มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 9 บางทีอาจจะผิดมาตั้งแต่แรก
จิ๋งจิ่วมาถึงริมฝั่ง น้ำไหลลงมาจากชุดสีขาวราวกับน้ำตก
บนกำแพงเมืองเฉาหนาน เหล่าทหารกำลังวิ่งวุ่นกันอยู่ มิรู้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
จิ๋งจิ่วเหลือบมองดู ก่อนจะใช้ปราณกระบี่ทำให้น้ำบนร่างกายระเหยไปจนแห้ง ทั้งตัวเขาอยู่ภายใต้ม่านไอน้ำสีขาว
“ตอนนี้เจ้ายังจะถามอีกไหมว่าเหตุใดข้าต้องมาเมืองเฉาหนาน?”
เสียงของเจ้าล่าเยวี่ยดังขึ้นนอกไอน้ำ
จิ๋งจิ่วรู้ว่าเหตุใดทหารของเมืองเฉาหนานตื่นตระหนกถึงเพียงนั้น เห็นทีตอนที่นางขี่กระบี่บินออกมาคงไปทำให้คนตกใจไม่น้อย
เขามิได้ตอบคำถามนี้ เพราะว่านางมิได้พูดผิด
เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลิวสือซุ่ยล้วนแต่อยู่ในการคาดการณ์ของเขา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องมาดูให้เห็นกับตาถึงจะวางใจได้
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถาม “เจอสิ่งที่เจ้าต้องการหาหรือไม่?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ถามอะไรอีก
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าว “เจ้ายังจะสืบต่อไป?”
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็ส่งเสียงอืมเช่นกัน
“ความจริงเรื่องนี้มิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับไม้วิญญาณอัศนี”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าว “หากการบรรลุเป็นเซียนล้มเหลว สาเหตุก็มีเพียงแค่ข่ายพลังมีปัญหา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เหลยพั่วอวิ๋นกล้าขโมยไม้วิญญาณอัศนีลงมาจากยอดเขาปี้หู เขาก็ต้องกล้าทำอะไรตุกติกกับวัตถุดิบที่ใช้สร้างข่ายพลัง”
สองเรื่องนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่การอนุมานนี้กลับมีเหตุผล
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข่ายพลังอยู่บนปลายยอดเขาเสินม่อ เขาไม่มีทางทำอะไรได้”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจตนเองไม่เห็นร่องรอยของข่ายพลังใดๆ บนยอดเขาเสินม่อ กระทั่งกลิ่นอายแม้เพียงเล็กน้อยนิดก็ไม่มี
“หมอกควันจางหาย คือชื่อของข่ายพลังนั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มีทางทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หมอกควันจางหาย…ชื่อนี้ฟังดูมิเป็นมงคล”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สำหรับผู้ที่ยังอยู่บนโลกนี้ การบรรลุกลายเป็นเซียนของผู้บำเพ็ญพรตก็คือความตาย เดิมก็มิใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไร”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “หรือปรมาจารย์อาบรรลุกลายเป็นเซียน ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานไม่มีผู้ใดรู้สึกยินดีเลย”
จิ๋งจิ่วมิกล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “หากวัตถุดิบไม่มีปัญหา อย่างนั้นข่ายพลังจะเกิดปัญหาได้อย่างไร?”
“บางที…ข่ายพลังที่นักพรตจิ่งหยางเรียนมาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตมันคงจะผิดกระมัง”
จิ๋งจิ่วยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว
รอยยิ้มของเขาดูค่อนข้างจืดจาง
……
……
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยออกมาจากเมืองเฉาหนาน เดินทางผ่านเทือกเขา มิรู้ตนเองอยู่ที่ใด
ทางฝั่งชิงซาน ในที่สุดหลิวสือซุ่ยก็ได้สติขึ้นมาแล้ว ผิวหนังอันร้อนผ่าวฟื้นคืนสู่อุณหภูมิปกติ จิตใจมิได้รับการกระทบกระเทือน ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในตอนที่เขามองดูตัวเองในคันฉ่อง บางครั้งจะมีสีแดงอันน่าเย้ายวนปรากฏขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตาเขา
