มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 6 พวกเจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ
ผู้ดูแลคนนั้นเงยหน้ามองตามเสียงขึ้นไป พบว่าเป็นห้องๆ หนึ่งที่อยู่บนชั้นแปด เมื่อย้อนคิดเล็กน้อยจึงรู้ว่านั่นคือสำนักใด
ตามกฎของเรือนเป่าซู่ เขาไม่สามารถแจ้งสถานะของอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เหตุใดสหายจึงกล่าวเช่นนี้?”
เสียงที่เยือกเย็นเสียงนั้นกล่าว “มิต้องพูดให้มากความ พวกเราต้องเอาแผ่นน้ำแข็งสงบจิตไปให้ได้ รีบเริ่มประมูลเถอะ”
ผู้ดูแลคนนั้นได้ยินเช่นนี้จึงโมโหเล็กน้อย เขาพยายามสะกดอารมณ์แล้วกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ต่างก็เป็นพวกเดียวกัน เหตุใดต้องบีบบังคับกันถึงเพียงนี้?”
คนผู้นั้นแค่นหัวเราะ กล่าวว่า “ทำทุกอย่างตามกฎ มีปัญหาตรงไหน?”
ผู้ดูแลคนนั้นหรี่ตาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดหรือว่าจะมาหาเรื่อง เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “ท่านน่าจะรู้ว่าที่นี่คือเมืองเฉาหนาน”
“ข้าย่อมต้องรู้ว่าที่นี่คือเมืองเฉาหนาน”
คนที่อยู่ในห้องชั้นแปดผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยขึ้นมา “เหตุใดเจ้าไม่กล่าวนามสำนักชิงซานออกมาเสียเลยเล่า?”
ผู้ดูแลคนนั้นกล่าวเสียงเยือกเย็น “กล่าวแล้วอย่างไร? หรือท่านยังกล้าล่วงเกินชิงซาน!”
“ข้าย่อมไม่กล้า เพียงแต่เจ้าคิดหรือว่าตอนนี้สำนักชิงซานจะมาสนใจพวกเจ้า? ข้าอยากรู้จริงเชียว ว่าในตอนนี้เรือนเป่าซู่ของพวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่ ถึงยังอวดดีได้เพียงนี้!”
คนผู้นั้นแค่นหัวเราะออกมา
ผู้ดูแลสีหน้าแปรเปลี่ยน ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้กล้าโอหังขนาดนี้
เมื่อสองปีก่อน ยอดเขาปี้หูของสำนักชิงซานเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่….เรือนเป่าซู่สูญเสียที่พึ่งพิงที่สำคัญที่สุดไป เพียงแต่ทำไมอีกฝ่ายถึงรู้เรื่องนี้ได้?
“พูดถึงเรื่องอวดดี ไหนเลยจะเทียบกับสำนักซานตูของพวกท่านได้ มายังมณฑลหนานเหอของพวกข้า แล้วยังกล้าแย่งของกับวัดกั่วเฉิงอีก”
ผู้ดูแลมิได้สนใจกฎเกณฑ์อันใดอีก เขาแค่นหัวเราะพลางบอกที่มาของอีกฝ่าย
หากคนของสำนักซานตูยังดึงดันที่จะเอาแผ่นน้ำแข็งสงบจิต เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไปเผชิญหน้ากับวัดกั่วเฉิงแล้วกัน
ครั้นได้ยินชื่อของสำนักซานตู ภายในหอพลันมีเสียงพูดคุยถกเถียงดังขึ้นมา
สำนักซานตูเป็นสำนักกระบี่ทางตะวันตก ชื่อเสียงมิค่อยดีเท่าไรนัก แต่เนื่องเพราะเป็นพรรคในสังกัดของสำนักคุนหลุน จึงไม่มีผู้ใดกล้ามีเรื่องด้วย
