มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 122 พอมองดู ห่างไกลหมื่นลี้
การวิเคราะห์ของนางถูกต้อง
ในตอนที่เกิดคลื่นอสูรครั้งก่อนๆ ได้มีสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยจำนวนมากแอบซ่อนตัวอยู่ในที่ราบหิมะและในส่วนลึกใต้ภูเขา เพื่อรอลอบโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ในตอนที่เกิดคลื่นอสูรครั้งหน้า
แต่ปัญหาก็คือ เหตุใดเวลานี้แคว้นเสวี่ยถึงได้เรียกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ออกมา หรือว่ายอมละทิ้งแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้? ทางด้านนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หากเป็นอาณาจักรของมนุษย์ บางทีอาจเป็นเพราะฮ่องเต้สวรรคตอย่างกะทันหัน เพื่อที่จะแย่งชิงราชบัลลังก์แล้ว ขั้วอำนาจทุกฝ่ายต่างรีบรวบรวมกำลังทหารกลับมายังเมืองหลวงเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์
แต่แคว้นเสวี่ยไม่มีปัญหานี้ เพราะแคว้นเสวี่ยไม่มีการแบ่งขั้วอำนาจอะไรทั้งสิ้น พวกมันมีราชินีเพียงแค่องค์เดียว
ทันใดนั้นเอง ด้านหน้าที่อยู่ห่างไกลออกไปพลันมีแสงสว่างสว่างขึ้นมา
หรือว่าพระอาทิตย์ยามเช้ากำลังจะปรากฏขึ้นมา?
ไป๋เจ่ามองไปทางด้านนั้น แต่เป็นเพราะว่าอยู่ไกลเกินไป ต่อให้ใช้วารีกระจ่างก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“คือหมอก” จิ๋งจิ่วกล่าว
ฟ้าดินที่อยู่ทางด้านนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นมา มิใช่เป็นเพราะพระอาทิตย์ยามเช้าปรากฏขึ้นมา หากแต่เป็นเพราะหมอกหักเหแสงออกมา นี่ทำให้จินตนาการได้เลยว่าหมอกตรงนั้นหนาทึบเพียงใด
หมอกอันหนาวเย็นเหล่านนั้นสามารถปิดกั้นจิตจำแนกได้ ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างมาก หากผู้เข้าร่วมประลองพบเจอเข้าจะทำอย่างไร?
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือหมอกอันหนาวเย็นที่ปรากฏขึ้นมามิได้มีแค่แห่งเดียว หากแต่ลอยเข้ามาแบบมืดฟ้ามัวดิน ราวกับคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน มันไม่มีทางที่จะสลายหายไปในระยะเวลาสั้นๆ แน่
ไป๋เจ่ากล่าว “รีบแจ้งเตือน น่าจะยังถอยออกไปทัน”
ที่นางกล่าวมิได้หมายถึงตัวเองหรือจิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตเหล่านั้น
ในตอนที่กล่าวประโยคนี้ นางพลันคิดถึงศิษย์พี่ที่เข้าไปยังส่วนลึกของภูเขาแล้ว จึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
คำพูดหลังจากนั้นของจิ๋งจิ่วได้ทำให้ความกังวลของนางกลายเป็นความจริง
“ไม่ทันแล้ว หมอกที่อยู่ใต้พื้นมาเร็วกว่า”
ไป๋เจ่ามองตามสายตาของเขาลงไป ก่อนจะพบว่าหน้าผาที่เดิมถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหิมะสีขาวได้ถูกลมหนาวพัดจนเผยให้เป็นปากโพรงที่ถูกปกปิดมาเป็นเวลายาวนานเหล่านั้น
คล้ายกับปากโพรงที่หนอนหิมะระดับสูงตัวนั้นขุดเข้าไป
มีไอหมอกจางๆ ลอยออกมาจากปากโพรงเหล่านั้น แม้จะอยู่ห่างออกมาหลายสิบจ้าง แต่นางก็ยังรับรู้ได้ถึงความเย็นที่โถมเข้าใส่ใบหน้า
นางกระชับเสื้อคลุมขนนกกระจอกทองไฟให้แน่นขึ้น สีหน้าค่อนข้างขาวซีด เป็นเพราะหนาวเย็น และเป็นเพราะอารมณ์
จิ๋งจิ่วมองดูสีหน้าของนาง ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่านางมิใช่ตนเอง ไม่สามารถทนต่อลมอันหนาวเย็นและอุณหภูมิที่ต่ำบนยอดเขาเป็นเวลานานได้ จึงขี่กระบี่ลงจากยอดเขา
อาวุธวิเศษที่ไป๋เจ่าใช้ในการบินบนอากาศคือเครื่องเคลือบสีเขียว ดูเปราะบางอย่างมาก แต่กลับรวดเร็วเป็นยิ่งนัก
ทั้งสองคนมิได้คุยอะไรกัน มุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งที่หมอกลอยขึ้นมา
หมอกอันหนาวเย็นมาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ เพียงไม่นาน ทัศนวิสัยก็ได้รับผลกระทบ
โชคดีที่ปริมาณหมอกที่ลอยขึ้นมาจากใต้ดินและตะเข็บภูเขามีจำนวนจำกัด ค่อนข้างเบาบาง ไม่กระทบต่อการโคจรปราณก่อกำเนิดและจิตจำแนก เพียงแค่ทำให้บรรยากาศรอบกายยิ่งหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น
จิ๋งจิ่วถาม “ทนไหวไหม?”
