มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 15 ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์และความรู้สึก
หากถามว่ากลุ่มที่ลึกลับที่สุดในแผ่นดินเฉาเทียนคืออะไร หลายคนคงบอกว่าเจวี๋ยนเหลียนเหริน
หากถามว่าสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนคือที่ใด หลายคนคงบอกว่าดินแดนหมิง
หากถามว่ากลุ่มที่ทั้งน่ากลัวและลึกลับที่สุดคืออะไร? เช่นนั้นก็มีอยู่คำตอบเดียว
‘ปู้เหล่าหลิน’
ปู้เหล่าหลินคือกลุ่มนักฆ่า ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าหาบเร่กรรมกรหรือขุนนางชั้นสูงที่ใกล้ชิดองค์ฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์ที่ขายชาติหรือวีรบุรุษผู้จงรักภักดี ขอเพียงมีเงินจ่าย ปู้เหล่าหลินก็กล้าสังหาร ต่อให้คนที่ท่านคิดจะสังหารคือยอดฝีมือขั้นแหวกทะเล ปู้เหล่าหลินก็จะพยายามทำให้ได้ อีกทั้งว่ากันว่าเคยทำสำเร็จมาแล้วด้วย
ไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งปู้เหล่าหลิน สถานที่อยู่ที่ไหน มีสมาชิกอยู่เท่าไร
ทุกคนรู้เพียงว่า ขอเพียงถูกปู้เหล่าหลินหมายตาเอาไว้ ชีวิตก็จะสูญหายไปอย่างรวดเร็ว อายุหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้ ไม่มีทางได้แก่เฒ่าอีก
คนชุดดำผู้นั้นมิได้ปฏิเสธ
สำหรับสำนักฝ่ายธรรมมะอย่างชิงซานแล้ว ปู้เหล่าหลินย่อมต้องเป็นพวกนอกรีตที่ชั่วร้ายและจำเป็นต้องกำจัดทิ้ง
เจ้าล่าเยวี่ยก้มศีรษะเล็กน้อย หมวกลี่เม่าปิดบังใบหน้ามากขึ้น
คนชุดดำมิได้รู้สึกแปลกใจ เขาเคยเห็นผู้ที่ถูกเรียกว่าคนชั่วมามากมาย เวลาที่คนชั่วเหล่านั้นรู้ว่าเขามาจากปู้เหล่าหลิน ทุกคนต่างจะแสดงออกถึงความไม่เป็นธรรมชาติ
ความไม่เป็นธรรมชาตินั้นมาจากความหวาดกลัวเวลาที่ได้เจอกับความชั่วร้ายที่แท้จริง หรือไม่ก็มาจากความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ขอเพียงเจ้ายอมเข้ามาอยู่ในปู้เหล่าหลิน เจ้าก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ”
เขามองเจ้าล่าเยวี่ย ส่งเสียงหัวร่อพลางกล่าว เสียงยิ่งแหบพร่า แล้วก็ยิ่งดูเย้ายวนใจ
“หินผลึก? มี ยาล้ำค่า? ก็มีเช่นกัน ต่อให้เจ้าคิดอยากจะมีชื่อเสียงและตำแหน่งในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต พวกข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “สิ่งที่ข้าต้องการ พวกเจ้าให้ข้าไม่ได้”
คนชุดดำมิได้ส่งเสียงหัวร่ออีก หากแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าชื่นชมฝีมือของเจ้าในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาเป็นยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงมาพบเจ้า ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าจะยังขาดความกล้าที่แท้จริงที่จะก้าวข้ามไปยังโลกแห่งความจริง โลกที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้เห็น บางทีข้าน่าจะมาหาเจ้าใหม่ในตอนที่พวกเจ้าถูกกรมชิงเทียนจับไป และทนกับการทรมานอันโหดเหี้ยมทารุณไม่ไหว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าไม่รับคำขู่”
คนชุดดำกล่าว “ช่างสมเป็นศิษย์สำนักใหญ่จริงๆ แต่ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นศิษย์ที่หนีออกมาจากสำนักไหน ครั้งนี้พวกเจ้าได้ล่วงเกินกุ้ยเฟยในวังองค์นั้นเข้าแล้ว การจะกลับไปยังสำนักนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่งไม่ต้องหวังเลยว่าจะได้กลับไปยังโลกแห่งการบำเพ็ญพรตใหม่ พวกเจ้าไม่เหลืออนาคตอะไรแล้ว”
จิ๋งจิ่วยืนฟังเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ครั้นมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงนักฆ่าธรรมดาคนหนึ่งของปู้เหล่าหลิน ก็ไม่คิดจะฟังต่อไปอีก หากแต่หันไปกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่า “เร็วหน่อย”
ในเวลาสองปีที่่ผ่านมานี้ เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าล่าเยวี่ยเวลากำจัดปีศาจสังหารคน ตอนแรกสุดยังพอมีความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ภายหลังรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ เขาจึงมักจะพูดเร่งนางอยู่บ่อยครั้ง
ในเวลานั้น คำที่เขาพูดมักจะเป็นสองพยางค์นี้
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง คำสองพยางค์นี้เคยได้ยินมาแล้วหลายรอบ เจ้าล่าเยวี่ยกระทั่งคิดก็มิได้คิด ลงมือเคลื่อนไหวในทันที
ลมทะเลโกรกเข้ามาในศาลเจ้า พัดผ่านผมของนาง เจตน์กระบี่อันรุนแรงปรากฏขึ้นมา ก่อนจะพุ่งออกไปจากร่างกาย
คนชุดดำเป็นนักฆ่าของปู้เหล่าหลิน ในชีวิตนี้ล้วนแต่เป็นเขาที่ลอบโจมตีอีกฝ่าย ไหนเลยจะถูกคนอื่นลอบโจมตี?
