิดเท่านั้น คงจะติดตามศิษย์พี่ออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตามหลักแล้วเขามิใช่คู่ต่อสู้ของจู๋เจี้ย แต่มิรู้เพราะเหตุใด ในตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา มันกลับทำให้คนรู้สึกว่าขอเพียงเขาออกกระบี่ จู๋เจี้ยจะต้องโลหิตสาดกระจายลงตรงนี้ในทันที
นี่คือพลังกระบี่ของสำนักชิงซานอย่างนั้นหรือ?
จู๋เจี้ยสีหน้าขาวซีดเล็กน้อย เนื่องเพราะก่อนหน้านี้เขารีบไปติดสินบนเจ้าหน้าที่มา เพราะคิดอยากรู้จักกับผู้ที่ดูแลรับใช้ใกล้คิดซีหวังซุนคนหนึ่ง วันนี้เขาจึงมาถึงช้าเล็กน้อย มิได้รู้เลยว่าทางชิงซานเองก็ส่งคนมาเช่นกัน
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ เขาก็อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้ ทั้งยังมีคำพูดต่อว่าเกิดขึ้นในใจอีกมากมาย
—- เป็นถึงสำนักชิงซาน เหตุใดต้องไปนั่งอยู่ในมุมมืดๆ เช่นนั้น ทั้งยังไม่ยอมพูดจา แสร้งทำเป็นถ่อมตัวอะไรกัน?
“ข้าเพียงแค่กล่าวไปเรื่อยเท่านั้น ขอสหายทั้งสองท่านอย่าได้ถือสา”
เขารีบกล่าว
จั๋วอวี๋สื่อแห่งต้าเจ๋อกล่าวยิ้มๆ กับเยาซงซาน “คำพูดติดปากของพวกเจ้านี่ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยนะ ฟังแล้วน่ากลัวจริงๆ”
ชิงซานและต้าเจ๋อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เยาซงซานพยักหน้าทักทาย มิได้กล่าวกระไร
เมื่อมองดูเหตุการณ์นี้ ซือเฟิงเฉินลอบถอนใจ แขนเสื้อโบกสะบัดเบาๆ ภาพที่อยู่บนกำแพงเปลี่ยนเป็นอีกภาพหนึ่ง
นั่นเป็นแผนที่ภาพหนึ่งที่ถูกขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า บนแผนที่ใช้จุดสีแดงทำสัญลักษณ์ตำแหน่งที่เกิดคดีเอาไว้ จากนั้นเชื่อมต่อแต่ละจุดจนกลายเป็นเส้นเดียวกัน
มีผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ “คนชั่วสองคนนั้นเดินทางจากซางโจวไปยังเมืองเฉาหนาน ก่อนจะเดินทางขึ้นเหนือ จากนั้นเลี้ยวไปทางตะวันตกที่เมืองอวี้โจว เท่ากับว่าเขาเริ่มเดินทางจากมณฑลหนานเหอ เดินอ้อมพื้นที่ทางใต้ของแผ่นดินหลังฝั่งทะเลเป็นวงกลม พวกเขาจะไปที่ใด? แล้วคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”
มีคนพบปัญหาหนึ่งที่อธิบายได้ยากยิ่งกว่า
“เหตุใดพวกเขาไม่ขี่กระบี่?”
“ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจกับสองคำถามนี้เช่นกัน แต่ก็ยังไม่มีคำตอบ ข้าเพียงแต่รู้ว่าหากพวกเขาเดินทางตามเส้นทางนี้ อย่างนั้นในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่เมืองไห่โจว”
ซือเฟิงเฉินกล่าวว่า “หากพวกเขายังกล้าลงมือ หรืออาจารย์เซียนจำนวนมากมายขนาดนี้ก็ยังจับพวกเขาไม่ได้?”
