มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 1 สามปี
ทอดมองสายชลถาโถม ดั่งฝูงนกกระสาสีขาวปกคลุมท้องฟ้า
ทันใดนั้นพลันยินเสียงคลื่นซัดสาดราวกลองรบ
สันคลื่นตัดผ่านนที คล้ายกองทัพกรีฑาทัพมา
เกลียวคลื่นคุ้มคลั่ง ดั่งนักรบที่มิยอมหยุดพัก
ทุกวันเช้าเย็น เห็นจนชินชา
อู๋เอ๋อร์ไหนเลยยังหวาดกลัว
ลงเล่นในเกลียวคลื่นดั่งเดินบนที่ราบ
มองดูธงสีแดงโบกสะบัด
คล้ายปลาที่กระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ
เหยียบเกลียวคลื่นเริงระบำ
ยังมีผู้ใดไถ่ถาม
เกลียวคลื่นยาวหมื่นลี้ดั่งวาฬยักษ์
อาศัยเพียงธนูจะหยุดยั้งได้อย่างไร
คลื่นยักษ์ไร้เรี่ยวแรงถดถอย
คล้ายดั่งโดยสารรถม้าหวนคืนบูรพา
ช่างน่าโกรธแค้น
ทุกคนต่างรู้
ใช้กระบี่สังหารตัวเองด้วยถูกบังคับ
ความชอบสูญสลาย
คนชั่วพาหญิงงามล่องทะเลสาบ
ท่ามกลางหยาดฝนโปรยปราย
……
……
หมอกค่อยๆ สลายไป
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องสว่างขุนเขา
ธารสี่เจี้ยนไหลเอื่อยคล้ายในอดีตที่ผ่านมา แปรเปลี่ยนกลายเป็นแส้สีทองเส้นหนึ่ง
ปีนี้เป็นปีที่ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับชิงซาน บรรดาศิษย์ที่ฝึกฝนอยู่ที่ริมธารสี่เจี้ยนมาเป็นเวลานานเพื่อเตรียมตัวสืบทอดกระบี่ก็ไม่มีใครที่มีพรสวรรค์โดดเด่น
เมื่อเทียบกันแล้ว กลับกลายเป็นอาคันตุกะที่มาเยือนสำนักเพื่อชมพิธีสืบทอดกระบี่ที่กลายเป็นที่จับตามองมากกว่า
ยังคงเป็นเหมือนอย่างเมื่อก่อน วัดกั่วเฉิง สำนักเสวียนหลิง ต้าเจ๋อล้วนแต่ส่งตัวแทนมา สำนักเฟิงเตาเองก็ส่งทูตมาเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน ที่ทำให้คนรู้สึกตกใจก็คือสำนักจงโจวก็ส่งคนมาด้วย นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี เพราะในตอนที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนในตอนนั้น เขาอวิ๋นเมิ่งนิ่งเงียบมิได้มีท่าทีใดๆ
อาคันตุกะของสำนักจงโจวที่มาร่วมงานเป็นศิษย์รุ่นที่สองคนหนึ่ง ทว่าเหล่าศิษย์ชิงซานกลับมิได้รู้สึกว่านี่เป็นการไม่เคารพ เพราะคนผู้นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวยืนอยู่ริมธาร มองขึ้นไปบนหน้าผาอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวตนเองจะผ่านการทดสอบ และถูกอาจารย์จากยอดเขาไหนชอบพอหรือไม่
บนทางขึ้นเขาบริเวณหน้าผาและบริเวณแท่นหินที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น อาคันตุกะและศิษย์อาจารย์ของแต่ละยอดเขาที่มาชมงานชุมนุมนั่งกระจัดกระจาย
สายตาจำนวนมากมองไปยังศิษย์สำนักจงโจวผู้นั้น สายตาบางคู่แฝงเอาไว้ด้วยความเป็นปฏิปักษ์ แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าจำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อนเขาก็เข้าร่วมการประลองวิถีพรตแล้ว อายุก็น่าจะมิใช่น้อยๆ เหตุใดจึงดูอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ หน้าตาเหมือนเด็กน้อยเลย”
“ก็เหมือนกับชื่อของเขามิใช่หรือ?”
