มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 23 แบกสวรรค์มิใช่กระบี่
เจ้าล่าเยวี่ยยื่นมือขวา
จิ๋งจิ่วยื่นมือซ้าย
กุมมือกัน
ลมพัดขึ้น
กระบี่บินพุ่งออกไป
บนหมู่เมฆมีรูโหว่ปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ปิดลง
เส้นสีแดงที่ดูเลือนรางยังคงหลงเหลืออยู่กลางอากาศ แผ่กระจายกลิ่นคาวเลือดจางๆ ออกมา
ทั้งสองคนมิได้ร่ำลาคนอื่น ทั้งมิได้กล่าวกระไรกับซีหวังซุน ดูค่อนข้างเสียมารยาทอยู่ทีเดียว เพียงแต่วันนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ความตะลึงลานภายในใจผู้คนยังมิจางหาย ไม่มีผู้ใดจะมาคิดถึงเรื่องนี้ คนที่พอจะคิดได้ก็รู็สึกคล้ายว่าการกระทำเช่นนี้นี่แหละ ถึงจะเหมาะสมกับภาพลักษณ์ที่สาวน้อยแห่งยอดเขาเสินม่อทิ้งเอาไว้ให้ทุกคน
เซี่ยงหว่านซูมองดูแสงสีแดงที่ค่อยๆ จางหายไปในลมทะเล พลางกล่าวพึมพำขึ้นมา “หรือว่านี่คือกระบี่มิคำนึงที่่ท่านนักพรตทิ้งเอาไว้?”
ในขณะที่กล่าวประโยคนี้ เขารู้สึกทอดถอนใจ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลามีสีหน้าชื่นชมและปรารถนา
ศิษย์อัจฉริยะของสำนักจงโจวมีจำนวนเยอะกว่าชิงซาน เขาเป็นเพียงหนึ่งในนั้น แล้วก็รู้ด้วยว่าอัจฉริยะบนโลกนี้มีจำนวนนับไม่ถ้วน
คนแบบไหนจึงจะเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง? มีเพียงเวลาเท่านั้นจึงจะพิสูจน์ได้
ในอดีตมีอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วน เนื่องเพราะมิอาจผ่านด่านการบำเพ็ญเพียรได้จึงหายหน้าไปจากทุกคน จนกระทั่งหายสาบสูญไป เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนบนโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
ในอดีตที่ผ่านมา อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคือผู้ใด? ย่อมต้องเป็นคนที่เดินไปได้ไกลที่สุด
ในช่วงเวลาพันปีที่ผ่านมา ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีผู้ที่บรรลุเป็นเซียนได้เพียงคนเดียว นั่นก็คือจิ่งหยาง
ยิ่งเป็นอัจฉริยะอย่างเซี่ยงหว่านซูก็ยิ่งรู้ว่านักพรตจิ่งหยางนั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน
ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยได้เป็นผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งถงเหยียนผู้เป็นศิษย์พี่ของเขาเองก็ยังรู้สึกอิจฉาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ในเวลานี้ สมณะหนุ่มแห่งวัดกั่วเฉิงผู้นั้นมายังข้างกายสมณะแก่ ก่อนจะชี้ไปที่ปากของตนพลางส่งเสียงอู้อี้ ดูค่อนข้างร้อนใจ
มีบางคนรู้สึกแปลกใจ คิดในใจหรือสมณะผู้นี้จะเป็นใบ้ แต่ผู้บำเพ็ญพรตที่คุ้นเคยกับวัดกั่วเฉิงรู้ว่าสมณะหนุ่มผู้นี้กำลังฝึกปิดวาจาอยู่
สมณะหนุ่มกำลังถามว่า สหายชิงซานสองคนนั้นไปแล้ว ข้ายังต้องฝึกปิดวาจาหรือไม่?
สมณะแก่กล่าวว่า “พอได้แล้ว”
สมณะหนุ่มคล้ายยกภูเขาออกจากอก สายตามองไปยังเส้นสีแดงที่ใกล้จะลับหายไปบนท้องฟ้า พลางตะโกนออกมาเสียงดัง
เสียงของเขาดังกังวาน คล้ายกับระฆังยามเย็นในวัดโบราณ ดังสะท้อนไปทั่วลานเมฆ
“มาพร้อมความรื่นรมย์ ความรื่นรมย์หมดแล้วจากไป ช่างสมกับเป็นวิถีชาวเซียน…”
……
……
“วิถีชาวเซียนอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าจะเป็นวิถีมารมากกว่า แผ่นดินต้องเจอกับหายนะอีกครั้งแล้ว…”
ซือเฟิงเฉินยืนอยู่ในเมืองไห่โจว สายตามองดูลำแสงกระบี่และลำแสงของอาวุธวิเศษที่แผ่กระจายมาจากทั่วทุกทิศบนท้องฟ้า พลางกล่าวออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ลูกน้องมิเข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้ ในใจครุ่นคิดว่าฆาตกรที่ตามจับในวันนี้กลับเป็นคนสำคัญของสำนักชิงซาน กรมชิงเทียนเสียหน้าอย่างมาก ต่อให้ใต้เท้าจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ หรือทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ชาวบ้านพากันคิดว่าอาจารย์เซียนแห่งชิงซานเป็นพวกชั่วร้ายได้?
