มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 120 วัดในเมืองไป๋เฉิง
เรือยักษ์รูปร่างเหมือนดั่งกระบี่ ขนาดใหญ่ราวขุนเขา บีบอัดอากาศจนทำให้เกิดเสียงหวีดแสบแก้วหู
กาบด้านข้างของเรือบินมีรอยแตกที่เกิดจากลมพายุซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน โชคดีที่ไม่ได้เสียหายอะไรมาก
เรือกระบี่?
เหล่าศิษย์ชิงซานตกตะลึงจนกล่าวอะไรไม่ออก
ศิษย์หนุ่มสาวสำนักอื่นเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
จู่ๆ เรือกระบี่พลันปรากฏขึ้น หมายความว่าสำนักชิงซานทราบถึงความคิดของจิ๋งจิ่วแล้ว ทั้งยังแสดงออกว่าสนับสนุนด้วย
เหลยอี้จิงแลดูสับสน
เขาเพิ่งจะพูดไปว่าหากถอนตัวจากการประลองวิถีพรตกลางคัน จะถูกสำนักลงโทษเอาได้ แต่ผลสุดท้ายเขากลับเห็นภาพนี้
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่ยังไม่จากไปพากันครุ่นคิดอย่างงุนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ไป๋เจ่ามองไปทางข้อมือของจิ๋งจิ่ว ครุ่นคิดว่าในช่วงที่สร้อยกระบี่หายไป น่าจะเป็นเขาที่ส่งมันไปแจ้งข่าวยังชิงซาน
กระบี่บินนี้สามารถบินออกจากตัวเจ้าของไปไกลเป็นแสนลี้ได้อย่างอิสระ จพต้องเป็นของวิเศษที่หาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน
สำนักชิงซานเชื่อฟังคำแนะนำของเขา ดูเหมือนจิ๋งจิ่วจะมิใช่ศิษย์ธรรมดาเสียแล้ว
……
……
ภายในเรือนเล็กของวัดจิ้งเจวี๋ยตกอยู่ในความเงียบ
เหล่าเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
เจ้าสำนักคุนหลุนโมโหจนถึงขีดสุด เขากล่าวถามอย่างสงสัยว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดเรือกระบี่ของสำนักชิงซานจึงมาปรากฏตัวที่ที่ราบหิมะได้?”
เหอกั๋วกงขมวดคิ้ว ในใจครุ่นคิด หรือว่างานประลองวิถีพรตในปีนี้จะเกิดเรื่องจริงๆ? สำนักชิงซานมีสิทธิ์อะไรมาทำการตัดสินใจแบบนี้? เหตุใดจึงไม่แจ้งสำนักอื่นๆ ล่วงหน้าเสียหน่อย?
เขามองไปทางหนานว่างพลางกล่าวว่า “สำนักของท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หนานว่างกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าอยู่ที่เมืองเจาเกอ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าที่ชิงซานเกิดอะไรขึ้น?”
เรือกระบี่คือของล้ำค่าของสำนักชิงซาน ได้รับการดูแลโดยยอดเขาซื่อเยวี่ย
เรือที่ปรากฏอยู่บนที่ราบหิมะในเวลานี้คือเรือล่องสมุทรที่มีระดับชั้นวิญญาณสูงที่สุด
มีเพียงเจ้าสำนักชิงซาน หยวนฉีจิงและเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยเพียงสามคนเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ใช้มัน
เจ้ากรมชิงเทียนรีบวิ่งเข้ามา ก่อนจะส่งจดหมายกระบี่ฉบับหนึ่งให้
เหอกั๋วกงรับเอาจดหมายกระบี่มา รับรู้อยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง เขามองทุกคนพลางกล่าวว่า “ทางชิงซานแจ้งมาว่า ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจะมีปัญหาหรือเปล่า แต่ในเมื่อจิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตแล้ว การประลองวิถีพรตดำเนินต่อไปก็ไม่มีความหมาย เพื่อความปลอดภัยแล้ว ขอแนะนำให้แต่ละสำนักรับศิษย์ของตนเองกลับมา”
แต่เขามิได้พูดออกไปจนหมด ความจริงในจดหมายของสำนักชิงซานเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าทางผู้จัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยจะไม่ฟังคำแนะนำของพวกเขาก็ได้
….เพียงแต่หากเกิดอะไรขึ้น อย่าหาว่าสำนักชิงซานไม่เตือนแล้วกัน
