มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 87 การเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมาก
บนเขาฉีผานเงียบสงบ
หลังจากที่ถงเหยียนกล่าวประโยคนั้นออกมา ก็ไม่มีใครกล่าวอะไรอีก
ถูกต้อง ทั้งควรค่าแก่การเคารพ ทั้งกิริยาท่าทาง เหล่านั้นล้วนแต่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นผลลัพธ์ในท้ายที่สุด
ถงเหยียนลืมตา หมุนตัวกลับมามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ว่าไม่เคยแพ้ ตอนที่เพิ่งเริ่มเรียนหมากล้อม ข้าเคยแพ้อาจารย์หญิงสิบเจ็ดกระดานติดต่อกัน แต่ว่า…ข้าไม่อยากแพ้ให้เจ้า”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ คนอื่นไม่มีความรู้สึกอะไร คิดว่าสิ่งที่ถงเหยียนพูดมาหมายถึงการชิงดีชิงเด่นกันระหว่างอัจฉริยะด้วยกัน แต่เซี่ยงหว่านซูกลับตกใจ เขารู้ว่าศิษย์พี่มีนิสัยหยิ่งยโสเย็นชา แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ลั่วไหวหนานก็ยังไม่ชอบ ไม่อยากเข้าใกล้ แต่บนวิถีหมาก ศิษย์พี่กลับเป็นคนที่มีมารยาทอย่างมาก ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ขอเพียงมีความยอดเยี่ยม ศิษย์พี่ก็เต็มใจที่จะชมเชย ท่าทีที่มีต่อยอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมที่แท้จริงเหล่านั้นก็ค่อนข้างให้ความเคารพ อย่างเช่นมหาบัณฑิตกัว อย่างเช่นเหอจาน
แต่เหตุใดวันนี้ศิษย์พี่พ่ายให้จิ๋งจิ่วแล้ว แต่กลับยังพูดจาเช่นนี้?
“หลังจากวันนี้ เจ้ายังคิดว่าหมากล้อมเป็นเพียงเกมหรือไม่?”
ถงเหยียนจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางถาม
ตัวหมากวางลงไป สายฟ้าผ่าลงมา ฟ้าดินเกิดการตอบสนอง การประลองหมากเช่นนี้ จะเป็นเพียงแค่เกมได้อย่างไร?
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ใช่ ข้ายังคิดว่ามันเป็นแค่เกม”
ถงเหยียนดวงตาเบิกโพลง คล้ายจะมองเห็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ
“เดิมมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว มิใช่ว่าข้าไปด้อยค่ามัน เพราะตัวเกมบางทีมันก็อาจจะมีความหมายของมัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “การประสบพบเจอ ผลลัพธ์ที่ได้ เส้นทางที่ไม่เหมือนกัน วิธีการเดินที่แตกต่างกัน บางทีการที่พวกเรามีชีวิตอยู่ การมีอยู่ของโลกล้วนแต่เป็นเกมเช่นเดียวกัน”
“ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเกม?”
ถงเหยียนจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าว “เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของเจ้าเคยทุ่มเทให้กับอะไรหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
อย่าว่าแต่ชีวิตนี้เลย ต่อให้เป็นชั่วชีวิตที่แล้ว เขาก็ไม่เคยทุ่มเทให้กับอะไรมาก่อน
“เจ้าวางเฉยต่อโลกนี้ เฉยชาต่อทุกสรรพสิ่ง เมินเฉยมิชิดใกล้ นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่ชอบเจ้า ทำไมถึงไม่อยากพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า”
ถงเหยียนกล่าวเสียงเบา “แต่ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ข้ายินดีทุ่มเททุกอย่างให้กับหลายๆ เรื่อง”
อย่างเช่นโลกสีขาวดำ
จิ๋งจิ่วมองดูเขาอย่างเงียบๆ รอคอยคำพูดต่อจากนั้น
“หมากล้อม คือวิถีของข้า”
“หมากกระดานนี้ ข้านึกว่าข้าได้เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ข้าก็ยังแพ้…แถมยังแพ้ให้กับคนที่ไร้ความรู้สึกต่อหมากล้อม แพ้ให้แก่คนที่ไม่ชื่นชอบหมากล้อมอย่างเจ้า”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนอย่างเจ้าจึงสามารถเดินมาได้ไกลขนาดนี้ หากบนกระดานหมากมีธรรมวิถีจริงๆ เหตุใดมันจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้?”