วันที่สอง หลิวสือซุ่ยถูกส่งเข้าไปยังคุกกระบี่ ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งจะโกรธเกรี้ยวอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของยอดเขาซั่งเต๋อได้
เนื่องเพราะยอดเขาซั่งเต๋อสงสัยว่าในศึกปราบปีศาจที่แม่น้ำจั๋วครั้งนั้น หลิวสือซุ่ยได้แอบกินตานปีศาจของกุ่ยมู่หลิงลงไป
การกินตานปีศาจจะช่วยให้ผู้บำเพ็ญพรตบรรลุสภาวะได้เร็วขึ้น แต่มันก็มีโอกาสอย่างมากที่จะทำให้ใจแห่งเต๋าปนเปื้อน และทำให้ผู้บำเพ็ญพรตธาตุไฟเข้าแทรก
สำหรับสำนักฝ่ายธรรมะแล้ว นี่เป็นสิ่งที่มิอาจยอมรับได้ สำหรับชิงซานแล้ว นี่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎกระบี่อย่างร้ายแรง
แม้นหลิวสือซุ่ยจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่สำนักฝากความหวังไว้ แต่ถ้าหากเขาทำเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้เป็นโทษสถานเบาที่สุดก็ยังเป็นการทำลายสภาวะที่ได้บำเพ็ญมา และขับออกจากชิงซาน
ในช่วงเวลาหลังจากนั้น ยอดเขาซั่งเต๋อทำการสอบสวนหลิวสือซุ่ยอย่างเฉียบขาด สุดท้ายถึงขนาดใช้การลงโทษ
แต่ผลการสอบสวนกลับค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
ตอนที่อยู่ริมแม่น้ำจั๋ว หลิวสือซุ่ยพลันสลบไสลมิได้สติ อาการแปลกๆ มากมายเช่นร่างกายร้อนผ่าว จู่ๆ ชีพจรแห่งเต๋าพลันผิดปกติ อาการทุกอย่างล้วนบ่งบอกเห็นว่าเขาได้กลืนตานปีศาจลงไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นการตรวจของเหล่าผู้อาวุโสของยอดเขาซื่อเยวี่ย หรือฉือเยี่ยนใช้ใจแห่งกระบี่ฟังชีพจร ก็ล้วนแต่ไม่อาจหาหลักฐานในร่างกายเขาได้
ตามหลักแล้ว ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ก็ควรจะปล่อยคน แต่เรื่องนี้แปลกประหลาดขนาดนี้ ยอดเขาซั่งเต๋อไหนเลยจะยอมหยุดแต่เพียงเท่านี้ได้
หยวนฉีจิงออกคำสั่งด้วยตัวเอง หลิวสือซุ่ยยังคงถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ อีกทั้งยังห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม
เมื่อถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งหรือว่าเหล่าศิษย์หนุ่มสาวของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ความจริงแล้วล้วนแต่เชื่อในการวิเคราะห์ของยอดเขาซั่งเต๋อ
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดไปเยี่ยมหลิวสือซุ่ย
ไม่ว่ายอดเขาซั่งเต๋อจะลงโทษอย่างไร หลิวสือซุ่ยก็ล้วนแต่นิ่งเงียบ ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร กระทั่งคำสบถก็มิยอมเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว
เขานั่งเงียบๆ อยู่ในคุกที่มองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน บนใบหน้าที่มีแต่บาดแผลเต็มไปด้วยความดื้อดึง แต่กลับดูอ้างว่างโดดเดี่ยว
……
……
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานตกตะลึง
ริมธารสี่เจี้ยนจะได้ยินเสียงพูดคุยถกเถียงกันถึงเรื่องนี้ บ้างก็ไม่เชื่อ บ้างก็เห็นใจ แต่ส่วนใหญ่เมินเฉยและดูแคลน
ความเฉยเมยและการดูแคลนมาจากความผิดหวังในตัวหลิวสือซุ่ย ในเมื่อได้รับความรักความเอ็นดูจากสำนัก เหตุใดยังใจร้อนถึงเพียงนี้ ทำให้ใจแห่งเต๋าต้องสับสนวุ่นวาย
กู้ชิงฝึกกระบี่อยู่ในยอดเขาเสินม่อ ข่าวคราวจึงมาถึงค่อนข้างช้า ในตอนที่เขาทราบเรื่องนี้ หลิวสือซุ่ยก็ถูกขังไว้สิบกว่าวันแล้ว
เขาคิดว่าเรื่องนี้มีปัญหา เนื่องเพราะเขาได้พูดคุยกับหลิวสือซุ่ยมาหลายครั้ง เขาไม่เชื่อว่าหลิวสือซุ่ยจะแอบกินตานปีศาจเข้าไป
หากหลิวสือซุ่ยยังคงถูกขังอยู่ในคุกกระบี่อันมืดมิดต่อไป นานวันเข้า หนทางแห่งการบำเพ็ญพรตจะต้องเจอกับอุปสรรคอย่างมาก หรืออาจจะจบสิ้นลงกลางคันได้
แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงศิษย์เตรียมสืบทอดกระบี่ที่มาพักอาศัยอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ แล้วจะช่วยหลิวสือซุ่ยได้อย่างไร?