“ว่ากันว่าเขาใช้หมากล้อมเข้าสู่วิถีธรรม พรสวรรค์เป็นเลิศ ระดับวิถีหมากล้อมเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“ศิลปะทั้งสี่เป็นวิถีเล็ก จะใส่ใจไปไย อีกอย่างเขาแพ้ให้อาจารย์อาเล็กมิใช่หรือ แล้วจะบอกว่าเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?”
บริเวณหน้าผาตกอยู่ในความเงียบ
ไม่รู้ว่าใครถอนใจออกมา
ความรู้สึกเจ็บปวดและเสียดายปกคลุมกลุ่มคนเอาไว้
อาจารย์อาเล็กที่เหล่าศิษย์ชิงซานกล่าวถึงก็คือจิ๋งจิ่ว
หลายปีก่อน หลังจากคุณชายที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในภูเขาผู้นั้นเดินทางจากศาลาหนานซงเข้ามาสู่หอสี่เจี้ยน เขาก็ได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน
เพราะเรื่องราวระหว่างเขากับยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้น เพราะความสัมพันธ์ของเขากับเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดสองคนนั้น เพราะความเกียจคร้านของเขา และเป็นเพราะใบหน้าของเขา
ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งหนึ่ง จิ๋งจิ่วได้แสดงพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่อันหาได้ยากยิ่งออกมาตรงริมธารสี่เจี้ยน จากนั้นในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาก้าวออกมาเอาชนะศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างไปติดต่อกันหลายคน สุดท้ายถึงขนาดหักกระบี่ของกั้วหนานซานที่เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของชิงซานด้วย
อาจารย์ในยอดเขาทั้งเก้าคิดว่าเขาคืออัจฉริยะทางวิถีกระบี่แห่งยุค หวังจะให้เขาเป็นตัวแทนชิงซานสร้างความประหลาดใจให้กับโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ซึ่งเขาก็มิได้ทำให้ผิดหวัง ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งก่อนเขาเอาชนะถงเหยียนในการประลองหมากล้อม จากนั้นก็เอาชนะลั่วไหวหนานและถงหลู คว้าอันดับหนึ่งในการประลองวิถีพรตมาได้ เรียกได้ว่าเปล่งประกายความสามารถออกมาอย่างเจิดจรัส
สุดท้ายก็เป็นเรื่องราวที่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้กันเรื่องนั้น
คืนก่อนที่แคว้นเสวี่ยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขาได้ก้าวออกมาช่วยชีวิตผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมาก รวมไปถึงลั่วไหวหนานด้วย แต่สุดท้ายตัวเองกลับหายสาบสูญไปในหมอกอันหนาวเย็นนั้น
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้
บนหนทางแห่งการบำเพ็ญพรตอันยาวนาน นอกจากพรสวรรค์และความขยันขันแข็งแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นอายุขัยจริงด้วยสินะ
เหล่าศิษย์ชิงซานเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกเศร้าเสียใจ รู้สึกคิดถึงอาจารย์อาเล็กคนนั้นเป็นที่สุด
จิ๋งจิ่วไม่ผูกสัมพันธ์กับศิษย์ร่วมสำนัก อีกทั้งเรื่องราวระหว่างเขากับยอดเขาเหลี่ยงว่างเหล่านั้น ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ในชิงซานไม่ค่อยดีเท่าไร
แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
อันดับแรกคือการแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขาในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่ชิงซานอย่างมาก อันดับต่อมาคือเรื่องที่เกิดขึ้นในการประลองวิถีพรต
เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว เหล่าศิษย์ชิงซานย่อมต้องรู้ว่าจิ๋งจิ่วต้องพยายามมากแค่ไหนเพื่อเรื่องนี้