ไป๋เจ่าพยักหน้า ขนตาที่จับตัวเป็นน้ำค้างแข็งกระดิกเล็กน้อย ดูอ่อนแอเป็นยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปคว้าตัวนางมา กล่าวว่า “นั่งลง”
ไป๋เจ่ารู้สึกตกใจ แต่ก็สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว นางเก็บเครื่องเคลือบสีเขียว ก่อนจะนั่งลงไปบนกระบี่ตามที่จิ๋งจิ่วบอก
จิ๋งจิ่วเองก็นั่งลงไป คอยบังลมหนาวที่พัดมาจากด้านหน้าเอาไว้
ไป๋เจ่ามองแผ่นหลังของเขา มิได้กล่าวกระไร
ส่วนสูงของจิ๋งจิ่วเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ในสายตาของนางในเวลานี้ เขากลับดูสูงใหญ่
“ใหญ่จริงๆ”
“อะไร?”
“ข้าหมายถึงกระบี่ของเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะนั่งได้สองคน”
“อื้อ เลือกมาโดยเฉพาะ”
“ตอนแรกเจ้าคิดจะใช้กระบี่นี้พาคนอื่นไปด้วยหรือ?”
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าถ้านั่งได้ นอนได้ มันค่อนข้างสะดวก”
“นี่ช่างเป็น…เหตุผลที่ดีจริงๆ”
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดในตอนนั้นจิ๋งจิ่วจึงเลือกกระบี่เหล็กของอาจารย์ม่อเล่มนี้มา
มีเพียงหลิ่วสือซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ยเท่านั้นที่เหมือนจะพอเดาได้
……
……
จิ๋งจิ่วขี่กระบี่มุ่งไปข้างหน้า เนื่องเพราะลมอันรุนแรง จึงทำให้ไม่สามารถแสดงความเร็วของกระบี่ออกมาได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นเพราะหมอกอันหนาวเย็น จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยลอบโจมตี
หมอกค่อยๆ หนาทึบ อากาศยิ่งหนาวเย็น
ไป๋เจ่าหลับตา โคจรปราณก่อกำเนิดคุ้มครองร่างกาย มิกล่าวกระไรอีก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่ใดที่หนึ่งภายในหมอกอันหนาวเย็นพลันมีเสียงกระบี่แหวกอากาศขึ้น จากนั้นเป็นเสียงฟันถูกวัตถุแข็งๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนหลายเสียง
สุดท้าย เสียงทั้งหมดล้วนหายไป
ภายในหมอกอันหนาวเย็น ทุกอย่างเงียบสงัด
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ คล้ายมิได้ยินเสียงเหล่านี้
ไป๋เจ่ามองเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าด้านหน้าอันตรายอย่างมาก”
หากคำนวณจากระยะทางและเวลา เสียงเมื่อครู่นี้น่าจะมาจากผู้เข้าร่วมการประลองที่ขอให้ทำการประลองวิถีพรตต่อเมื่อหลายวันก่อนเหล่านั้น
ไป๋เจ่าส่งเสียงอื้อ มิได้กล่าวกระไรอีก
จิ๋งจิ่วมองนาง
กระบี่เหล็กขยับเบาๆ ทิศทางเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่นานก็มาถึงตำแหน่งที่เสียงเมื่อครู่นี้ดังขึ้น
หมอกอันหนาวเย็นถูกลมจากกระบี่พัดกระจายไปบางส่วน ทำให้พอจะมองเห็นภาพที่อยู่เบื้องล่างได้ลางๆ
บนพื้นหิมะมีศพนอนอยู่สามสี่ศพ
ไป๋เจ่าจำได้ว่านั่นคือผู้บำเพ็ญพรตที่ออกมาจากหุบเขาเมื่อวันก่อน ในนั้นมีศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่สองคนที่ตอนนั้นส่งเสียงโวยวายมากที่สุด
จิ๋งจิ่วไล่ศิษย์สำนักเสวียนหลิงกลับไปจนหมด เท่ากับทำให้กลุ่มเหล่านี้ขาดการป้องกันทางอ้อม ไม่เช่นนั้นพวกเขาน่าจะอดทนได้นานกว่านี้
ไป๋เจ่ารู้ดีว่านี่ย่อมไม่อาจโทษจิ๋งจิ่วได้ เพียงแต่เมื่อคิดถึงเหตุและผลที่อยู่ในนี้ จึงอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
กระบี่เหล็กมุ่งหน้าต่อไป หมอกยิ่งหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือหมอกนี้มีความหนาวเย็นยิ่งกว่าหมอกที่พวกเขาเจอในคืนนั้นเสียอีก นี่ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อจิตจำแนก ไป๋เจ่าเป็นกังวลอย่างมาก ในสถานการณ์เช่นนี้แม้กระทั่งนางก็ไม่สามารถใช้อาวุธวิเศษได้ หากคิดอยากจะเหยียบเครื่องเคลือบสีเขียวขึ้นบินอีกครั้งเกรงว่าคงยากที่จะทำได้ แล้วผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ จะถอยไปได้อย่างไร? หากต้องเจอกับสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยเหล่านั้นจะทำอย่างไร?
