มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 16 งานเลี้ยงซื่อไห่
จิ๋งจิ่วกล่าว “ยาถอนพิษ”
เสี่ยวเหอทราบดี กับคนแบบนี้มิอาจใช้ลูกไม้ใดๆ ได้
นางใช้มือซ้ายหยิบเอาขวดยาออกมาจากที่คาดเอว ก่อนจะยื่นให้จิ๋งจิ่วอย่างเสียใจ
จิ๋งจิ่วรับเอาขวดยามา จากนั้นโยนให้เจ้าล่าเยวี่ยพลางถามว่า “สถานะของเจ้าในปู้เหล่าหลินเป็นอย่างไร?”
เสี่ยวเหอคือสาวน้อยที่ชาญฉลาดอย่างมาก นางรีบกล่าวโดยมิกล้ามีความลังเลใดๆ “ระดับกลาง แต่ค่อนข้างมีความสำคัญ”
จากรายละเอียดบางอย่างทำให้จิ๋งจิ่วมั่นใจว่านางคือผู้บังคับบัญชาของคนชุดดำนั้น ข้อสงสัยเพียงอย่างเดียวนั้นอยู่ที่ว่าสภาวะของนางมิอาจสู้คนชุดดำนั้นได้อย่างเห็นได้ชัด
“ทำไม?”
“เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ถูกข้าหลอก…ยกเว้นพวกเจ้า”
เสี่ยวเหอกล่าวกับเขาอย่างจริงจัง “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดพวกเจ้าจึงมองข้าออก”
“เสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงคือผู้บำเพ็ญพรตหญิงที่มีนิสัยโหดร้าย นี่คือการเสแสร้งชั้นหนึ่ง แต่ความจริงแล้วกลับเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ช่างประจบสอพลอมาแต่กำเนิด นี่ก็เป็นการเสแสร้งอีกชั้นหนึ่ง เมื่อฉีกการเสแสร้งสองชั้นนี้ออก ก็พอจะมองเห็นได้ว่าเจ้านั้นเป็นสาวน้อยอ่อนแอที่ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ เพียงแต่ใครจะคิดบ้างว่านี่จะเป็นการเสแสร้งอีกชั้นหนึ่ง?”
เจ้าล่าเยวี่ยกินยาถอนพิษลงไป กล่าวว่า “แต่ขอเพียงไม่สับสนกับสิ่งที่อยู่ภายนอก การเสแสร้งเหล่านี้จะหลอกใจกระบี่ที่ส่องสว่างได้อย่างไร?”
เสี่ยวเหอน้ำตาตก กล่าวว่า “พวกท่านเป็นใครกันแน่?”
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบคำถามนาง หากแต่กล่าวตามตรงว่า “ข้าจะให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”
เสี่ยวเหอขนตากระดิกเล็กน้อย น่าจะกำลังลังเลอยู่ จากนั้นครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมาพลางกล่าวเสียงสั่นว่า “เรื่องใด?”
“ปีหน้าหรือไม่ก็นานกว่านั้น เจ้าจะได้เจอคนผู้หนึ่ง ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเขา”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะช่วยเจ้าออกมาจากปู้เหล่าหลิน”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของเสี่ยวเหอพลันเป็นประกายขึ้นมา แต่จากนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
จริงอยู่ที่นางอยากออกไปจากปู้เหล่าหลิน แต่ปู้เหล่าหลินเป็นสถานที่ที่น่ากลัวขนาดไหนก็รู้กันดี แล้วนางจะออกไปได้อย่างไร?
โดยเฉพาะเบื้องหลังอันลึกลับของปู้เหล่าหลิน แม้นนางจะไม่กระจ่างว่าเป็นอย่างไร แต่นางก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือทางวิถีกระบี่เพียงคนหนึ่งจะต่อกรได้
นางกล่าวอย่างปวดใจว่า “ข้าไม่สามารถเชื่อเจ้าได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าทำได้เพียงเชื่อข้า”
เสี่ยวเหอกล่าว “แล้วเจ้าจะเชื่อข้าได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าย่อมมีวิธีอยู่”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็จับมือซ้ายของนางขึ้นมา
สร้อยข้อมือสีเงินเส้นนั้นย้ายจากข้อมือเขามายังข้อมือของนางอย่างไร้ซุ่มเสียง ไม่สามารถถอดออกได้อีก
สายตาของเจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังสร้อยข้อมือ
นางรู้สึกสงสัยในสร้อยข้อมือของจิ๋งจิ่วมาตลอด
ตัวนางเองก็เคยมีสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งที่อยู่ข้างกายมาหลายปี
หลังมาถึงยอดเขาเสินม่อ นางถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือกระบี่มิคำนึงที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางทิ้งเอาไว้ให้ตนเอง
เช่นนั้นสร้อยข้อมือของจิ๋งจิ่วเส้นนี้ล่ะ? จะใช่ยอดกระบี่หรือเปล่า?