ศิษย์เก้าคนที่ถูกเขาช่วยกลับมากลายเป็นผู้พิทักษ์ชื่อเสียงของจิ๋งจิ่วที่จงรักภักดีที่สุด มีครั้งหนึ่งเยาซงซาน เหลยอี้จิงและศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างคนอื่นรวมสี่คนได้ยินเจี่ยนหรูซานแอบพูดเยาะเย้ยว่าจิ๋งจิ่วไม่ประมาณตน จึงโมโหจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ลำแสงกระบี่สี่เล่มพุ่งเข้าไปฟาดฟันเขาจนเลือดท่วมกาย ถึงแม้เจี่ยนหรูอวิ๋นที่เป็นศิษย์อันดับสี่จะเข้ามาช่วยออกหน้าให้น้องชายก็ไม่เป็นผล หากมิเป็นเพราะกั้วหนานซานและกู้หานเข้ามาช่วยห้ามปราม และสั่งให้เจี่ยนหรูซานโขกศีรษะคำนับขอขมายอดเขาเสินม่อแล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เป็นแน่
สำนักจงโจวมีสัมพันธ์อันดีกับสำนักชิงซาน การส่งคนมาร่วมชมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยน นี่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับจิ๋งจิ่ว
ในเรื่องราวนั้น สาเหตุที่เขาและไป๋เจ่าหายสาบสูญไปก็เพราะช่วยลั่วไหวหนาน
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ —- เขาไม่อยู่แล้ว อย่างนั้นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาย่อมต้องเป็นเรื่องดี
……
……
บริเวณหน้าผาของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างมีเสียงถอนใจเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ทุกอย่างล้วนคือชะตาชีวิต บางคนชะตาชีวิตดีหน่อย”
กั้วหนานซานขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้ว่าคนที่พูดคือเหลยอี้จิง ส่วนคนที่เขาพูดถึงก็คือลั่วไหวหนาน
ศิษย์น้องที่ก่อนนี้เคารพชื่นชมเขามากที่สุดผู้นี้ เวลานี้ได้กลายเป็นสาวกที่คลั่งไคล้จิ๋งจิ่วมากที่สุด ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงจะฟังดูไม่ค่อยสบายใจ
โชคของลั่วไหวหนานนั้นดีจริงๆ ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มิได้บาดเจ็บจนส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียร ยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าเขาได้พบกับประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ในที่ราบหิมะ จินตันของเขาไม่เพียงไม่ดับ แต่กลับยิ่งสว่างขึ้น สภาวะรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง
หากบอกว่าเมื่อก่อนนี้ กั้วหนานซานที่บรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจรยังพอจะสู้กับเขาได้อย่างสูสี เช่นนั้นเวลานี้ก็ได้ถูกเขาทิ้งห่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
ที่กั้วหนานซานขมวดคิ้วมิใช่เป็นเพราะอิจฉาหรือไม่ยอมรับ หากแต่เป็นเพราะเขาไม่ชอบที่เหลยอี้จิงพูดแบบนี้
เขามองว่าหากนี่เป็นเรื่องของโชคชะตาจริงๆ เช่นนั้นก็หมายความว่าลั่วไหวหนานก็น่าจะเป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำการใหญ่ สมควรแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของฝ่ายธรรมะ
กู้หานมองดูสีหน้าเขา ก่อนจะกล่าวกับเหล่าศิษย์น้องว่า “หลายปีมานี้สหายลั่วออกไปสังหารมารกำจัดปีศาจทั่วทุกที่ มิได้สนใจเลยว่าการบำเพ็ญเพียรของตนจะได้รับผลกระทบ มิได้สนใจแม้กระทั่งความเป็นความตาย จิตใจที่มุ่งมั่นเช่นนี้ช่างน่านับถือยิ่งนัก ควรค่าแก่การที่ศิษย์รุ่นเราจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อย่าได้พูดจาส่งเดชอีก”
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างรับคำ
กู้หานมองไปยังแท่นหินแห่งหนึ่งบนหน้าผา แลดูเสียใจเล็กน้อย
ยอดเขาเสินม่อยังคงไม่ปรากฏตัว
ศิษย์ที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนเหล่านั้นเองก็เสียใจ
พวกเขาล้วนแต่อยากกลายเป็นศิษย์ของยอดเขาเสินม่อ
……
……
“ไม่เคยลงมาจากยอดเขาเสินม่อเลยสักครั้ง อาจารย์อาของพวกเราผู้นี้ช่างคล้ายกับปรมาจารย์อาในอดีตผู้นั้นเสียจริง”
“ว่ากันว่าใจแห่งเต๋าของนางเงียบเหงา ก็เลยตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ในยอดเขา ย่อมไม่มีทางรับศิษย์อีก”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? หรือเป็นเพราะการตายของอาจารย์อาจิ๋งจิ่ว นางเลยเสียใจอย่างมาก?”
