มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 26 รับศิษย์
เป็นไปได้อย่างไร?
เซวียหย่งเกอยืนอยู่ในลำธาร สองมือว่างเปล่า ตกตะลึงมิกล่าวกระไร
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะสามารถเอาชนะกู้ชิงได้ แต่ในจินตนาการของเขา การประลองกระบี่ครั้งนี้จะต้องดุเดือด ยอดเยี่ยม จนกระทั่งสุดท้ายถึงจะตัดสินแพ้ชนะ
ถึงตัวเองจะพ่ายแพ้ก็พ่ายแพ้อย่างมีเกียรติ เป็นที่อิจฉาของเหล่าศิษย์ร่วมห้องเรียนในศาลาสี่เจี้ยนและได้รับคำชมเชยจากเหล่าอาจารย์
ใครจะคิดบ้างว่ามันจะจบลงแบบนี้?
กู้ชิงมิได้ฉวยโอกาสโจมตีเขา หากแต่ยืนถือกระบี่รออยู่ในลำธารอย่างเงียบๆ
ในที่สุดเซวียหย่งเกอก็ได้สติขึ้นมา
เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว
ความรู้สึกขายหน้าอย่างรุนแรงทำให้เขาลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนไปจนหมดสิ้น
เขาตะโกนเสียงดังออกมา
กระบี่ที่อยู่ในลำธารเล่มนั้นพลันบินขึ้นมาอีกครั้ง หยดน้ำที่อยู่บนตัวกระบี่ระเหยกลายเป็นไอน้ำสีขาว มีเปลวไฟสิบกว่าดวงลุกขึ้นมาบนตัวกระบี่!
กระบี่บินที่ลุกไหม้ฟันไปทางกู้ชิงพร้อมกับคลื่นความร้อนอันร้อนแรง!
เคล็ดกระบี่สุริยัน!
ปรมาจารย์อาของเซวียหย่งเกอเป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย เขาแอบเรียนเคล็ดกระบี่ชุดนี้อย่างลับๆ!
มาตรว่าเคล็ดกระบี่สุริยันของเขาจะมิได้มีอานุภาพเทียบเท่ากับที่กู้ชิงใช้ออกมาเมื่อสามปีก่อน แต่กู้ชิงที่ขณะนี้ไม่สามารถใช้เคล็ดกระบี่ของยอดเขาต่างๆ ได้จะรับมืออย่างไร?
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่ามือซ้ายของกู้ชิงเลื่อนมาจับที่ด้ามกระบี่ตั้งแต่เมื่อไร
กระบี่ที่ลุกไหม้พุ่งเข้ามา!
เข่าซ้ายกู้ชิงย่อลงเล็กน้อย ร่างกายบิดนิดหน่อย หน้าอกและช่วงท้องเกร็งตัว สองมือยกกระบี่ขึ้นมา ก่อนจะโจมตีออกไปอย่างแรง
เคล็ดกระบี่ที่เขาใช้มิใช่การฟัน มิใช่การแทง แล้วก็มิใช่การตัด
หากแต่เป็นการเหวี่ยง
กระบี่ของเขาโจมตีถูกกระบี่ของเซวียหย่งเกออย่างแม่นยำ
เกิดเสียงดังสนั่น
กระบี่ของเซวียหย่งเกอลากเปลวไฟเป็นทางยาว ลอยลิ่วไปตกอยู่ในป่ากลางหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจ้าง
ในป่ามีเปลวไฟลุกขึ้นมาสองสามจุด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงดับไปอย่างรวดเร็ว
ริมธารบริเวณหน้าผามีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาหลายเสียง
กู้ชิงหมุนตัวเดินจากไป
ทุกคนต่างนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุใดจึงดูคุ้นตาถึงเพียงนี้
เมื่อสามปีก่อน ที่นี่ก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้
หลินอู๋จือมองไปทางมุมบนหน้าผาที่อยู่ห่างไกลผู้คนมุมนั้น ก่อนจะยิ้มพลางส่ายศีรษะ
เขาคิดว่านี่เป็นแผนการของจิ๋งจิ่ว แต่เขากลับมิรู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจของตัวกู้ชิงเอง
ล้มลงตรงไหนก็ลุกขึ้นมาตรงนั้น
ล้มลงอย่างไรก็ลุกขึ้นมาอย่างนั้น
ภายในหุบเขามีเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าวานรดังขึ้นมา
ที่แท้ไฟที่อยู่ในป่าก็เป็นพวกมันที่เป็นคนดับ ในเวลานี้พวกมันน่าจะกำลังยื้อแย่งกระบี่กันอยู่
……
……
เซวียหย่งเกอยืนอยู่ในแม่น้ำ ใบหน้าขาวซีด เหม่อลอยคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง มิได้สนใจกระบี่ของตน และมิได้สนใจความพ่ายแพ้ของตัวเองเลย
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้สติพลางคิดถึงเรื่องราวเมื่อสามปีก่อนขึ้นมา จากนั้นเริ่มกังวลว่าตนเองจะสูญเสียสิทธิ์ในการสืบทอดกระบี่ไปเพราะแอบเรียนกระบี่เหมือนอย่างกู้ชิง
บริเวณหน้าผาไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมา
การที่อาจารย์ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้แก่ศิษย์ที่ตนเองชื่นชอบล่วงหน้านั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ไม่มีใครจะมาสนใจเรื่องนี้
เมื่อสามปีก่อนหากไม่เป็นเพราะยอดเขาซั่งเต๋อและยอดเขาเทียนกวงมีความขัดแย้งกัน กู้ชิงก็คงไม่ต้องกลายเป็นเครื่องสังเวย
เซวียหย่งเกอไหนเลยยังจะกล้ายืนอยู่ เขารีบถอยกลับไปยืนริมธาร ทั้งร่างเปียกโชก มิรู้เป็นเพราะน้ำในลำธารหรือเป็นเพราะเหงื่อกันแน่
กู้ชิงยืนอยู่ในลำธาร
คนหลายร้อยคนมองดูเขาจากบนหน้าผา
“กู้ชิง เจ้ายินดีติดตามข้าเพื่อเรียนกระบี่หรือไม่?”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมา
เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงออกหน้าเอง!
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือหลังจากนั้นผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งแห่งยอดเขาเทียนกวงเองก็ก้าวออกมาโดยคิดจะรับกู้ชิงไว้เป็นศิษย์เช่นเดียวกัน
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในตอนที่ไป๋หรูจิ้งก้าวออกมา ในมุมๆ หนึ่งบนหน้าผา สายตาของจิ๋งจิ่วพลันเยือกเย็นขึ้นมา
กู้ชิงมิได้ลังเล เขากล่าวว่า “ศิษย์ยินดีสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ”
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังมุมๆ นั้นบนหน้าผา พูดให้ถูกคือมองไปยังเจ้าล่าเยวี่ย
นี่คือเรื่องที่หลายๆ คนคาดเดาได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ากู้ชิงจะตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่มีผู้อาวุโสระดับแหวกทะเลสองคนกำลังแย่งตัวเขาอยู่
เจ้าล่าเยวี่ยนั้นอายุน้อยกว่าเขาปีหนึ่ง
ทุกคนต่างคิดว่าอีกประเดี๋ยวกู้ชิงก็จะกลายเป็นศิษย์ของเจ้าล่าเยวี่ย แต่หลังจากนั้นพลันเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นอีก
……
……
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเอง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ได้”
จิ๋งจิ่วเดินไปที่ริมผา กล่าวว่า “เจ้ายินดีติดตามข้าเพื่อเรียนกระบี่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ บริเวณหน้าผาพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