หน้าต่างของห้องนั้นถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง สายตามองดูผู้ดูแลที่อยู่ด้านล่างพลางแค่นหัวเราะ จากนั้นมองไปทางสมณะชราแห่งวัดกั่วเฉิงรูปนั้นแล้วกล่าวว่า “เรียนไต้ซือ มิใช่ว่าสำนักเราคิดอยากจะเป็นศัตรูกับทางวัดของไต้ซือ เพียงแต่นายน้อยของสำนักเราป่วยหนัก จำเป็นต้องใช้แผ่นน้ำแข็งสงบจิตในการรักษา จึงมิอาจยอมได้”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมิได้เกรงใจเรือนเป่าซู่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับค่อนข้างให้ความเคารพวัดกั่วเฉิงอยู่ทีเดียว
ขณะที่ฟังคำพูดนี้ มีหลายคนที่รู้สึกไม่เข้าใจ แผ่นน้ำแข็งสงบจิตมิใช่ยาวิเศษที่หายากอะไรนัก เพียงแต่ช่วงนี้เมืองเฉาหนานมีกุ่ยมู่หลิงปรากฏตัวขึ้นมาพอดี ชาวเมืองตกใจจนล้มป่วย วัดกั่วเฉิงถึงได้ออกหน้าด้วยตัวเอง สำนักซานตูเป็นสำนักในสังกัดของสำนักคุนหลุน สำนักคุนหลุนนั้นมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับกองทัพเจิ้นเป่ย หากบุตรชายของเจ้าสำนักซานตูป่วยหนักจริง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะหายานี้มิได้?
ชายวัยกลางคนรู้ว่าทุกคนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงกล่าวว่า “นายน้อยมาเที่ยวยังมณฑลหนานเหอ โชคไม่ดีตอนอยู่เมืองอิ้งเฉิง…ได้ถูกพิษบุหงาเข้า”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครา ดูเหมือนทุกคนจะรู้ว่าพิษบุหงาคือสิ่งใด
หากเป็นฝีมือของผู้บำเพ็ญพรตหญิงผู้โหดเหี้ยมคนนั้น อย่างนั้นนายน้อยของสำนักซานตูผู้นี้ก็น่าสงสารจริงๆ
พิษบุหงามิทำให้คนถึงตาย แต่มันกลับทำให้ผู้ที่ถูกพิษรู้สึกคันคะเยอจนยากจะทานทนได้ แต่หากมีแรงใจที่ดี อดทนไปสิบกว่าวันก็จะหายได้เอง
ปัญหาอยู่ที่ว่า คนของสำนักซานตูจะทนมองดูนายน้อยของตัวเองทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นได้อย่างไร?
“แผ่นน้ำแข็งสงบจิต พวกเราต้องเอาไปให้ได้ ส่วนชาวบ้านในเมืองเฉาหนานเหล่านั้น…ก็ถือเสียว่าพวกเขาโชคไม่ดีแล้วกัน”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในหอกลับมิได้มีเสียงคัดค้านอะไรมากมายนัก ใจที่เมตตาควรจะมี แต่ในสายตาของผู้บำเพ็ญพรต ชีวิตของคนธรรมดามิได้สำคัญอะไรเลย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตัวพวกเขาเอง
สมณะชราแห่งวัดกั่วเฉิงรูปนั้นย่อมมิเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เขากลับมิรู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ส่ายศีรษะพลางถอนใจออกมา
ภายในห้องชั้นเจ็ด เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกมิค่อยเข้าใจ นางกล่าวถามว่า “สำนักเล็กๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่กลัววัดกั่วเฉิง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พระอารมณ์ดี”
นี่หมายถึงวิธีการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของวัดกั่วเฉิง หรือพูดอีกอย่างก็คือคำสรรเสริญที่อยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมาหลายร้อยปี