“แล้วนี่จะให้ข้ากับคนที่อยู่นอกศาลาเหล่านั้นคิดอย่างไร?”
“นี่มันไม่ยุติธรรม”
“นี่ทำให้ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนเป็นไร้ความหมาย”
สายตาของถงเหยียนคล้ายดูโศกเศร้า
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “แต่ไหนแต่ไรมา โลกนี้มิเคยยุติธรรม ต่อให้เจ้าและข้าจะรักโลกนี้เพียงใด สำหรับโลกนี้แล้วล้วนแต่ไร้ความหมาย”
—-พวกเราถนัดในการใช้คำและคำนิยามที่สวยงามมาปลอบประโลมมนุษย์ด้วยกันเอง แต่โลกนี้เดิมทีมันก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงคำพูดที่เขาเคยพูดหลังออกมาจากสวนดอกเหมยเก่าในคืนวันนั้น ทันใดนั้นพลันรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกศาลาเองก็คล้ายรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นหลังฝนตก ความเงียบสงัดวังเวง บรรยากาศอึมครึมแปลกๆ
“ไม่ ข้าไม่เชื่อ….”
ถงเหยียนกล่าวพึมพำ “ทุกสิ่งควรจะมีความหมาย ยิ่งไปกว่านั้นต้องมีความหมาย”
เขาไม่สามารถยอมรับคำพูดของจิ๋งจิ่วได้
เขาศึกษาวิถีแห่งหมากอย่างลึกซึ้งมาแต่เล็ก ภายใต้การชี้แนะของอาจารย์สำนักจงโจว เขาก็ค่อยๆ เข้าใจมันลึกซึ้งยิ่งขึ้น วิธีที่เขาใช้บำเพ็ญเพียรก็คือการใช้หมากนำไปสู่ธรรมวิถี
บนกระดานแบ่งเป็นสีขาวดำ การเปลี่ยนแปลงของความมืดและความสว่าง ดูแล้วคล้ายลึกซึ้งยากคะเนได้ แต่ความจริงแล้วมันมีกฎเกณฑ์ของมันอยู่
สิ่งที่เขาทำก็คือตามหากฎเกณฑ์นั้น
นี่คือสิ่งที่เขาวิ่งไล่ตามมาชั่วชีวิต
……
……
“ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิถี แต่หลายสิ่งยากที่จะนำไปสู่ธรรมวิถีได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อย่างเช่นสำหรับข้าแล้ว ทั้งพิณ หมาก พู่กัน ภาพวาด ล้วนแต่ยากเข้าใกล้ธรรมวิถีได้ เพราะมันง่ายเกินไป”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ กลุ่มคนพากันส่งเสียงฮือฮาออกมา
ทุกคนต่างยอมรับว่าหมากล้อมนั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งซับซ้อนมากที่สุด ใครกล้าบอกว่ามันง่าย?
เดิมทุกคนคิดอยากจะโต้แย้งสักหลายประโยค ทันใดนั้นพลันคิดถึงหมากกระดานนั้นขึ้นมา จึงพากันเงียบไปอีกครั้ง
บนโลกนี้มีเพียงจิ๋งจิ่วที่บอกว่าหมากล้อมง่าย ไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์โต้แย้งเขาได้
นอกเสียจากจะเอาชนะเขาบนกระดานหมากล้อมให้ได้เสียก่อน
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยเล่นหมากล้อม แต่เคยเล่นเกมที่คล้ายๆ กัน วันนี้หลังจากที่ได้เล่นหมากล้อมกับเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าทั้งสองสิ่งมีจุดที่คล้ายกันอยู่”
หลังกล่าวจบประโยคนี้ จิ๋งจิ่วตบไปบนโต๊ะเบาๆ
กระดานหมากล้อมถูกกระแทก กระเด้งลอยขึ้นมาเล็กน้อย
หมากจำนวนหลายร้อยเม็ดลอยขึ้นมาจากบนกระดานและในโหล ก่อนจะหยุดค้างนิ่งๆ กลางอากาศ
หมากสีดำขาวเรียงเป็นแถวอย่างวุ่นวาย ตัดสลับทั้งแนวตั้งแนวขวาง แล้วยังมีอีกหลายแถวที่ตั้งในแนวดิ่ง กลายเป็นรูปหมากสามมิติ
ภาพนี้ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว นี่ไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร
หลายคนตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าจิ๋งจิ่วทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ออกมาทำไม
บางคนรู้ถึงความหมายของเขา จึงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ในใจครุ่นคิดว่าสามารถเล่นแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
เชวี่ยเหนียงมองดูตัวหมากที่ลอยอยู่กลางอากาศเหล่านั้นอย่างงุนงง ร่างกายเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
เหอจานสองคิ้วขมวดแน่น ในใจครุ่นคิดว่าตัวหมากมีไม่พอ หากแนวตั้ง แนวนอน แนวดิ่งต่างก็มีสิบเก้าเส้น หมากกระดานนี้จะซับซ้อนถึงระดับไหนกัน?
