มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 94 สิ่งมีสลัดยากที่สุดมิใช่ลำแสงกระบี่ หากแต่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์
- ตอนที่ 94 สิ่งมีสลัดยากที่สุดมิใช่ลำแสงกระบี่ หากแต่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าหนานว่างไม่ชอบตนเอง
พูดให้ถูกคือ ตอนแรกสุดหนานว่างชื่นชอบตนเองมาก ตอนงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนถึงขนาดจะรับตนเองเป็นศิษย์
แต่หลังจากที่นางเลือกยอดเขาเสินม่อ ท่าทีที่หนานว่างมีต่อตนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หลายคนในชิงซานต่างรู้ว่าหนานว่างไม่ชอบนักพรตจิ่งหยาง มิได้มีความเคารพต่อเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่พูดถึงเขามักจะเรียกชื่อตรงๆ มิเคยขานเรียกเขาว่าอาจารย์อาเล็กเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เวลานี้เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ ถึงแม้สภาวะการบำเพ็ญเพียรจะด้อยกว่าหนานว่างอยู่มาก แต่สถานะความอาวุโสกลับมิได้ด้อยกว่าแม้เพียงนิดเดียว
ด้วยนิสัยของนาง ในเมื่อหนานว่างไม่ชอบยอดเขาเสินม่อ นางก็ย่อมไม่มีทางชอบอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินคำพูดสองประโยคนี้ กั้วตงพลันรู้สึกว่าน่าสนใจ แล้วก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไร มุมปากของนางพลันยกขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
หนานว่างไม่ค่อยสบอารมณ์ หมุนตัวกลับมาถามนางว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
กั้วตงกล่าวอย่างเรียบเฉย “มั่วซีศิษย์น้องของข้าแอบอ้างชื่อข้านัดเจ้าแห่งยอดเขาล่าเยวี่ยออกมาพบ ร่วมมือกับคนอื่นวางแผนสังหารนาง”
นางใช้คำพูดที่เรียบง่ายเพียงประโยคเดียวอธิบายเรื่องราวทั้งหมด เพราะเดิมนี่ก็เป็นแผนสังหารที่เรียบง่ายอย่างมาก แต่ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ความเรียบง่ายมักจะหมายถึงความตรงไปตรงมา และความตรงไปตรงมาก็หมายถึงความอันตรายที่แท้จริง เพราะมีแต่ยอดฝีมือที่แท้จริงถึงจะมีสิทธิ์ทำอะไรตรงไปตรงมาได้ นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวกว่าการแอบวางแผนลับๆ ตั้งไม่รู้กี่เท่า
หากวันนี้ไม่เป็นเพราะกั้วตงมาได้ทันเวลา เจ้าล่าเยวี่ยอาจจะถูกคนชุดดำผู้นั้นฆ่าตายจริงๆ ไปแล้วก็ได้ นอกเสียจากนางจะมีแผนการอะไรแอบซ่อนอยู่อีก
ปัญหาอยู่ที่ ในเมื่อมั่วซีใช้ชื่อกั้วตงหลอกเจ้าล่าเยวี่ยมาที่นี่ เช่นนั้นมั่วซีก็ย่อมไม่มีทางบอกนางแน่ แล้วเหตุใดนางจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?
หนานว่างจ้อมมองนาง ศิษย์ชิงซานหลายสิบคนก็จ้องมองนาง
สองมือที่ห้อยอยู่ข้างกายของเยาซงซานและศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกหลายคนแอบร่ายเคล็ดกระบี่รอเอาไว้แล้ว พร้อมที่จะปล่อยกระบี่ออกไปทุกเมื่อ
ท่ามกลางการจ้องมองของสายตาที่แหลมคมดุจกระบี่นับหลายสิบคู่ สีหน้าของกั้วตงยังคงเรียบเฉย มิได้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“เพราะข้ามองออกว่ามั่วซีมีปัญหา จึงถามนางไปหลายประโยค พอได้รับคำตอบก็รีบมาที่นี่ จึงไม่ทันได้แจ้งพวกท่าน”
หากเปลี่ยนเป็นคนหนึ่ง คำอธิบายนี้เรียกได้ว่าไม่มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิด
—-เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าศิษย์น้องของตนเองมีปัญหา แล้วทำไมเพียงถามคำถามไม่กี่คำถามก็ทำให้อีกฝ่ายสารภาพออกมาได้? เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดร้ายแรงอย่างมากเลยทีเดียว
แต่คนที่พูดคือกั้วตง ดังนั้นคำพูดนี้จึงมีความน่าเชื่อถือ