เหตุใดเขาจึงเอาสร้อยข้อมือเส้นนี้ไปสวมไว้บนมือปีศาจจิ้งจอกที่เพิ่งรู้จัก?
……
……
ครั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ขึ้นมาจากข้อมือ เสี่ยวเหอรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง
สร้อยข้อมือนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสายตาของอีกฝ่าย ทั้งยังเหนือไปกว่าความหวาดกลัวที่ปู้เหล่าหลินมอบให้กับนางมากนัก
นางไม่รู้ว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้คือสิ่งใด นางเพียงแต่มีความรู้สึกอย่างรุนแรงอย่างหนึ่ง ขอเพียงตัวเองขยับความคิดที่จะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับอีกฝ่ายแม้เพียงนิดเดียว สร้อยข้อมือเส้นนี้จะตัดตัวนางขาดออกเป็นสองท่อน —- มิใช่แค่เพียงข้อมือเท่านั้น หากแต่เป็นทุกส่วนของร่างกาย ไปจนถึงวิญญาณ
ใบหน้าของเสี่ยวเหอขาวซีด พลางกล่าวด้วยสายตาที่หวาดกลัวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร…ว่าคนที่ท่านพูดถึงผู้นั้นคือใคร?”
“เมื่อเจอเขา เจ้าจะรู้เอง”
จิ๋งจิ่วยกมือดึงดอกมะลิที่อยู่ตรงขมับของนางมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ
……
……
เสี่ยวเหอจากไปไม่นาน แรงกดดันจากบนฟากฟ้านั้นก็ค่อยๆ หายไป
ลมทะเลพัดโกรกเข้ามาในศาลเจ้า ส่งเสียงดังวูมๆ
จิ๋งจิ่วเดินไปริมผา มองดูทะเลตะวันตกที่ดำมืด นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
เขามิได้คิดอะไร เพียงคิดอยากจะดูทะเลผืนนี้เท่านั้น เนื่องเพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องจากไปแล้ว ในช่วงเวลาหลายปีที่สามารถคาดการณ์ได้คงไม่มีทางได้กลับมาอีก
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาด้านหลังเขา กล่าวถามว่า “ช่วงเวลาสองปี สังหารคนมาตลอดทาง เจ้าทำเพื่อให้ปู้เหล่าหลินจับตาดูพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง เพราะข้าต้องหาพวกเขา”
จิ๋งจิ่วมิได้หันหน้ากลับมา กล่าวต่อว่า “แต่แน่นอน สองปีมานี้ก็เป็นการฝึกฝนเช่นเดียวกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เจ้าสงสัยว่าปู้เหล่าหลินจะมีความเกี่ยวข้องกับการที่ปรมาจารย์อาบรรลุเป็นเซียนล้มเหลว?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้อแรก ยังมิแน่ว่าล้มเหลว ข้อสอง ตอนนี้ยังมิอาจวิเคราะห์ความสัมพันธ์ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เจ้าว่าคนที่จะไปหานางคือใคร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าหวังว่านางจะไม่เจอคนผู้นั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “ธุระจัดการเรียบร้อยแล้ว?”
จิ๋งจิ่วมองดูทะเลตะวันตกที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ในใจครุ่นคิดถึงปู้เหล่าหลิน ยอดเขาเหลี่ยงว่าง หลิวสือซุ่ย พลางกล่าวว่า “ข้ายังมิได้เจอคนผู้นั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “คนที่เจ้าอยากเจอมิใช่นาง? เป็นซีหวังซุนจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
ถูกต้อง คนที่จิ๋งจิ่วต้องการพบก็คือผู้จัดงานเลี้ยงซื่อไห่ซีหวังซุน
ปัญหาอยู่ที่ว่า มีเพียงผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่และเอาชนะการแข่งขันศิลปะหนึ่งในสี่รายการได้ ถึงจะได้พบคนผู้นั้น
จิ๋งจิ่วมองไปยังส่วนหนึ่งของทะเลตะวันตก พลันกล่าวถามว่า “เรียนหมากล้อมยากหรือไม่?”