หากคนที่รับกู้ชิงเป็นศิษย์คือเจ้าล่าเยวี่ยก็ว่าไปอย่าง เพราะนางบรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนางยังเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ
พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของจิ๋งจิ่วเองก็สูงส่งอย่างมากเช่นกัน แต่ในช่วงเวลาสามปีกลับไม่มีความก้าวหน้า ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นสมความนึกคิด….เทียบกับกู้ชิงเมื่อสามปีก่อนแล้วยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ
แล้วกู้ชิงจะไปกราบเขาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดเช่นนี้ พวกเขาพลันได้ยินคำตอบของกู้ชิง
“ข้ายินดี”
สีหน้าของกู้ชิงราบเรียบ มิได้มีอาการฝืนใจเลยแม้แต่น้อย
บริเวณรอบๆ เงียบกริบ
……
……
งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนดำเนินต่อไป
การแสดงฝีมือของเหล่าลูกศิษย์ล้วนแต่ยอดเยี่ยมอย่างมาก โดยเฉพาะชายหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อล่างที่ปกติมักจะทำตัวไม่โดดเด่น แต่วันนี้กลับทำให้ทุกคนตกตะลึง เหล่าอาจารย์ถึงได้รู้ว่าเขาบรรลุเข้าสู่สภาวะสมความนึกคิดแล้ว ทำให้เกิดการถกเถียงพูดคุยและยื้อแย่งจากหลายฝ่าย กระทั่งยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ยังแสดงความสนใจในตัวเขา
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “เขาหรือ?”
จิ๋งจิ่วพยักหน้า
เมื่อสามปีก่อนชายหนุ่มแซ่หยวนได้เคยฝากกู้ชิงมาถามแล้วว่ายอดเขาเสินม่อจะรับศิษย์สืบทอดกระบี่หรือไม่
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปริมผา
เสียงถกเถียงบริเวณหน้าผาหายไปทันที
บนใบหน้าของชายหนุ่มแซ่หยวนเผยรอยยิ้มดีใจขึ้นมา
……
……
ริมลำธารพลันมีเสียงร่ำไห้ขึ้นมา
เหล่าลูกศิษย์มองไป ก่อนจะพบว่าเป็นศิษย์น้องอวี้ซาน
เมื่อเห็นหยดน้ำตาบนใบหน้าสาวน้อย ศิษย์ร่วมสำนักต่างรู้สึกปวดใจ จึงรีบถามปลอบใจว่า “เป็นอะไรหรือ?”
ศิษย์น้องอวี้ซานส่ายศีรษะ ก่อนจะใช้ปลายเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร”
เมื่อเห็นจมูกที่แดงเล็กน้อยของนาง เหล่าลูกศิษย์ยิ่งไม่เข้าใจ ในใจครุ่นมันจะไม่มีอะไรได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
บางคนมองเห็นชายหนุ่มแซ่หยวนที่ยืนอยู่บนหน้าผาผู้นั้น ในใจคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงยิ้มมิได้กล่าวกระไร
พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่าศิษย์น้องอวี้ซานมิได้เสียใจเพราะเรื่องนี้เลย
สิ่งที่นางเสียใจก็คือศิษย์พี่กู้ชิงและศิษย์พี่หยวนกลายเป็นศิษย์สืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อแล้ว อย่างนั้น…ไม่เท่ากับว่ายอดเขาเสินม่อรับศิษย์จนเต็มแล้วหรอกหรือ?
ยอดเขาเสินม่อมีเพียงเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วสองคน จึงรับศิษย์สืบทอดกระบี่ได้เพียงสองคนเท่านั้น
แต่ว่านางยังไม่ได้ลงไปแสดงฝีมือเลย เช่นนั้นนางควรจะทำอย่างไร? หรือว่าต้องรออยู่ที่ธารสี่เจี้ยนอีกสามปี?