ซือเฟิงเฉินมิได้อธิบาย ที่เขากล่าวประโยคนี้เป็นเพราะสำหรับเขาแล้ว เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายกับคนสำคัญคนหนึ่งของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเมื่อหลายปีก่อน
คนผู้นั้นก็เคยท่องไปในโลกแห่งปุถุชนเหมือนกัน อุทิศตนให้กับการฆ่าเพื่อหยุดยั้งความชั่ว คนที่ตายอยู่ภายใต้กระบี่เขาเกรงว่าคงมีมากกว่าคนที่เหลียนซานเยวี่ยสังหารเสียอีก
แต่สุดท้าย คนผู้นั้นได้เข้าสู่วิถีมาร กลายเป็นหายนะที่ร้ายแรงที่สุดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
เรื่องนี้ถือเป็นความลับอย่างแท้จริง ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตแทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้ กระทั่งคนในสำนักชิงซานที่ทราบเรื่องนี้ก็มีอยู่ไม่มาก
แต่เขากลับบังเอิญได้ทราบความลับนี้มาจากเจ้ากรมชิงเทียนคนก่อน
เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังกลับไปเมืองเจาเกอ เขาจะใช้เส้นสายและทรัพยากรทั้งหมดที่มี เพื่อพยายามหาโอกาสเข้าไปในวังหลวง
หากได้พบฝ่าบาท เขาจะต้องหาวิธีทำให้ฝ่าบาทเชื่อมโยงเจ้าล่าเยวี่ยเข้ากับหายนะในกาลก่อนนั้นให้ได้
……
……
ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ซั่งเต๋อเหน็บหนาวที่สุด อวิ๋นสิงอันตรายที่สุด เสินม่อโดดเดี่ยวที่สุด เทียนกวงสูงที่สุด
ช่วงเวลาต้นฤดูใบไม้ผลิ สรรพสิ่งหวนคืนกลับมา หมู่ไม้บนยอดเขาเทียนกวงกลายเป็นสีเขียวชอุ่ม มองออกไปรอบๆ กลายเป็นสีเขียวทั้งผืนดูงามตา
เงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ริมผา สายตามองดูทิวทัศน์ที่งดงามนี้ แต่ร่างกายกลับแผ่ไออันเยียบเย็นออกมา
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วยังมาหาเจ้าด้วย?”
คนที่เขาสนทนาด้วยมิใช่คน หากแต่เป็นแมวขาวขนยาวตัวหนึ่ง
ไป๋กุ่ยหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์ วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงออกจากยอดเขาปี้หู แล้วมาที่นี่
บนยอดเขาเทียนกวงมีป้ายหินอยู่แผ่นหนึ่ง แบกเอาไว้โดยเต่าหินตัวหนึ่ง
เต่าหินตัวใหญ่ยักษ์ ขนาดเส้นรอบวงประมาณสิบจ้าง
ไป๋กุ่ยฟุบหมอบอยู่บนหัวของเต่าหิน ขนาดรูปร่างเทียบกันแล้วดูเล็กจ้อย
มันมิได้สนใจคำพูดของคนผู้นั้น หากแต่เลียขนไม่หยุด จากนั้นทำความสะอาดใบหน้า ดูจริงจังยิ่งนัก
—- คำพูดที่ต้องบอก ข้าก็เอามาบอกแล้ว ส่วนเหตุใดพวกเจ้าสองอาหลานต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน อันนั้นมันไม่เกี่ยวกับข้า
ไป๋กุ่ยมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างรุนแรงในหลายๆ เรื่อง ชิงซานมีคำพังเพยสั้นๆ อยู่ท่อนหนึ่งก็มาจากเรื่องนี้
ปัญหาคือคำพังเพยอีกท่อนหนึ่ง มันจำได้แม่นยำยิ่งกว่า — ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมว
“เรื่องนี้ข้ามิได้เป็นคนจัดการ แต่ข้ารู้ อีกทั้งสนับสนุน ชิงซานบำเพ็ญกระบี่ เช่นนั้นก็ต้องปล่อยกระบี่ ยอดเขาเหลี่ยงว่างมีอยู่ก็ด้วยเหตุนี้ โลหิตอันเร่าร้อนของคนหนุ่มสาวมิอาจถูกทำให้เย็นลงเพราะพวกเราได้ ข้ารู้ว่าเขากำลังกังวลอะไร แต่ข้าเชื่อว่าคนรุ่นใหม่มักจะแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นก่อน เรื่องที่เขาและอาจารย์ทำไม่ได้ เด็กๆ ในตอนนี้อาจจะทำได้ก็เป็นได้”
ไป๋กุ่ยยังคงทำความสะอาดใบหน้าไม่หยุด แต่สายตากลับมองลอดผ่านกรงเล็บที่ขยับอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าไปยังร่างคนผู้นั้น
เมื่อมองดูแผ่นหลังของอีกฝ่าย มันพลันเกิดความรู้สึกกระหายขึ้นมาอย่างรุนแรง จะลองแอบโจมตีดูดีไหมนะ?