……
……
วันที่งานเลี้ยงซื่อไห่เริ่มขึ้น ภายในเมืองไห่โจวจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย มีถนนคนเดิน มีคณะกายกรรมที่เชิญมาจากจังหวัดหยาง แล้วก็ย่อมไม่อาจขาดการแสดงอุปรากรไปได้ ชาวเมืองไห่โจวทยอยเดินออกจากบ้าน คึกคักยิ่งนัก แผงขายอาหารย่อมต้องยิ้มมีความสุข แต่ทหารที่รับผิดชอบดูแลรักษาความปลอดภัยกลับยิ้มไม่ออก
นี่คือโลกของคนธรรมดา งานเลี้ยงซื่อไห่ที่แท้จริงจัดขึ้นที่ภูเขาโดดเดี่ยวที่อยู่นอกเมืองไห่โจว ตั้งแต่เวลารุ่งเช้า มีลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธวิเศษส่องสว่างขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผู้บำเพ็ญพรตทยอยเดินทางมาถึง แต่แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญพรตส่วนใหญ่ยังมีสภาวะไม่สูงพอ จึงได้แต่ต้องนั่งรถมาจากในเมืองไห่โจว
ลมทะเลอันอบอุ่นพัดโชยต้นไม้ที่อยู่บนภูเขาโดดเดียว หากไม่มีเมฆสีขาวที่อยู่บนฟ้าสีครามผืนนั้น วันนี้ึคงจะค่อนข้างร้อนทีเดียว ที่น่าแปลกคือไม่ว่าลมทะเลจะพัดอย่างไร เมฆขาวผืนนั้นก็มิได้ขยับเขยื้อนไปจากตำแหน่งเดิม มันยังคงทอดเงาของตัวเองลงมาบนเขาโดดเดี่ยวลูกนั้น สร้างความเย็นสบายให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยง
ภูเขาโดดเดี่ยวฝั่งที่อยู่ติดกับทะเล มีหอสิบกว่าหลังตั้งกระจายอย่างเป็นระเบียบ
ในระหว่างที่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตกำลังเดินชื่นชมทะเลและพูดคุยเสียงเบาๆ พวกเขาก็มักจะเหลือบมองดูเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าผืนนั้นอยู่บ่อยครั้ง
เมฆผืนนั้นหนาทึบ ดูแล้วเหมือนหมอกขาวที่จับตัวแน่นจนแยกไม่ออก ภายในเมฆคล้ายมองเห็นลำแสงกระบี่และควัน และยังมีชายหลังคาที่ดูตะคุ่มๆ ไม่ชัดเจน
นี่คือสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่ —- ลานเมฆ
บุคคลสำคัญของแต่ละสำนักถูกเชิญเข้าไปด้านในแล้ว อีกประเดี๋ยวแขกเหรื่อของงานเลี้ยงซีไห่ก็จะถูกพาเข้าไปในเมฆ ทว่าคนที่จะได้พบซีหวังซุนคงจะมีไม่มากเท่าไร
หอต่างๆ ในเขาโดดเดี่ยว บางแห่งใช้สำหรับชมทิวทัศน์ บางแห่งใช้ฟังเสียงคลื่นทะเล บางแห่งเอาไว้ให้ผู้บำเพ็ญพรตได้ใช้ทำสมาธิ มีหออยู่สามสี่แห่งที่มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ รอบตัวหอล้อมไว้ด้วยผ้าม่านสีขาว พลิ้วไหวตามลมทะเล ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากรวมตัวอยู่ที่นั่น บ้างส่งเสียงอุทานเบาๆ บ้างส่งเสียงชื่นชม บางคนถึงขนาดร้องเยี่ยมออกมา
ที่นี่กำลังจัดกิจกรรมหลักของงานเลี้ยงซื่อไห่ แข่งศิลปะทั้งสี่เพื่อชิงของวิเศษ
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยังอยู่ห่างจากหออีกไกล แต่ก็ถูกบางคนที่กำลังจับตาดูอยู่พบตัวเข้าแล้ว
พวกเขามิได้ใช้ผ้าสีเทาปิดบังใบหน้า แต่หมวกลี่เม่าบนศีรษะยังคงดูสะดุดตาอย่างมาก
คนจากกรมชิงซานรีบเดินทางมา
…………………………………………………………