ในเวลานี้ เขาคิดถึงคำพูดที่จิ๋งจิ่วกล่าวกับตนเองก่อนหน้านี้ขึ้นมา ‘หากมีเรื่อง ให้ไปหาลิง’
กู้ชิงเป็นคนชาญฉลาด เขาเข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้แต่แรกแล้ว
สำหรับหลายๆ คน ความสัมพันธ์ของจิ๋งจิ่วและหลิวสือซุ่ยผู้เป็นนายและบ่าวคู่นี้นับวันยิ่งห่างเหิน มีเพียงกู้ชิงเท่านั้นที่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วและหลิวสือซุ่ย อย่างเช่นไม้ไผ่เหล่านั้น หรืออย่างเช่นการสั่งกำชับเหล่านั้น เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน มีเพียงเรื่องของหลิวสือซุ่ยเท่านั้นถึงจะเป็นเรื่องสำหรับจิ๋งจิ่ว
ความหมายของคำพูดประโยคนี้ก็คือ ‘หากหลิวสือซุ่ยมีเรื่อง ให้ไปหาลิง’
……
……
กู้ชิงเดินไปยังนอกกระท่อมไม้ ใช้กำปั้นทุบไปบนต้นไม้สองสามที จากนั้นส่งเสียงร้องออกมา
ในป่ามีเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นมา แล้วยังมีเสียงร้องของเหล่าวานร
วานรสิบกว่าตัวมายังรอบๆ กระท่อมไม้ ห้อมล้อมเขาไว้
ตอนนี้กู้ชิงเรียนรู้ที่จะร้องแบบลิง แต่มิได้หมายความว่าเขาจะใช้เสียงร้องเหล่านี้ในการอธิบายเรื่องนี้ได้
เขามองดูวานรเหล่านั้น ใช้ความเร็วในการพูดที่เชื่องช้า ทั้งออกเสียงอย่างชัดเจน อธิบายเรื่องนี้ออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
เหล่าวานรเกาหูเกาหน้าอย่างร้อนใจ พลางชี้มาที่เขาพร้อมส่งเสียงร้องไม่หยุด
กู้ชิงรู้ว่าพวกมันกำลังด่าตนเองอยู่ จึงผายมือออกเพื่อแสดงถึงความจนปัญญา ในใจครุ่นคิดแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร?
ลิงตัวหนึ่งปีนเข้าไปในกระท่อมทางหน้าต่าง คว้าจับกระดาษแผ่นหนึ่งโบกไปมาไม่หยุด
กู้ชิงตบหน้าผาก ในใจครุ่นคิดเหตุใดตนเองถึงได้โง่เช่นนี้?
เหล่าวานรกางแขนทั้งสองข้างพร้อมทำสีหน้าจนปัญญา ในใจครุ่นคิดเจ้าเพิ่งรู้หรือ?
ฝนหมึกเรียบร้อย กางกระดาษขาวออก ครั้นจะเขียนอะไรลงไปในจดหมาย กู้ชิงก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาอีก
เพราะเขาไม่รู้เลยว่าอีกประเดี๋ยวจดหมายฉบับนี้จะส่งถึงมือผู้ใด
ครุ่นคิดไปครุ่นคิดมา สุดท้ายเขาก็เขียนประโยคง่ายๆ ลงไปสองสามประโยค ทั้งยังไม่ลืมที่จะถือพู่กันด้วยมือซ้าย
“ข้าไม่รู้ว่าท่านคือใคร แต่เอาเป็นว่า เรื่องหลิวสือซุ่ยต้องขอรบกวนท่านด้วย”
……
……
วันที่สอง
หลิวสือซุ่ยถูกปล่อยตัวออกมา
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ธรรมดาริมธารสี่เจี้ยน หรือคนที่อยู่ในเก้ายอดเขาก็ล้วนแต่รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ยอดเขาซั่งเต๋อมิได้มีคำอธิบายใดๆ
ไม่มีคนไปรับหลิวสือซุ่ย
ตอนที่หลิวสือซุ่ยกลับมายังยอดเขาเทียนกวง ก็ไม่เห็นไป๋หรูจิ้งผู้เป็นอาจารย์ของตน สิ่งที่รอต้อนรับเขาอยู่คือสายตาที่มองเขาเหมือนคนแปลกหน้าจำนวนนับไม่ถ้วน
เวลากลางดึก กู้หานมาหาเขา
“เพื่อหนทางที่ถูกต้องของใต้หล้า การเสียสละบางอย่างคือสิ่งที่คุ้มค่า”
มือของกู้หานตกลงบนไหล่ของเขา พลางพูดปลอบว่า “เดิมศิษย์พี่ใหญ่คิดอยากจะมาด้วยตัวเอง แต่กังวลว่าคนอื่นจะเห็นเข้า”
หลิวสือซุ่ยถาม “เหตุใดยอดเขาซั่งเต๋อจึงปล่อยข้า? นี่มันเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มากนัก”
กู้หานกล่าว “ย่อมต้องเป็นคำสั่งของท่านอาจารย์”
เมื่อคิดถึงว่าท่านเจ้าสำนักลงมาสั่งการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลิวสือซุ่ยรับรู้ได้ถึงน้ำหนักบนไหล่ที่ยิ่งหนักอึ้ง
หลังกู้หานเดินจากไป เขานั่งลงข้างหน้าต่าง เหม่อมองดูตะเกียงไฟดวงนั้นเงียบๆ เป็นเวลานาน
เขาพลันคิดถึงจิ๋งจิ่วขึ้นมา คิดถึงวันเวลาที่อยู่ในหมู่บ้าน อยู่ข้างบ่อน้ำ อยู่ใต้ต้นไม้ ฟังเสียงจักจั่นร้อง
……………………………………………………………….