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ก่อนนี้นางฝึกอยู่บนยอดเขากระบี่ตั้งหลายปี หรือว่าตอนนั้นนางก็เสียใจเหมือนกัน?”
“ต่อให้เจ้าชอบอาจารย์อาจิ๋งก็อย่าได้คิดปฏิเสธ ในงานเหมยฮุ่ยครั้งนั้น ภาพอาจารย์อาจิ๋งเสียบดอกไม้ให้อาจารย์อาเจ้า คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองเห็น”
“แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับว่าเป็นคู่รักบำเพ็ญพรต อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของอาจารย์อาจิ๋งและเซียนไป๋เจ่าก็ดีมากเหมือนกัน หากไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ใครจะรู้บ้างว่าตอนนี้จะกลายเป็นอย่างไร”
“อาจารย์อาจิ๋งเพิ่งจะเจอหน้าสหายไป๋เจ่าครั้งแรกในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย จะเป็นไปได้อย่างไร”
“ศิษย์พี่เยาที่อยู่ยอดเขาเหลี่ยงว่างเคยเล่าให้ฟังว่าในการประลองวิถีพรต นางต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอาจารย์อาจิ๋ง พวกเจ้าก็รู้ว่าตอนนั้นอาจารย์อาต้องแบกรับความกดดันมากมายเพียงใด? แล้วเหตุใดนางต้องสนับสนุนเขาเช่นนี้ด้วย?”
“ถูกต้อง หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็คือสำนักจงโจวมีตราประทับหมื่นลี้สองอัน ลั่วไหวหนานใช้ไปอันหนึ่ง ไป๋เจ่ายังมีอีกอันหนึ่ง แต่เหตุใดนางถึงไม่ออกมา?”
“ก็ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันไง หากไม่ได้รักกันแล้ว เหตุใดต้องทำแบบนี้?”
เหล่าศิษย์หญิงของยอดเขาชิงหรงกำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อย แต่พวกนางกลับไม่รู้เลยว่าคำพูดของนางได้ถูกศิษย์สำนักจงโจวผู้หนึ่งได้ยินเข้า
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลงมาบนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ มองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ เพียงแค่ผอมลงกว่างานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้นเล็กน้อย
ถงเหยียนมองไปยังแท่นหินที่ไม่มีคน
หลังจบการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาก็เริ่มเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ถึงแม้จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในการประลองวิถีพรต เขาก็ยังไม่ออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะออกมา หลังรู้ว่าสำนักจงโจวจะส่งคนมาร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ที่ชิงซาน เขาก็เลยอาสาขอมาร่วมงาน
……
……
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ยอดเขาเสินม่อโดดเดี่ยวที่สุด
ริมหน้าผามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ โดดเดี่ยวเช่นเดียวกัน
กระทั่งสายลมก็ยังพัดเป็นช่วงๆ พัดพาผมสั้นของนางพลิ้วไหวอย่างแผ่วเบา ยิ่งดูยุ่งเหยิง
สามปีแล้ว
นางไม่เคยหวีผมเลย
เพราะไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วเอาหวีไม้จันทราเล่มนั้นไปวางไว้ที่ใด
นางมิได้มัดเปียอีกเช่นกัน
เพราะว่ามัดไม่เป็น
ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไป๋เฉิงหรือว่ายอดเขาเสินม่อ ในเวลาสามปีนี้นางทำอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือบำเพ็ญเพียร