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะอยู่ในเมืองเฉาหนานอันเป็นดินแดนชั้นในของราชสำนักด้วย หากเป็นดินแดนทางเหนือ มีผู้ใดกล้ามิเคารพวัดกั่วเฉิง? หากสำนักซานตูหาญกล้าแย่งชิงยากับวัดกั่วเฉิง เกรงว่าคงจะถูกเหล่าชาวบ้านที่โกรธแค้นฉีกเป็นชิ้นๆ ตรงนั้นอย่างแน่นอน สำนักเฟิงเตายิ่งไม่มีทางยอมรามือ ไม่แน่อาจจะบุกไปหาสำนักคุนหลุนถึงที่
แม้นเหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในหอจะยอมรับในคำพูดของชายวัยกลางคนแห่งสำนักซานตูอย่างเงียบๆ แต่ที่นี่คือเมืองเฉาหนาน สมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิงต้องการยาไปช่วยรักษาคน พวกเขาไหนเลยจะยอมปล่อยให้สำนักกระบี่จากทางตะวันตกมาชิงเอายาไปง่ายๆ ได้ ทันทีที่การประมูลเริ่มขึ้นก็มีการแข่งเสนอราคามากมาย ไม่นานราคาแผ่นน้ำแข็งสงบจิตก็พุ่งไปเกินกว่าราคาที่ควรจะมี
สำนักซานตูมิยอมอ่อนข้อ ไม่ว่าจะเสนอราคามาเท่าไร พวกเขาก็จะเพิ่มราคาไปเรื่อยๆ
เขาคุนหลุนมีเหมืองผลึกอยู่มากมาย แม้นสำนักซานตูจะมิได้ร่ำรวยเหมือนอย่างสำนักคุนหลุน แต่พวกเขาก็มีหินผลึกอยู่มิใช่น้อย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ราคาของแผ่นน้ำแข็งสงบจิตถูกดันจนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สำนักเหล่านั้นจำต้องค่อยๆ ถอยออกไป
ต่อให้พวกเขาคิดอยากใช้แผ่นน้ำแข็งสงบจิตผูกมิตรกับวัดกั่วเฉิง แต่พวกเขาก็ต้องคิดถึงราคาในตอนนี้เช่นกัน
สายตามองเห็นแผ่นน้ำแข็งสงบจิตใกล้จะตกเป็นของสำนักซานตู ทันใดนั้นบนใบหน้าของผู้ดูแลคนนั้นพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขากล่าวออกมาว่า
“ห้องลี้ลับหมายเลขสอง ให้ยาเซวียนเฉ่าหนึ่งเม็ด”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ภายในหอพลันตกอยู่ในความเงียบก่อน จากนั้นจึงมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
ยาเซวียนเฉ่าเป็นของวิเศษที่มีชื่อเสียงของเขาเซวียนฮว่าที่อยู่ในมณฑลจงโจว ว่ากันว่าจำเป็นต้องใช้เตาทองแดงเสี่ยวเทียนตี้[1]ในการหลอมจึงจะสามารถปรุงขึ้นมาได้
ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพของยาหรือว่าราคา ยาเซวียนเฉ่าก็ล้วนแต่ล้ำค่ากว่าแผ่นน้ำแข็งสงบจิตเป็นร้อยเท่า
เหตุใดคนที่อยู่ในห้องนั้นถึงยินยอมใช้ยาเซวียนเฉ่ามาซื้อแผ่นน้ำแข็งสงบจิต? หรือพวกเขาคิดอยากจะผูกมิตรกับสมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิงเช่นกัน? แต่ราคาที่ต้องจ่ายนี้มันสูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า
คนของสำนักซานตูเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ต่างคนต่างสบตาไม่พูดจา ไม่รู้ควรจะทำเช่นไร
ชายวัยกลางคนผู้นั้นแค่นหัวเราะ ก่อนจะส่งสัญญาณบอกว่าไม่ต้องสู้ราคา พลางนั่งลงไป มิรู้กำลังคิดอันใดอยู่
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าแผ่นน้ำแข็งสงบจิตจะเปลี่ยนมือเจ้าของแบบนี้