ในขณะที่ทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว เขาก็ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดเรียกธงสีดำผืนเล็กออกมาสิบเจ็ดผืน วางล้อมไว้รอบกาย
ธงผืนเล็กสีดำเหล่านั้นแผ่กลิ่นอายเยือกเย็น คล้ายด้านในมีวิญญาณคร่ำครวญอยู่นับไม่ถ้วน ดูแล้วมิธรรมดา นี่ก็คืออาวุธวิเศษอันเลื่องชื่อของสำนักเสวียนอินเอาไว้ต่อกรกับสำนักวิถีกระบี่ —- ธงกระบี่ร่วง
ธงกระบี่ร่วงสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบที่หายากสิบเจ็ดชนิด ตอบสนองต่อกระบี่เซียนได้ว่องไวยิ่งนัก ไม่ว่าเคล็ดกระบี่ที่อีกฝ่ายฝึกฝนมาจะลึกล้ำเพียงใด ขอเพียงกระบี่หลุดออกจากมือ ก็จะถูกธงกระบี่ร่วงระบุตำแหน่งและก่อกวนวิถีการเคลื่อนที่ของกระบี่บินได้อย่างรวดเร็ว
หากทั้งสองฝ่ายสภาวะแตกต่างกันค่อนข้างมาก ผู้ที่ถือธงอาจจะสามารถตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเจ้าของกระบี่และตัวกระบี่ได้อีกด้วย
คนชุดดำมั่นใจว่าต่อให้ธงกระบี่ร่วงของตนเองไม่สามารถโจมตีกระบี่ของอีกฝ่ายให้ร่วงลงไปได้ แต่จะต้องกันกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างแน่นอน และเขาก็จะอาศัยจังหวะนี้แอบหนีลงไปยังด้านล่างของศาลเจ้า ขับเคลื่อนค่ายกลที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อโจมตีกลับใส่อีกฝ่าย
มิเสียทีที่เป็นนักฆ่าของปู้เหล่าหลิน แม้นจะเจอกับการโจมตีอย่างฉับพลัน แต่ก็ยังคิดแผนรับมือที่เรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่เขาประเมินคู่ต่อสู้ของตัวเองต่ำเกินไป
เขาไม่รู้ว่าคนที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่คือเจ้าแห่งยอดเขาที่อายุน้อยที่สุดในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาของสำนักชิงซาน
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือในช่วงเวลาสองปีมานี้ เจ้าล่าเยวี่ยได้ทดลองกระบี่อย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสและไหวพริบในการต่อสู้อยู่ในจุดสูงสุด
นางมิได้ปล่อยกระบี่ออกไป หากแต่เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกระบี่
ผมสั้นขยับตามลม แปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาอีกครั้ง นางหายตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่
ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มาอยู่ตรงหน้าคนชุดดำแล้ว
แค่ชั่วพริบตา นางพุ่งตัวออกไปหลายจ้าง ก่อนจะทะลุผ่านธงเล็กสีดำเหล่านั้น
ตรงหัวไหล่และติ่งหูของนางมีบาดแผลปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนสองแห่ง เลือดที่ปนเปื้อนสีดำกำลังไหลซึมออกมา
นางมิได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ฝ่ามือฟาดไปที่หน้าอกของคนชุดดำ
คนชุดดำเรียกธงดำกลับมาไม่ทัน เขาส่งเสียงร้องแปลกๆ มือขวายกขึ้นมารอรับฝ่ามือของนาง
ฝ่ามือของเขาลีบเล็ก มองดูมิได้คล้ายคนมีชีวิต ริมฝ่ามือมีแสงดำมืดแผ่กระจายออกมา มิรู้ว่าแฝงพลังอะไรเอาไว้
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น
สองฝ่ามือปะทะกัน
กระบี่สีแดงสว่างเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของเจ้าล่าเยวี่ย
ฉึก!
กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุฝ่ามือของคนชุดดำอย่างง่ายดาย ก่อนจะพุ่งต่อไปข้างหน้าแล้วแทงทะลุหน้าอกของเขา
ปลายกระบี่สีแดงปรากฏขึ้นมาตรงด้านหลังคนชุดดำ
ไม่รู้ว่าเดิมมันเป็นสีนี้อยู่แล้ว หรือว่าถูกโลหิตของคนชุดดำย้อมจนเป็นแบบนี้
แปะ แปะ
โลหิตหยดลงบนพื้นศาลเจ้า
คนชุดดำค่อยๆ คุกเข่าลงไปกับพื้น ก่อนจะหมดลมไป
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อและสีหน้าที่สิ้นหวัง
จู่ๆ ลมทะเลพลันกระโชกขึ้นมา
ผิวผนังของศาลเจ้าที่หลุดลอกถูกลมพัดจนเป็นฝุ่นผง ปลิวกระจายไปทั่วทุกที่
แรงกดดันอันรุนแรงที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนสายนั้น รู้สึกเหมือนจะเข้าใกล้พื้นดินขึ้นทุกขณะ
เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าที่อยู่เหนือศาลเจ้า
ในดวงตาที่แบ่งแยกดำขาวอย่างชัดเจนที่อยู่ภายใต้หมวกลี่เม่าเต็มไปด้วยเจตน์กระบี่อันเย็นยะเยือกและความกระหายที่จะต่อสู้อย่างไม่รู้จบ
“สู้ไม่ได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับนาง “อีกสิบปีอาจจะสู้ได้”
เสี่ยวเหอเบิ่งตาโพลงอย่างไร้เดียงสา สีหน้าดูสับสน
นางไม่เข้าใจว่าตนเองได้เห็นอะไรเข้า
เห็นๆ อยู่ว่ากำลังพูดคุยเจรจา เหตุใดจู่ๆ เจ้าล่าเยวี่ยจึงลงมือสังหารคน?
นี่ช่างไม่มีเหตุผลเลย
ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ นางพลันรู้สึกว่าตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งบนร่างกายของตัวเองเย็นวาบขึ้นมาเล็กน้อย
นางก้มหน้าลงไป พบกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งแทงทะลุไหล่ขวาของตัวเอง
กระบี่เหล็กเล่มนั้นแทงทะลุร่างกายของนาง ยึดนางเอาไว้กับกำแพงของศาลเจ้า
โลหิตทะลักออกมาจากในร่างกาย ไหลตามกระบี่เหล็กออกมา
เสี่ยวเหอรู้สึกร่างกายเย็นขึ้นทุกขณะ จากนั้นจึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ใบหน้าเล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
นางเงยหน้ามองไปทางจิ๋วจิ่ว ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
กระบี่เหล็กอยู่ในมือของจิ๋งจิ่ว
นางคอยเฝ้าระวังเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ตลอดเวลา เนื่องเพราะหวาดกลัว
ในเวลาสองปีนี้ เจ้าล่าเยวี่ยสังหารคนมาเท่าไร สังหารอย่างไร ปู้เหล่าหลินทราบดีกว่ากรมชิงเทียน
ตอนที่พบกันในร้านหม้อไฟ นางมองถึงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าล่าเยวี่ยไม่ออก
แต่นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า จิ๋งจิ่วจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
กระทั่งกระบี่เหล็กแทงทะลุไหล่ขวาไปแล้ว นางก็ยังมองไม่เห็นเลยว่าจิ๋งจิ่วออกกระบี่มาแล้ว!
กระบี่เหล็กกว้าง เสี่ยวเหอตัวเล็ก ดูแล้วยิ่งน่าสงสาร
สายตาของจิ๋งจิ่วสงบนิ่ง มิได้มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย แล้วก็มิใช่การจงใจเย็นชา
เขามองดูนางคล้ายกับมองดูก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง คลื่นในทะเลตะวันตกซัดสาดเพียงวูบเดียวแล้วหายไป
เสี่ยวเหอรู้ว่าสภาวะที่แท้จริงของเขามิได้สูงส่งกว่าตนเอง หากไม่เป็นเพราะลอบโจมตี ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะตนได้
แต่เมื่อมองดูสายตาของเขา ภายในใจของนางพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงขึ้นมา มิได้มีความคิดที่จะต่อต้านเกิดขึ้นมาอีก
เพราะนางทราบว่า นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าไร้ความรู้สึกอย่างแท้จริง
เทพเซียนไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความรู้สึก
………………………………………………………….