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถนัดการเชื่อมโยงสองจิต กั้วตงคือลูกศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ย นางย่อมต้องเชี่ยวชาญในเรื่องนี้
หนานว่างจ้องมองดวงตานาง ยังคงมิกล่าวกระไร
กั้วตงเข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวว่า “ทางสำนักย่อมต้องมีคำอธิบายให้”
แม้นจะเผชิญหน้ากับแรงกดดันของเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน นางก็มิได้มีความหวาดกลัวใดๆ
……
……
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งลงมาในหุบเขา
สายธารเปลี่ยนเป็นแส้สีทองเส้นหนึ่ง
แสงสีทองสายนั้นไม่ได้เจิดจ้าแสบตาอะไร ให้ความรู้สึกสงบ แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกหนักแน่น ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความจริงใจ คล้ายกับกำแพงเมืองนับหมื่น
ผู้บำเพ็ญพรตรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากแสงสีทอง เสื้อผ้าบนร่างกายก็เป็นสีทองเช่นเดียวกัน คล้ายว่าทำขึ้นมาจากไหมทอง
“คารวะท่านเจ้าแห่งยอดเขาหนานว่าง”
หนานว่างพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านราชองครักษ์จิน”
ในน้ำเสียงของนางมิได้มีความเคารพอะไรมากนัก แล้วก็มิได้มีความดูถูก นี่แสดงให้เห็นว่าสถานะของอีกฝ่ายนั้นมิใช่ธรรมดา
ชายอ้วนเตี้ยผู้นี้มีนามว่าจินหมิงเฉิง เป็นราชองครักษ์อยู่ในวัง มีชื่อเสียงเคียงคู่กับราชองครักษ์หนิว
ก่อนหน้านี้ ลำแสงกระบี่หลายสิบสายของสำนักชิงซานปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สร้างความตื่นตะลึงให้แก่คนในเมืองเจาเกอเป็นจำนวนมาก ราชสำนักย่อมต้องมาตรวจสอบดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อคำนึงถึงสถานะและนิสัยของสำนักชิงซาน ราชสำนักจึงมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงเชิญท่านผู้นี้มา
จินหมิงเฉิงตามลำแสงกระบี่มาถึงที่นี่ เขาย่อมต้องอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ในเวลานี้มองเห็นเจ้าล่าเยวี่ยที่กำลังถูกศิษย์ร่วมสำนักรักษาอาการบาดเจ็บให้อยู่ มีหรือที่เขาจะคาดเดาไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
มิทันรอให้เขาได้เอ่ยปากถาม เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวออกมาตรงๆ ว่า “เป็นคนของสำนักจงโจว”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ สีหน้าของจินหมิงเฉิงก็มิอาจรักษาความเคร่งขรึมเอาไว้ได้อีก เพราะเขาตกตะลึงอย่างมาก
หนานว่างทราบอยู่แล้ว จึงเพียงแค่ส่งเสียงเหอะออกมา แต่เหล่าศิษย์ชิงซานกลับเพิ่งจะทราบเรื่องนี้ สีหน้าจึงเคร่งเครียดขึ้นมา
พวกเขามิได้หวาดกลัว เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างยุ่งยาก
หากสำนักอื่นกล้าวางแผนลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ย ศิษย์ชิงซานไหนเลยจะยังรั้งรออยู่แบบนี้ พวกเขาคงจะบุกไปถึงสำนักของอีกฝ่าย จากนั้นบั่นศีรษะของฆาตกรผู้นั้นลงมา
แต่ในเมื่อเป็นสำนักจงโจว เช่นนั้นคงจำเป็นต้องมีหลักฐานบางอย่าง
เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นสำนักอันดับสองของแผ่นดินเฉาเทียน
กั้วตงกล่าว “น่าจะเป็นสำนักจงโจว เพราะสุดท้ายเขารีบร้อนหลบนี จึงใช้วิชาหลบหนีฟ้าดินออกมา”
ในใจราชองครักษ์จินคิดว่านี่ยังไม่พอ เขาหรี่ตาแล้วกล่าวว่า “หาหลักฐานก่อนแล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ ในใจเขาแอบลอบถอนใจ เพราะเขาทราบดีว่าต่อให้หาหลักฐานไม่เจอ สำนักชิงซานก็มิยอมเลิกราแต่โดยดีแน่
หากสองสำนักที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินเฉาเทียนต้องกลายเป็นศัตรูกันจริงๆ เช่นนั้นมันจะทำให้เกิดความวุ่นวายขนาดไหน? หรือว่ามันจะกลายเป็นสงครามนองเลือด?