ที่กรมชิงเทียนเลือกเมืองไห่โจวเป็นสถานที่ล้อมจับกุม ก็เนื่องเพราะเมืองไห่โจวกำลังจะจัดงานเลี้ยงซื่อไห่ขึ้น แล้วก็จะมีผู้บำเพ็ญพรตของสำนักฝ่ายธรรมมะจำนวนมากมาร่วมงาน
“หากพวกเขามาไห่โจว แต่กลับไม่ยอมลงมือล่ะ?” มีคนถามขึ้นมา
ซือเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เช่นนั้นก็คงได้แต่ต้องเชิญท่านอาจารย์ของศาลาซ่วนเทียน[1]แห่งทะเลตะวันตกมาช่วยเหลือแล้ว”
ภายในศาลาตกอยู่ในความเงียบอีกครา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“อันนี้…สหายธรรมทุกท่านได้สังเกตเห็นหรือไม่ว่า สองคนนั้น…ตลอดการเดินทาง ได้สังหารปีศาจไปแล้วจำนวนมาก อีกทั้งคนที่ตายเหล่านั้น…”
คำพูดนี้มิทันได้กล่าวจบ แต่ทุกคนต่างเข้าใจว่าคนผู้นั้นคิดอยากจะกล่าวอะไร
คนที่ถูกสังหารเหล่านั้นก็มิใช่คนดีอะไร อย่างเช่นไต้ซือจู๋กุ้ยแห่งวัดเฮยหลงผู้นั้น
ทุกคนต่างรู้ในจุดนี้ แต่ไม่มีใครที่จะพูดอะไรออกมา
ในตอนที่พวกเขาพบว่าคนที่พูดคือสมณะแพทย์หนุ่มจากวัดกั่วเฉิงรูปนั้น พวกเขาพลันเกิดความรู้สึกว่าการที่คนเหล่านั้นถูกสังหารมันเป็นเรื่องที่สมควร
เหอจือชงซึ่งเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักคุนหลุนเหลือบมองดูสมณะแพทย์หนุ่มรูปนั้น
จู๋เจี้ยแค่นหัวเราะ พลางกล่าว “คดีที่เกิดขึ้นในเมืองเฉาหนานนั้น จุดเริ่มต้นของเรื่องราวคือสำนักซานตูได้แย่งยากับทางวัดของไต้ซือ ตอนนี้คนของสำนักซานตูตายแล้ว แต่ยากลับอยู่ในมือของวัดไต้ซือ แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยว่าวัดกั่วเฉิงจะร่วมมือกับฆาตกรเหล่านั้น แต่ตอนนี้ไต้ซือน้อยกลับกล่าวเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยจะเหมาะสมหรือเปล่า?”
สมณะหนุ่มรู้สึกโมโห คิดอยากแก้ต่างสักสองสามประโยค แต่กลับไม่รู้ควรจะพูดอย่างไร ใบหน้าพลันแดงขึ้นมา
เรื่องแบบนี้ไม่ต้องมีแผนการอะไรมากนัก ผู้บำเพ็ญพรตของแต่ละสำนักเพียงแค่รอให้ทางกรมชิงเทียนพบคนชั่วสองคนนั้นแล้วแจ้งพวกเขามาเท่านั้น
ส่วนที่ว่าจะกลายเป็นศึกนองเลือดหรือไม่นั้น ทุกคนมิได้กังวลเลย ต่อให้คนชั่วผู้นั้นบรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ แต่พวกเขาก็มียอดฝีมือที่บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์อย่างเหอจือชงผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนและเยาซงซานอาจารย์เซียนแห่งชิงซานอยู่ถึงสองคน ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือไห่โจว ทันทีที่ยอดฝีมือของสำนักกระบี่ซีไห่ลงมือ อีกฝ่ายยังจะหลบหนีไปไหนได้อีก?
หลังออกมาจากศาลาว่าการของกรมชิงเทียน เหล่าผู้บำเพ็ญพรตต่างแยกย้าย ส่วนใหญ่กลับไปยังที่พักเซียน
หลินอิงเหลียงออกมาหาประสบการณ์นอกสำนักครั้งแรกก็พบเจอกับเรื่องแบบนี้ จึงทั้งรู้สึกประหม่า ทั้งยังรู้สึกตื่นเต้น เขากล่าวว่า “จะต้องจับคนชั่วสองคนนั้นให้ได้”
เยาซงซานกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็คิดไม่ออกว่าคือตรงไหน
สมณะหนุ่มแห่งวัดกั่วเฉิงรูปนั้นมองดูสหายธรรมชิงซานสองคนนั้นเดินจากไป ภายในใจรู้สึกร้อนรน จึงกล่าวกับสมณะแก่ที่อยู่ข้างกายว่า “อาจารย์ลุง เหตุใดท่านจึงไม่พูด? พวกเรารู้ดีว่าคนที่พวกเขาต้องการจัดการคือใคร ต่อให้ไม่สะดวกที่จะพูดอะไร แต่เราก็ควรจะบอกพวกเขาทั้งสองคนนะขอรับ”
สมณะแก่มิได้สนใจ ในใจครุ่นคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานเองก็ค่อนข้างซับซ้อนเช่นกัน ใครจะรู้บ้างว่าสหายธรรมทั้งสองคนที่ช่วยเหลือตนเองที่เมืองเฉาหนานเมื่อสองปีก่อนคือคนของยอดเขาไหน สหายธรรมชิงซานสองคนที่อยู่ข้างหน้ามาจากยอดเขาเหลี่ยงว่าง ว่ากันว่าไม่ว่าจะกับตนเองหรือศิษย์ร่วมสำนักก็ล้วนแต่เข้มงวดยิ่งนัก หากบอกไปแล้ว ถ้าเกิดไปสร้างปัญหาให้กับสหายธรรมทั้งสองคนนั้นจะทำอย่างไร?