“เจ้าวิเคราะห์ไม่ผิด หนอนเหล่านั้นมันรีบกลับไปยังแคว้นเสวี่ย ขอเพียงไม่ไปโจมตีใส่พวกมันก่อน พวกมันก็ไม่มีทางโจมตีใส่”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
ไป๋เจ่าถามว่า “หากไปชนเข้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อย่างนั้นก็ถือว่าโชคไม่ดี”
ไป๋เจ่ากล่าว “ต่อให้ไม่เจอสัตว์ประหลาด ก็ไม่มีทางที่จะทนอยู่ในหมอกได้นาน พวกเขามิได้มีปราณก่อกำเนิดและจิตจำแนกที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “โลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีคนโง่อยู่มากมาย แล้วก็มีคนฉลาดอยู่บ้าง ต่อให้ไม่เชื่อข้า แต่ก็น่าจะทำการเตรียมตัวเอาไว้เหมือนกัน”
ในเวลานี้เอง ทั้งสองคนรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่ง จึงเหลียวหน้ากลับไปมองทางตะวันตกเฉียงใต้
ถึงแม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ มีหมอกหนาทึบขนาดนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าท้องฟ้าตรงนั้นถูกฉีกเปิดออกจนเป็นรู ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนสาดลงมา
ที่ตรงนั้นอยู่ห่างพวกเขาออกไปหลายสิบลี้ อานุภาพเช่นนี้มิใช่สิ่งที่วัตถุวิเศษธรรมดาจะทำได้
สายตาของจิ๋งจิ่วดีเป็นอย่างยิ่ง เขามองเห็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า พัดหมอกอันหนาวเย็นแตกกระตาย ดูแล้วน่าจะเป็นเรือดอกบัวของสำนักคุนหลุน
จากนั้น ในท้องฟ้าที่อยู่เหนือหมู่ขุนเขาก็ทยอยมีไอพลังอันแกร่งกล้าปรากฏขึ้นมา ก่อนจะปล่อยลำแสงออกมานับไม่ถ้วน
เรือเมฆของสำนักจงโจว ดอกบัวของฉานจึ เส้นขอบฟ้าของต้าเจ๋อ…กระทั่งเรือกระบี่ของชิงซานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
วัตถุวิเศษประจำสำนักฝ่ายธรรมะทั้งหมดมาอยู่ที่นี่ บรรยากาศบนฟ้าดินโกลาหลวุ่นวาย หมอกอันหนาวเย็นแตกกระจายไปรอบด้าน ทัศนวิสัยชัดเจนขึ้นมาหน่อย
จุดดำจำนวนมากถูกลำแสงเหล่านั้นดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า น่าจะเป็นเหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต
ความเร็วในการไหลทะลักของหมอกอันหนาวเย็นแปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็วขึ้น บนภูเขายิ่งหนาวเย็น
ความเร็วในการรับศิษย์ขึ้นมาของแต่ละสำนักเองก็เร็วขึ้น พวกเขาต้องรีบทำเวลาแข่งกับหมอกอันหนาวเย็น
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ สีหน้าของไป๋เจ่าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นพบว่าป้ายไม้ไผ่บนข้อมือสว่างขึ้นมา
นั่นคือสัญญาณขอความช่วยเหลือจากศิษย์สำนักเดียวกัน
นางตกใจเล็กน้อยจนลืมระวังจิต ทันใดนั้นพลันถูกความหนาวเย็นรุกล้ำเข้าไปในร่างกาย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมา
นางหยิบเอายาขึ้นมากินเม็ดหนึ่ง ก่อนจะไอออกมาอย่างเจ็บปวด
จิ๋งจิ่วถาม “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ไป?”
“ข้าไปไม่ได้ เจ้ารีบไปเถอะ ข้าจะหนีไปเมื่อไรก็ได้”
นางกังวลว่าจิ๋งจิ่วจะไม่เชื่อตนเอง จึงกล่าวว่า “ข้าเอาตระประทับหมื่นลี้มาด้วย”
………………………………………………………..