ตอนนี้ถึงตานางแล้ว
นางถือกระบี่เดินไปยังก้อนหินที่อยู่บนลำธาร ก่อนจะทำความคารวะเหล่าอาจารย์ที่อบู่บนหน้าผา
ในตอนที่สายตาของนางมองไปยังมุมๆ หนึ่งนั้น นางก็อดสะอื้นขึ้นมาอีกไม่ได้ ดูแล้วน่าสงสาร ทั้งยังดูน่ารัก
……
……
แม้นอารมณ์จะไม่มั่นคง แต่อวี้ซานกลับแสดงฝีมือออกมาได้อย่างโดดเด่น — สภาวะของนางมิได้ยอดเยี่ยมอะไร สิ่งที่ยอดเยี่ยมก็คือความสามารถในการควบคุมกระบี่ตอนที่ขี่กระบี่และปล่อยให้กระบี่บิน แม้นจะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นางก็ทำได้อย่างพอดิบพอดี ความแม่นยำเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
เหมยหลี่มองดูคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของสาวน้อย ในใจทั้งรู้สึกสงสารและยินดี จึงเดินไปยังริมผาพลางกล่าวว่า “มายอดเขาชิงหรงของข้าเถอะ”
ยอดเขาชิงหรงส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นศิษย์ผู้หญิง ในสายตาคนอื่นต่างมองว่าเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับศิษย์น้องอวี้ซาน
ใครจะไปคิดบ้างว่าศิษย์น้องอวี้ซานมิได้ให้คำตอบออกมา หากแต่มองไปยังมุมๆ นั้นบนหน้าผา
ภายใต้เงาไม้ จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะเล็กน้อยจนแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
อวี้ซานตะลึง ก่อนจะมองไปทางอาจารย์อาเหมยหลี่อีกครั้ง จากนั้นส่ายศีรษะขออภัย
บนหน้าผามีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วกล่าวกับชายหนุ่มแซ่หยวนว่า “ไปบอกนาง เลือกยอดเขาซั่งเต๋อ”
กู้ชิงรู้สึกมิค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายอดเขาซั่งเต๋อจะเลือกศิษย์น้องอวี้ซาน?
เพราะยอดเขาซั่งเต๋อทั้งอึมครึมและหนาวเหน็บ บวกกับตัวคุกกระบี่และลักษณะของตัวยอดเขา จึงทำให้ไม่มีศิษย์หญิงมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
ชายหนุ่มแซ่หยวนกลับมายังริมลำธาร ก่อนจะกล่าวกับศิษย์น้องอวี้ซานเบาๆ สองสามประโยค
ในเวลานี้เอง ฉือเยี่ยนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อพลันก้าวออกมา กล่าวว่า “เจ้ายินดีติดตามข้าเพื่อเรียนกระบี่หรือไม่?”
ศิษย์น้องอวี้ซานลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
เหมยหลี่โมโหยิ่งนัก นางหันไปถลึงตาใส่จิ๋งจิ่วทีหนึ่ง
ลูกศิษย์หญิงแห่งยอดเขาชิงหรงก็เหมือนกับอาจารย์อาเหมยหลี่ พวกนางต่างรู้สึกดีกับจิ๋งจิ่ว แต่ในเวลานี้ก็โกรธขึ้นมาเช่นกัน
ไม่ว่าใครต่างก็มองออกว่าศิษย์น้องอวี้ซานเลือกยอดเขาซั่งเต๋อตามเจตนาของจิ๋งจิ่ว แม้นจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางต้องฟังจิ๋งจิ่วด้วย
จิ๋งจิ่วมิได้ใส่ใจสายตาเหล่านี้ หากแต่มองดูหน้าผา นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างยืนอยู่หรือว่าศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงยืนอยู่ ก็ล้วนแต่ไม่มีเงาของเจ้านั่น
และเมื่อครู่นี้ไป๋หรูจิ้งก็รับศิษย์สืบทอดกระบี่ไปอีกคนหนึ่ง เห็นทีหลิ่วสือซุ่ยคงจะถูกทอดทิ้งจริงๆ เสียแล้ว
…………………………………………………………………………