ก็เหมือนกับตอนที่อยู่บนยอดเขากระบี่เมื่อครั้งอดีต
ไม่มีใครรู้ว่านางบำเพ็ญเพียรยากลำบากขนาดไหน สภาวะรุดหน้ารวดเร็วเพียงใด
บำเพ็ญเพียรได้เพียงสิบกว่าปี นางก็มองเห็นความหวังที่จะเข้าสู่ขั้นคเนจร
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป จะต้องสั่นสะเทือนทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตแน่นอน
“มีข่าวใหม่ขอรับ”
เสียงของกู้ชิงดังขึ้นด้านหลังนาง
เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าเรียบเฉย กล่าวว่า “ว่ามา”
“คล้ายกับเมื่อหลายวันก่อน เขาสังหารปีศาจที่เมืองอวี้โจวไปตัวหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บ ทุกคนพากันแส้ซ้องสรรเสริญ แต่กลับถูกเขาห้ามเอาไว้ บอกว่าหากจิ๋งจิ่วยังอยู่….”
กู้ชิงกล่าว “จากนั้นเขาก็มิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่ถอนใจ แล้วเดินจากไป”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “อารมณ์?”
กู้ชิงกล่าว “ข้าไม่ได้ถามตรงๆ แต่ดูจากที่บรรยายแล้ว น่าจะหวนคิดคำนึงเจ็ดส่วน ผิดหวังสามส่วน ความเสียใจและทุกข์ใจไม่มีเหลือแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าคิดว่ายังไง?”
กู้ชิงกล่าว “นี่เป็นอารมณ์อย่างที่เจ็ดที่เขาแสดงออกมา แต่ละครั้งจืดจางลงไปเรื่อยๆ แต่นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะเวลามักจะชะล้างทุกสิ่งจนเจือจาง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่ว่า?”
……
……
เดิมลั่วไหวหนานก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคของผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้ชื่อเสียงเขายิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก ไม่มีใครจะเทียบได้
หลายคนไม่เข้าใจ เหตุใดเขาไม่รีบฉวยโอกาสบำเพ็ญเพียร หากแต่ออกเดินทางสังหารมารกำจัดปีศาจเป็นระยะๆ
คำตอบของเขาคือ ‘ชีวิตของเขาคือชีวิตที่จิ๋งจิ่วและศิษย์น้องมอบให้ เช่นนั้นก็ไม่อาจใช้มันไปกับตัวเองทั้งหมดได้ ควรจะตอบแทนคืนให้กับโลกนี้บ้าง’
……
……
กู้ชิงกล่าว “แต่ข้ารู้สึกว่ามันปกติเกินไป ปกติจนมีความรู้สึกเหมือนจงใจ คล้ายว่าเขาจงใจทำให้คนอื่นจดจำเรื่องนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “บางทีอาจจะรู้สึกผิด”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ก็เป็นได้”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เรื่องเมื่อสามปีก่อน เจ้าคิดอย่างไร?”
กู้ชิงกล่าว “ข้ายังคงไม่เชื่อ”
จิ๋งจิ่วที่อยู่ในเรื่องนั้นสมบูรณ์แบบมากเกินไป คล้ายวีรบุรุษที่มีอยู่แต่ในนิทานอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเองก็ไม่เชื่อ เพราะนั่นมิใช่จิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นคนที่ลั่วไหวหนานอยากจะเป็น”
หากจิ๋งจิ่วในเรื่องนั้นคือคนที่ัลั่วไหวหนานจินตนาการขึ้นมา เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเช่นกัน
เหตุใดลั่วไหวหนานถึงต้องแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังทิศเหนืออันห่างไกล กล่าวว่า “สามปีแล้ว”
กู้ชิงกล่าว “ใช่”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ควรฆ่าได้แล้ว”
……………………………………………..