ทันใดนั้นเอง เขาพลันรับรู้ได้ถึงไอพลังสายหนึ่งที่แผ่ออกมาจากในป่าที่อยู่ห่างออกไป
หนานว่างเองก็มองไปทางด้านนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ลองตรวจสอบพลังของอาวุธวิเศษดู มือของเขาได้รับบาดเจ็บ”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ นางก็มองไปทางกั้วตง
เพราะนางสังเกตเห็นว่ากั้วตงมองไปทางด้านนั้นก่อนราชองครักษ์จินและหนานว่าง
……
……
คนชุดดำหลบหนีอยู่ในป่า
เขาไม่มีทางใช้วิธีบินหนีไป เพราะการทำเช่นนั้นมันสะดุดตามากเกินไป ถูกคนพบเห็นได้ง่าย
อย่าว่าแต่ยอดฝีมือของราชวงศ์ในเมืองเจาเกอเลย เพียงแค่ข่ายพลังที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ของเขาอวิ๋นเมิ่งก็สามารถพบเห็นเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว
เขารู้จักศิษย์พี่เจ้าสำนักของตนเองดี
หากศิษย์พี่เจ้าสำนักมั่นใจว่าเขาทำเรื่องนี้ อีกฝ่ายจะต้องสังหารตนเองอย่างไม่ลังเล จากนั้นเอาศพไปส่งให้ชิงซานอย่างแน่นอน
หากคิดอยากจะเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะ ก็จำเป็นต้องรู้จักอดทนและโหดเหี้ยม อดทนต่อคนในวิถีเดียวกัน โหดเหี้ยมกับคนในสำนักเดียวกัน
เขายิ้มเยาะพลางครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ร่างกายหายผ่านป่าท้อผืนหนึ่งไป หลังจากนั้นมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
การหลบหนีอยู่ในป่า ย่อมต้องช้ากว่าการบินอยู่บนอากาศ แต่เขามิได้กังวลใจเลย เพราะเขาใช้วิชาหลบหนีฟ้าดิน
วิชาหลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจวได้รับการยกย่องว่าเป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน อาศัยลักษณะพิเศษของฟ้าดินในการหลบซ่อน ขุนเขาและสายน้ำ หน้าผาและต้นไม้โบราณ ล้วนแต่สามารถปกปิดร่องรอยของเขาได้
ขอเพียงไม่ถูกยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลของสำนักชิงซานใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจจับได้ เขาก็เชื่อว่าตนเองจะต้องหนีรอดไปได้
เขาเพียงแต่รู้สึกเสียดาย ทั้งๆ ที่มีโอกาสเช่นนี้แต่กลับไม่สามารถสังหารเจ้าล่าเยวี่ยได้สำเร็จ
เจ้าล่าเยวี่ยฝึกฝนจนกลายเป็นร่างกระบี่ได้สำเร็จ เสียงพิณที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเสียงนั้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
สิ่งที่มือสังหารไม่ชอบมากที่สุดก็คือการเจอกับเรื่องเหนือความคาดหมาย พวกเขาชอบมอบความประหลาดใจให้คนอื่นมากกว่า
แต่วันนี้เขาเจอกับเรื่องเหนือความคาดหมายมากเกินไป
เหมือนกับในเวลานี้ จู่ๆ เขาพลันพบว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่ตน
ใครกันที่สามารถมองทะลุวิชาหลบหนีฟ้าดินของตนเองได้?
คนชุดดำตกใจ
ทันใดนั้นเอง ดาบเล่มหนึ่งพลันฟันลงมาตรงหน้าของตน!
ตัวดาบเล่มนั้นเป็นสีดำ มีรอยสนิมเป็นดวงๆ ดูมืดสลัวเป็นยิ่งนัก ราวกับภูติผีก็มิปาน
คนชุดดำส่งเสียงตะโกนดังยาวออกมา หมัดขวากระแทกไปที่ดาบดำเล่มนั้น
สิ่งที่พุ่งตามหมัดออกไปยังมีลำแสงเล็กๆ ที่เป็นสีขาวนวลอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
เขาใช้อาวุธวิเศษประจำตัวที่สำนักมอบให้อย่างไม่ลังเล!
จะเห็นได้เลยว่าการที่ถูกคนมองทะลุวิชาหลบหนีฟ้าดินและดาบวิญญาณที่มืดมิดเล่มนั้นได้สร้างความกดดันทางจิตใจให้เขามากขนาดไหน
เสียงซ่าดังขึ้น
ดาบสีดำเล่มนั้นแตกกระจายออก!
เบื้องหน้าของคนชุดดำเต็มไปด้วยประกายไฟสลัวเป็นจุดๆ ดวงๆ เต็มไปหมด
เมื่อเจอกับประกายไฟสลัวที่คล้ายไร้สีสันเหล่านั้น ลำแสงนับหมื่นที่สาดกระจายออกมาจากอาวุธวิเศษพลันถูกลืนกินไปในพริบตา พลังดูอ่อนแรงไปทันที!
“เพลิงวิญญาณ!”
รูม่านตาของคนชุดดำหดเล็กอย่างรวดเร็ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลางตะโกนออกมาเสียงดัง
ยอดฝีมือของเผ่าหมิงที่ไม่เคยปรากฏตัวบนแผ่นดินมาเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่!
………………………………………………………