เจ้าสำนักผู้หนึ่งกล่าวถามอย่างเป็นกังวล “สำนักชิงซานได้บอกหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เหอกั๋วกงกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ข้าได้บอกไปแล้ว พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีปัญหาหรือเปล่า เพียงแต่รู้สึกไม่ดี”
เมื่อได้ยินคำว่ารู้สึกไม่ดีสี่พยางค์นี้ เหล่าเจ้าสำนักและผู้อาวุโสที่อยู่ในเรือนต่างรู้สึกปวดหัว
เรื่องราวทั้งหมดในการประลองวิถีพรตครั้งนี้ล้วนแต่มาจากคำสี่พยางค์ที่แปลกประหลาดนี้
“ความรู้สึกของจิ๋งจิ่วหรือว่าความรู้สึกของท่านเจ้าสำนักล่ะ นั่นมันไม่เหมือนกันนะ”
เจ้าสำนักผู้นั้นรู้สึกเรื่องนี้มันช่างน่าขัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏขึ้นมา
ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวถามว่า “เรือกระบี่รับคนไปกี่คน?”
เหอกั๋วกงกล่าวว่า “สามสิบ”
เจ้าสำนักและผู้อาวุโสต่างรู้สึกตกใจ
พวกเขาไม่รู้ว่านอกจากศิษย์ชิงซานสิบคนนั้นแล้ว จิ๋งจิ่วยังบังคับศิษย์ของต้าเจ๋อและสำนักเสวียนหลิงไปด้วย แล้วยังมีผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ ที่สมัครใจตามเขาไปอีก
การมาถึงของเรือกระบี่ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่ในตอนแรกมิได้มีความคิดที่จะกลับออกมาเปลี่ยนความคิด
สำนักชิงซานช่างมีอิทธิพลในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจริงๆ
ปัญหาในตอนนี้ก็คือศิษย์หนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตมีทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน ไม่ทันไรก็หายไปหนึ่งในห้า แล้วหลังจากนี้จะทำการประลองอย่างไร?
การพูดคุยที่เกิดขึ้นจากปรากฏตัวของเรือกระบี่ชิงซานจะต้องทำให้ท่าทีของหลายๆ คนเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
หรือการประลองวิถีพรตในปีนี้จะจบลงแบบนี้?
เจ้าสำนักคุนหลุนมองหนานว่าง พลางกล่าวอย่างโมโหว่า “สำนักชิงซานของพวกเจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่? ศิษย์ที่ทำตัวไร้สาระเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่จัดการ แต่กลับยังสนับสนุนเขาให้มาก่อความวุ่นวายอีก!”
หนานว่างกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่ไหนแต่ไรมา สำนักชิงซานของข้าให้ความสำคัญกับคนที่มีความสามารถ ไม่จำกัดวิถีของเขา อาจารย์ใจกว้าง ยอมรับความเห็นของศิษย์รุ่นเยาว์ มีปัญหาหรือ?”
เดิมทีนางไม่ค่อยชอบจิ๋งจิ่ว แต่เวลานี้ความคิดกลับเปลี่ยนไปมาก
ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไร สำนักชิงซานเคยได้มาแล้วหลายครั้ง
แต่การที่บังคับให้จบการประลองก่อนกำหนด จิ๋งจิ่วนั้นถือเป็นคนแรก
เจ้าสำนักและผู้อาวุโสจำนวนมากต่างคิดถึงปัญหานี้
ศิษย์หนุ่มที่เข้าร่วมการประลองคนหนึ่งก่อเรื่องจนทำให้การประลองต้องจบลง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
กระบี่เจ้าสำนักฌานเป่าทงที่ใจเย็นที่สุดก็ยังรู้สึกโกรธ เขากล่าวว่า “เอาไว้จิ๋งจิ่วกลับมาแล้ว ข้าต้องถามเขาเสียหน่อยแล้ว”
เหอกั๋วกงกล่าว “เขาไม่กลับมา”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ตามเรือกระบี่กลับมา?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ภายในเรือนเล็กตกอยู่ในความเงียบ
ด้านหลังหน้าต่างยิ่งเงียบกว่า
ฉานจึคุกเข่าอยู่บนอาสนะ เพื่อให้ดวงตาของตนยิ่งใกล้กองไม้ที่ดูยุ่งเหยิงเหล่านั้นเข้าไปอีกหน่อย
ถูกต้อง ตอนนี้เขามองไม่ค่อยชัดเท่าไร
ข่าวที่ส่งมาจากเมืองเล็กคือปีนี้ไม่มีคลื่นอสูร เหมือนกับที่สมณะซื่อไห่วิเคราะห์เอาไว้
คนผู้นั้นเองก็ไปยังเมืองเล็ก แล้วก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน
คนผู้นั้นและเขาต่างมองไม่ออก เหตุใดสำนักชิงซานจึงบอกว่ารู้สึกไม่ดี?