สมณะหนุ่มยังคงกล่าวไม่หยุด “อาจารย์ของศาลาซ่วนเทียนแห่งทะเลตะวันตกนั้นเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการคำนวณ หากถูกล้อมจับเข้าจริงๆ จะทำอย่างไร? อาจารย์ลุง พวกเราต้องรีบคิดหาวิธีติด….”
สมณะแก่กล่าวว่า “สหายธรรมทั้งสองท่านไหนเลยต้องให้เราเป็นกังวลใจ เจ้าอย่าได้ทำอะไรวุ่นวาย ฝึกปิดวาจาต่อไปเถิด”
สมณะหนุ่มส่งเสียงอา ก่อนจะปิดปากลงไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจพร้อมตะโกนอื้อๆ ออกมา
สมณะแก่กล่าว “ฝึกถึงเมื่อไรอย่างนั้นหรือ? ก็ต้องฝึกจนกว่าพวกเราจะออกไปจากไห่โจว หรือไม่ก็สหายธรรมสองท่านนั้นออกไปจากไห่โจว”
……
……
นอกเมืองไห่โจว บนภูเขาที่ร้างผู้คน หนาวเย็นยิ่งนัก
ลมพัดมาแต่ไกล เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมผา เสื้อผ้าปลิวไสว
บนใบหน้าของนางไม่หลงเหลือความไร้เดียงสาอีก สายตามีความสงบนิ่ง พูดอีกอย่างคือแน่วแน่
นางยังคงไว้ผมสั้นอยู่ คล้ายกับเด็กผู้ชาย เพียงแต่มิได้ยุ่งเหยิงเหมือนแต่ก่อน
เมื่อมองดูแผ่นหลังของนาง พลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกทอดถอนใจ
เขามิได้บอกนางว่าจะไปที่ไหน จะทำอะไร แล้วก็มิได้บอกนางว่าตนเองคือใคร
ในอดีตเขาเลือกนางเป็นศิษย์สืบทอดที่เมืองเจาเกอ จากนั้นก็มิได้สนใจอะไรนางอีก
แต่นางก็มิเคยลืมเขา เขาควรจะมีอะไรตอบแทนนางบ้าง
สองปีมานี้ เขาใช้วิธีของตัวเองในการสอนนาง
หนทางหลายหมื่นลี้ ปราบมารกำจัดปีศาจ
เดินทางนั่งพัก ทุกอย่างล้วนคือการฝึกฝน
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้น ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในดวงตาที่สีดำขาวแยกกันอย่างชัดเจนของนาง
บนท้องฟ้าที่ถูกอาทิตย์ยามเย็นย้อมจนเป็นสีแดงอบอุ่น พลันมีสีแดงที่เข้มกว่าปรากฏขึ้นมา
ในภูเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงทึบๆ ดังขึ้น
แสงสีแดงนั้นบินกลับมา ก่อนจะหายวับไปในฝ่ามือของนาง
แสงสีแดงที่อยู่ในท้องฟ้านั้นกลับยังคงอยู่
กระบี่มิคำนึงที่้อาบโลหิตมาเป็นเวลาสองปีย่อมต้องแดงฉานกว่าอาทิตย์อัสดง
“สถานที่ที่อยู่ใกล้กับเมืองไห่โจวขนาดนี้ กลับยังมีปีศาจที่กินมนุษย์อยู่ มิรู้พวกไร้ค่าในสำนักซีไห่มัวทำอะไรอยู่”
เจ้าล่าเยวี่ยเดินกลับมาหาจิ๋งจิ่วพลางกล่าว
สำนักชิงซานคิดว่าตนเองเป็นสำนักวิถีกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรมามิได้มองสำนักกระบี่ซีไห่อยู่ในสายตา
แม้นซีไห่จะมีเทพกระบี่ปรากฏขึ้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ความรู้สึกที่ศิษย์ชิงซานมีต่อสำนักกระบี่ซีไห่ยิ่งแย่ลง
จิ๋งจิ่วกล่าว “มนุษย์ที่ปีศาจตนนี้กินไปในหนึ่งปี ยังน้อยกว่าจำนวนหนึ่งในสิบของชาวประมงที่เสียชีวิตจากการลงไปงมไข่มุกในทะเล”
ไข่มุกหยวนชี่[2]อันเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของทะเลตะวันตก มีความล้ำค่ากว่าหินผลึกทั่วไป ทุกปีสำนักกระบี่ซีไห่และราชสำนักจะทำการจัดสรรแจกจ่ายมันให้กับสำนักต่างๆ