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือหน้าต่างของห้องบนชั้นเจ็ดห้องนั้นมิได้ถูกเปิดออกเลย คล้ายว่าคนผู้นั้นมิได้ต้องการพบหน้าสมณะของวัดกั่วเฉิง
……
……
ผู้ที่ดูแลงานประมูลนำเอาแผ่นน้ำแข็งสงบจิตมาส่งยังห้องลี้ลับหมายเลขสองด้วยตนเอง อีกทั้งยังก้มศีรษะอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง มิได้สบตากับจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยแม้เพียงนิดเดียว
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยลุกขึ้นเตรียมจากไป
สองมือของผู้ดูแลคนนั้นประคองกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งส่งให้อย่างเคารพนอบน้อม
จิ๋งจิ่วรับเอากล่องไม้มาเปิด
เจ้าล่าเยวี่ยมองดู พบว่าเป็นยาเซวียนเฉ่าเม็ดนั้น ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจความหมายของเรือนเป่าซู่ จึงค่อนข้างพอใจ
ผู้ดูแลคนนั้นกล่าวเตือนเบาๆ อีกสองสามประโยค แนะนำพวกเขาว่าสามารถนั่งรออีกครู่หนึ่งได้ รอให้หัวหน้ามาพบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา แต่ก็หาได้สนใจไม่ งานประมูลนี้น่าเบื่อเกินไป เห็นได้ชัดว่ามิอาจสืบได้เบาะแสอะไร เช่นนั้นรั้งอยู่ที่นี่ยังจะมีประโยชน์อันใด
ครั้นเห็นทั้งสองคนเดินไปด้านล่างหอ ภายในใจผู้ดูแลคนนั้นครุ่นคิดมิรู้เป็นคนประหลาดมาจากที่ใดกัน ต้องรีบไปแจ้งหัวหน้าให้ทราบ
เดิมวันนี้เป็นละครฉากหนึ่งที่ทางเรือนเป่าซู่เตรียมเอาไว้ ในตอนที่พวกเขาทราบว่าสมณะแพทย์แห่งวัดกั่วเฉิงต้องการแผ่นน้ำแข็งสงบจิต เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ในละครฉากนี้ก็ได้ถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว เดิมพวกเขาคิดอยากใช้เรื่องนี้เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับเรือนเป่าซู่ และจะได้อธิบายกับทางอาจารย์เซียนของชิงซานที่จะมาที่นี่ในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ได้ แต่ไหนเลยจะคิดถึงว่าจู่ๆ สำนักซานตูจะกระโดดเข้ามา จนเกือบทำให้ละครฉากนี้ผิดไปจากแผนที่วางไว้
ผู้ดูแลครุ่นคิดขึ้นมาอีก สองคนนั้นมิได้มอบหมายให้ตนเป็นคนนำเอาแผ่นน้ำแข็งไปมอบให้สมณะแพทย์แห่งวัดกั่วเฉิง หรือพวกเขาคิดจะไปหาอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว?
……
……
หลังออกมาจากเรือนเป่าซู่ได้ไม่ไกล จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยก็ถูกของคนสำนักซานตูขวางทางเอาไว้
จิ๋งจิ่วมิได้พบเจอกับเรื่องแบบนี้มานานหลายปีแล้ว ส่วนเจ้าล่าเยวี่ยก็เพียงแค่เคยอ่านเจอเรื่องแบบนี้ในหนังสือ จึงรู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก
นางมองพวกเขาแล้วกล่าวถามอย่างจริงจัง “พวกเจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ?”
คนของสำนักซานตูยังมิทันได้เอ่ยปากข่มขู่อีกฝ่าย ก็ได้ยินคำถามแบบนี้ จึงอดตกตะลึงมิได้
…………………………………………………….
[1]เสี่ยวเทียนตี้ หมายถึง โลกใบเล็กของคนๆ หนึ่งที่พอใจในการใช้ชีวิต