สำนักชิงซานย่อมต้องร้ายกาจ แต่หากพูดถึงเรื่องความรู้สึก จะไปเทียบกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและวัดกั่วเฉิงได้อย่างไร?
หากจิ๋งจิ่วมิใช่ผู้สืบทอดของจิ่งหยาง เขาย่อมไม่มีทางสนใจเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องคิดให้ละเอียดขึ้นหน่อย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงฆ้องบอกเวลาทำให้ฉานจึได้สติขึ้นมา ด้านนอกหน้าต่างกลายเป็นเวลากลางคืนแล้ว
ในดวงตาที่ใสกระจ่างหรือเรียกได้ไร้เดียงสาของเขา เผยให้เห็นถึงสายตาที่ผิดหวังเล็กน้อย
เขาได้ยินเสียงฆ้องบอกเวลาที่ดังมาจากพระราชวังที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ แต่เขากลับยังคิดเรื่องนี้ไม่ออก
ให้แต่ละสำนักเตรียมตัวแล้วกัน
เขาคิดในใจ
……
……
เรือกระบี่จากไป รูขนาดใหญ่ที่ถูกฉีกออกบนชั้นเมฆไม่สามารถเติมให้เต็มได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แสงสุดท้ายของวันส่องไปบนเขาหิมะ ทั้งยังหักเหลงไปในหุบเขา ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยแสงสีทองที่ดูสบายตา
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตล้วนแต่จากไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีหรือไม่ยินดี จำนวนคนที่สามารถมองเห็นได้ในหุบเขาก็ดูน้อยลงไปถนัดตา
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไป?”
จิ๋งจิ่วมองไป๋เจ่าพลางถาม
ไม่ว่าจะนั่งเรือกระบี่ออกไปจากที่ราบหิมะ หรือว่าออกไปจากหุบเขา มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะเพื่อประลองวิถีพรตต่อก็ล้วนแต่คือการไป
ไป๋เจ่าถามกลับ “แล้วเหตุใดเจ้าไม่ไป?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าจะลองไปดูหน่อย”
หลังเหยียบเข้ามาในที่ราบหิมะ ยิ่งมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
หลังพบเจอกับหมอกประหลาดนั้น ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
หากอันตรายที่อยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะคือกับดักที่ศิษย์พี่วางขึ้นมา ตามวิธีปฏิบัติที่ผ่านมา เขามักจะจากไปหลังจากที่ส่งศิษย์ชิงซานเรียบร้อย
นี่มิใช่การหลบหนี หากแต่เป็นการยอมเปิดทาง
การต่อสู้ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายร้อยปีนี้ เขาปฏิบัติตามหลักการนี้อย่างเคร่งครัด เลยมิเคยพบกับความพ่ายแพ้มาก่อน
แต่ตอนนี้ดูแล้ว เขาก็ไม่เคยชนะอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเขาจึงรับปากเจ้าล่าเยวี่ยในเรื่องนั้น
หากนี่เป็นกับดัก อย่างนั้นก็ลองทำลายมันดูแบบซึ่งๆ หน้า
แล้วเมื่อไรถึงจะเข้าไปอยู่ในกับดัก?