ก็เหมือนกับค่ำคืนบนยอดเขาปี้หูเมื่อสองปีก่อน ความเย้ายวนเช่นนี้มันช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน
สุดท้ายไป๋กุ่ยก็ล้มเลิกความคิดนี้ เพราะมันรู้ว่าตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้
นี่ทำให้ไป๋กุ่ยรู้สึกหงุดหงิด ไม่ทำความสะอาดใบหน้าต่อไปอีก หากแต่กางกรงเล็บตะปบไปที่หัวของเต่าหิน
ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ของชิงซาน พละกำลังของมันน่ากลัวอย่างยิ่ง กรงเล็บอันแหลมคมแข็งแกร่งกว่ากระบี่บินส่วนใหญ่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ตอนที่อยู่บนยอดเขาปี้หูครานั้น มันตะปบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้จิ๋งจิ่วกระเด็นตกในลงไปในทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจ้าง จนเขาต้องรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ครึ่งปี
การตะปบของมันครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามิได้ออมแรง เช่นนี้แล้วเต่าหินมิต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ หรอกหรือ?
ทว่าภาพเช่นนี้มิได้เกิดขึ้น
เต่าหินมิได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็มิได้แตกร้าว ไม่มีร่องรอยใดๆ กระทั่งรอยขีดข่วนเล็กๆ ก็หามีไม่
กลิ่นอายที่โบราณและเชื่องช้าสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนยอดเขา
เต่าหินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาดูงุนงง คล้ายมิรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิต
คนผู้นั้นหมุนตัวกลับมา ร่างกายสูงใหญ่ สายตาสุขุมนุ่มลึก ดูแข็งแกร่งจนมิอาจคาดคะเนได้ เขาคือเจ้าสำนักชิงซาน
“หยวนกุยล่วงเกินเจ้าตรงไหน? มันนอนของมันอยู่ดีๆ เหตุใดเจ้าต้องปลุกมันขึ้นมาด้วย”
ไป๋กุ่ยตะปบหนึ่งทีสามารถเบิกเขาผ่าสมุทร ทำให้ยอดเขาเสินม่อต้องฟังจิ๋งจิ่วไออยู่ครึ่งปี แต่ในเวลานี้กลับทำได้เพียงปลุกหยวนกุยให้ตื่นขึ้นมา
แต่มันมิได้รู้สึกขายหน้าอะไร
ในฐานะที่เป็นสหายที่อาศัยอยู่ในชิงซานมาด้วยกันนับหลายพันปี ไป๋กุ่ยย่อมต้องรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีผิวหยาบเนื้อหนา ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
เพราะอีกฝ่ายก็เป็นผู้พิทักษ์แห่งชิงซานเหมือนกัน —- หยวนกุย
“เจ้าไม่อาย แต่ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักชิงซาน กระทั่งกระบี่เล่มหนึ่งก็ยังไม่มี น่าขายหน้าใช่หรือไม่?”
เจ้าสำนักมองไปทางป้ายหินที่หยวนกุยแบกเอาไว้ พลางกล่าวว่า “อย่างไรเสียเขาก็จะกลับมาแล้ว หากคิดอยากจะหยุดเรื่องนี้จริงๆ ก็ให้เอาหนึ่งมาแลกแล้วกัน”
ป้ายหินแผ่นนั้นทั้งกว้างทั้งตรงทั้งใหญ่ เหมือนกับภูเขาเล็กๆ ที่ถูกคนผ่าออก พื้นผิวเรียบรื่น มิได้มีตัวอักษรใดๆ อยู่บนนั้น
บนตำแหน่งที่สูงที่สุดของป้ายหินมีกระบี่ปักเอาไว้เล่มหนึ่ง คล้ายกับมวยผมเล็กๆ ที่มัดอยู่บนศีรษะของเด็กสาว
หรือว่านั่นจะเป็นกระบี่แบกสวรรค์ที่ร่ำลือกัน?
แต่หากมองดูดีๆ ก็จะพบว่า กระบี่เล่มนั้น….ไม่มีด้ามกระบี่ อีกทั้งตรงกลางยังเป็นช่องว่าง
กระบี่แบกสวรรค์กลับมิใช่กระบี่ หากแต่เป็นฝักกระบี่!
ฝักกระบี่กลับได้ชื่อว่าแบกสวรรค์ เช่นนั้นด้านในของมันเคยใส่กระบี่แบบไหนเอาไว้กัน? ………………………………………………………………..