เพื่อจะงมไข่มุกหยวนชี่ขึ้นมา ทุกปีไม่รู้มีชาวประมงมากน้อยเท่าไรต้องฝังร่างตัวเองลงที่ใต้ทะเลลึก
พูดอีกอย่างคือชาวประมงที่ต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อให้ผู้บำเพ็ญพรตบรรลุสภาวะนั้นมีจำนวนมากกว่ามนุษย์ที่ปีศาจตนนี้กินเข้าไปเสียอีก
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา
เมื่อสองปีก่อนตอนอยู่ที่เมืองซางโจว จิ๋งจิ่วเคยกล่าวว่าผู้บำเพ็ญพรตต้องไร้ซึ่งความรู้สึก
“หลังจากนี้ พวกเราจะไปที่ไหน?” นางถาม
หลังออกจากชิงซาน เริ่มแรกสุดนางเป็นคนตัดสินใจว่าจะไปที่ไหน อย่างเช่นเรือนเป่าซู่ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับยอดเขาปี้หู อย่างเช่นบ้านเกิดของอาจารย์เมิ่ง คนของเจวี่ยนเหลียนเหรินที่เปิดเผยสถานะของนางในตอนแรกและชี้นำให้จั่วอี้ตัดสินใจสังหารนางปิดปากก็เป็นหนึ่งในเบาะแสเช่นกัน เพียงแต่คนผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางพบว่าการตัดสินใจของตัวเองล้วนแต่เป็นความต้องการของจิ๋งจิ่ว
แม้นจะพบในจุดนี้ แต่นางก็มิได้อาศัยความเป็นศิษย์พี่มาเปลี่ยนแปลง เพราะในระหว่างการเดินทาง นางค่อยๆ พบว่าไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การสังหารที่ดูเหมือนซ้ำซากจำเจเหล่านั้น คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งคราวหรือว่าสายตา ความจริงแล้วจิ๋งจิ่วล้วนแต่กำลังสอนนางอยู่
นางมิแน่ใจว่าจิ๋งจิ่วสอนอะไรนางบ้าง นางไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วคิดอยากจะไปที่ใด คิดอยากจะทำอะไร
แต่นางรู้ว่าเขามีจุดหมายหนึ่งที่ต้องการจะไป หรือพูดอีกอย่างก็คือเป้าหมายหนึ่ง
“ที่นี่แหละ”
จิ๋งจิ่วมองไปยังเมืองไห่โจวที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น พลางกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพราะอยากเจอคนๆ หนึ่ง”
ออกจากชิงซาน เดินทางอ้อมแผ่นดินสองปี สังหารคนเจ็ดสิบกว่าคนและปีศาจอีกจำนวนมาก เพียงเพราะเขาอยากจะเจอคนๆ หนึ่ง
ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปในเมืองไห่โจวนั้นมิได้เจอกับความยุ่งยากใดๆ
ตอนที่อยู่เมืองอวี้โจว เจ้าล่าเยวี่ยคงจะใช้เส้นสายของครอบครัว ได้ใบผ่านทางของจริงมาสองใบ
อาหารมื้อแรกที่เมืองไห่โจวยังคงเป็นหม้อไฟ
ที่นี่อยู่ติดทะเลตะวันตก วัตถุดิบที่ใช้ทำหม้อไฟย่อมต้องเน้นอาหารทะเลเป็นหลัก เมื่อกินแกล้มกับสุราข้าวสาลีที่สดใหม่ รสชาติถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบผักในน้ำแกงที่ต้มจนใกล้เปื่อย ในที่สุดก็อดถามประโยคหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
“เจ้าคิดว่าอินซานยังไม่ตายจริงๆ หรือ?”
……………………………………………………………………….
[1]ซ่วนเทียน หมายถึง คำนวณสวรรค์
[2]หยวนชี่ หมายถึง พลังชีวิต