เขายังต้องรอคอยอยู่
ครั้งนี้เขามิได้รอคน แล้วก็มิได้รอเรือ หากแต่รอเรื่อง
คืนหนึ่งผ่านอย่างเงียบๆ แสงอาทิตย์มาเยือนอีกครา ไป๋เจ่ายังคงอยู่
“ถ้าเจ้ายังไม่ไป อาจจะไม่ทันแล้วนะ” จิ๋งจิ่วกล่าว
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ขอเพียงข้าอยากไป ข้าสามารถไปได้ทุกเมื่อ”
……
……
ราชวงศ์ตระกูลจิ๋งครอบครองพื้นที่หนึ่งในสามของแผ่นดินเฉาเทียน เมื่อมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือจะเป็นที่ราบหิมะอันเย็นยะเยือก
ในส่วนลึกของที่ราบหิมะมีเทือกเขาขนาดใหญ่อยู่เทือกหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาก็คือแคว้นเสวี่ย
ปลายสุดทางเหนือของดินแดนมนุษย์มีเมืองเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง
ตัวเมืองมีขนาดกว้างยาวเพียงไม่กี่ลี้ กำแพงเมืองก่อขึ้นมาจากอิฐดิน เนื่องเพราะหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่แล้วมันจึงเป็นสีขาว ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าไป๋เฉิง[1]
บนถนนที่มุ่งหน้าลงไปยังทิศใต้ของเมืองไป๋เฉิงก็มีสาวกกำลังสวดภาวนาอยู่เช่นเดียวกัน บนรถที่อยู่ด้านหลังคือธัญพืช ผักและเนื้อ
เมืองไป๋เฉิงสร้างขึ้นติดกับภูเขา หน้าผาแห่งนั้นคือหินสีแดง เมื่ออยู่ท่ามกลางหิมะสีขาว ทำให้ดูสะดุดตาเป็นยิ่งนัก ดูคล้ายโลหิตก็มิปาน
ด้านหน้าภูเขามีวัดเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ภายในวัดมีพระพุทธรูปทองคำอยู่องค์หนึ่ง
พระพุทธรูปทองคำองค์นั้นสูงสิบกว่าจ้าง อ้วนเป็นอย่างมาก สองตาหลับลง มุมปากยกขึ้นคล้ายกำลังยิ้ม แลดูเหมือนภูเขาลูกหนึ่ง
ด้านหน้าพระพุทธรูปมีดาบเหล็กวางอยู่เล่มหนึ่ง
ดาบเหล็กเล่มนั้นยาวประมาณสามจ้าง ดูคล้ายคานบ้าน พื้นที่คอยรองรับแท่นวางดาบจมลงไปครึ่งฉื่อ สามารถเห็นได้ถึงความหนักของมัน
ไม่รู้จริงๆ ว่าบนโลกนี้จะมีใครที่สามารถยกดาบเล่มนี้ขึ้นมาได้
สาวน้อยคนหนึ่งเดินมาถึงหน้าประตูวัด เงยหน้ามองดูคำกลอนคู่ที่ติดอยู่หน้าประตู
“ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ขอพระขอเจ้าคือการขอตัวเอง”
เนื้อหาของบทกลอนคู่นี้ดูเหมือนธรรมดา แต่หากพินิจดูดีๆ ก็จะเห็นถึงความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่
ก็คล้ายกับสาวน้อยผู้นี้ที่มีใบหน้าธรรมดา แต่ตัวนางกลับดูมีราศีบางอย่างที่ยากจะบรรยายได้
คล้ายว่าในยามที่นางมองฟ้าดินแล้วไม่สบอารมณ์ ฟ้าดินก็ยังไม่กล้ามองนาง
เมื่ออ่านกลอนคู่นี้จบ สาวน้อยก็ทัดเส้นผมที่ปลิวไสวไว้ด้านหลังหู ก่อนจะเดินเข้าไปในวัด ไปยืนอยู่หน้าพระพุทธรูป
เสียงที่ฟังดูจริงใจและห่างไกลเสียงหนึ่งดังขึ้นมา แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเศร้าใจ คล้ายระฆังเก่าอันเลื่องชื่อในวัดกั่วเฉิงใบนั้น
“ที่แท้เป็นเจ้าที่มา”
………………………………………………………….
[1]ไป๋เฉิง แปลว่า เมืองสีขาว