ถงเหยียนมองดูหมากสีดำสีขาวที่ประกอบกันจนกลายเป็นเหมือนกรง นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่กำลังของมนุษย์จะทำได้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มันยากจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้ข้าเองก็ยังทำไม่ได้ แต่การบำเพ็ญพรตมันก็คือการทำเรื่องที่กำลังของมนุษย์ไม่มีทางทำได้”
ถงเหยียนกล่าว “แบบนี้จะเหนื่อยอย่างมาก เหมือนกับเจ้าในตอนนี้ที่น่าจะเหนื่อยมากแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช่ ข้าไม่เคยเหนื่อยเหมือนอย่างวันนี้มาหลายปีแล้ว”
เขากล่าวอย่างจริงจัง
ถงเหยียนกล่าว “ข้าไม่มีทางรู้สึกดีขึ้นมาเพียงเพราะคำพูดประโยคนี้ ข้าเพียงแต่กังวลว่าถ้าเจ้าประลองต่อไปอาจจะแพ้ได้ ข้าไม่ชอบให้คนที่เอาชนะข้าได้แพ้คนอื่น”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ต้องกังวล เพราะข้าเหนื่อยจริงๆ ดังนั้นข้าไม่คิดที่จะประลองต่อ”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ถงเหยียนรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ คนที่อยู่ด้านนอกศาลายิ่งตกตะลึง
เจ้าเอาชนะถงเหยียนได้แล้ว บนเขาฉีผานในวันนี้ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อีก? ต่อให้จะเหนื่อยล้าอย่างมากจากการประลองกระดานก่อนหน้า แต่พักผ่อนเพียงครู่ก็ดีขึ้นแล้ว หรือยังจะมีใครกล้าบีบให้เจ้าลงประลองต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้ได้?
จิ๋งจิ่วกล่าว “การประลองหมากระหว่างเจ้ากับข้า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมืองไห่โจว”
ถงเหยียนเข้าใจความหมายของเขา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เข้าใจความหมายของเขา
ครั้งได้ยินประโยคนี้ เจ้าล่าเยวี่ยและเซี่ยงหว่านซูต่างคิดถึงภาพในตอนนั้นขึ้นมา
ในงานเลี้ยงซื่อไห่ตอนนั้น จิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองหมากล้อม แต่กลับได้รับเสียงวิจารณ์ที่ไม่ดีเป็นจำนวนมาก
เซี่ยงหว่านซูกล่าวยิ้มๆ ว่าหากตนเองเล่นหมากล้อมเหมือนจิ๋งจิ่วคงต้องถูกศิษย์พี่ตีอย่างแน่นอน แต่กลับถูกเจ้าล่าเยวี่ยได้ยินเข้า จึงเกิดเป็นบทสนทนาหลังจากนั้น
“ถูกต้อง ข้าอยากบอกเขาว่าการเดินหมากมันมิได้ง่ายขนาดนั้น”
“เชื่อข้า สำหรับเขาแล้ว การเดินหมากเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดในโลกแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ? หวังว่าจะมีโอกาสได้ขอคำชี้แนะ”
“เจ้าไม่ไหวหรอก ให้ศิษย์พี่เจ้ามาดีกว่า”
……
……
จากนั้นถึงได้มีคำพูดที่จิ๋งจิ่วกล่าวในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซานประโยคนั้น
“ข้านัดหมายกับสำนักจงโจวเอาไว้แล้วว่าจะประลองหมากล้อมกับถงเหยียนในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยปีหน้า”
……
……
“ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยบอกว่าจะคว้าชัยชนะในการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ข้าเพียงแต่จะมาเล่นหมากล้อมกับเจ้า”
“ตอนนี้ เล่นหมากล้อมเสร็จแล้ว”
จิ๋งจิ่วเดินออกไปจากศาลา พาเจ้าล่าเยวี่ยเดินลงไปจากเขา
เม็ดหมากล้อมที่ลอยอยู่ในอากาศร่วงตกลงมาราวสายฝน
…………………………………