มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 13 หลิ่วสือซุ่ยที่มิได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ชั้นเมฆที่อยู่เบื้องล่างของหน้าผาบนยอดเขาเทียนกวงถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ดูไปก็คล้ายกับที่ราบหิมะ
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมผา สายตามองดูทิวทัศน์เบื้องล่าง ในใจพลันรู้สึกอยากจะไปเมืองไป๋เฉิง แต่หลังจากนั้นก็สะกดความคิดนี้เอาไว้ในใจ
เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
นางหมุนตัวกลับไป มองดูร่างกายที่สูงใหญ่ร่างนั้น คารวะพลางกล่าว “คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักยืนอยู่หน้าป้ายหิน สองมือไพล่หลังมองดูมันพลางกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามายังยอดเขาเทียนกวงสินะ?”
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยมองตามขึ้นไป ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ปลอกกระบี่ปลอกนั้น นางพยายามสะกดความรู้สึกตกตะลึงภายในใจ กล่าวออกมาเสียงเบาๆ ว่า “ใช่”
“ตอนนั้นเมื่อคิดถึงว่าแม้นเจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของอาจารย์อาเล็ก แต่อายุเจ้ายังน้อย หลายๆ เรื่องเอาไว้ค่อยๆ บอกเจ้าก็น่าจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ดูแล้วการทำแบบนี้กลับไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เพราะก่อนที่เจ้าจะทำอะไร คล้ายจะไม่เคยชินกับการถามความเห็นของผู้อื่น”
เจ้าสำนักหมุนตัวกลับมา เดินมายืนอยู่ข้างนาง มองลงไปยังทะเลเมฆที่อยู่เบื้องล่าง
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “กระบี่แบกสวรรค์เป็นเพียงแค่ปลอกกระบี่? เรื่องแบบนี้ต่อให้ข้าถามออกมามันก็ไม่มีความหมาย”
เจ้าสำนักกล่าวว่า “สิ่งที่เรียกว่าความลับเช่นนี้ มันไม่มีความหมายอะไรจริงๆ นั่นแหละ วันนี้ที่ข้าเชิญเจ้ามา ก็เพื่อจะถามเรื่องการตายของลั่วไหวหนาน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่เกี่ยวกับข้า”
เจ้าสำนักกล่าว “จิ๋งจิ่วยังไม่แน่ว่าจะตาย เหตุใดเจ้าจะต้องให้เขาตายให้ได้?”
ในเวลาแบบนี้ หากยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับตนอีก มันก็ดูจะไม่ค่อยเคารพเท่าไร
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “เขาอยากให้จิ๋งจิ่วตาย ข้าก็อยากให้เขาตาย”
เจ้าสำนักกล่าว “เรื่องใดๆ ล้วนแต่มิอาจปิดบังคนได้ทุกคน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อย่างเช่นที่พวกท่านล้วนคาดเดาได้แล้ว แต่กลับไม่ยอมทำอะไร? ข้ารอพวกท่านสามปี ในเมื่อพวกท่านไม่ทำ อย่างนั้นข้าก็ทำเอง”
เจ้าสำนักกล่าว “สามปีนี้ลั่วไหวหนานสดงออกดีมาก แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกหวั่นไหวไปบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีหลักฐาน”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “สำนักจงโจวเองก็ไม่มีหลักฐาน”
เจ้าสำนักกล่าว “ถูกต้อง กับดักอันนี้พวกเจ้าวางเอาไว้ได้ดีมาก ต่อให้มีคนสงสัยเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่มีวันหาหลักฐานใดๆ เจออยู่ดี ส่วนคนที่เจ้าไปหาก็ไม่มีวันที่จะทรยศเจ้า”
ไม่ว่าจะเป็นเรือนเป่าซู่หรือว่าพระสนมหุูก็ล้วนแต่ไม่มีเหตุผลและความกล้าที่จะทรยศยอดเขาเสินม่อ
เจ้าสำนักกล่าวต่อว่า “แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเรื่องนี้มันจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเรากับเขาอวิ๋นเมิ่ง?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “คนที่ลงมือเป็นคนสุดท้ายคือถงเหยียน นี่เป็นการฆ่ากันเองระหว่างศิษย์ของสำนักจงโจว”
เจ้าสำนักกล่าว “หากมีคนคาดเดาถึงอะไรบางอย่างได้จริงๆ มันจะเกิดปัญหาได้ ถึงเวลานั้นคำว่าประชาชนตกอยู่ในทุกขเวทนาคงจะได้เอามาใช้จริงๆ”
สำนักชิงซานและสำนักจงโจวเปิดศึกกัน ประวัติศาสตร์ที่จิ๋งจิ่วเคยคาดการณ์เอาไว้ตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอจะเกิดขึ้น
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น”
“ควรจะบอกว่าเจ้าขี้เกียจคิดมากกว่า? เจ้าหน้าที่คนนั้นชื่อซือเฟิงเฉิน? ชื่อนี้ใช่ไหม ความหวาดกลัวที่เขามีต่อเจ้ามันไม่แน่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว”
เจ้าสำนักพลันถามว่า “เจ้าเดาได้แล้วใช่ไหมว่าเขาคือใคร?”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน มิได้ตอบคำถามเขา หากแต่ถามกลับไปว่า “กระบี่พรหมจรรย์เป็นของใคร?”
เจ้าสำนักเองก็มิได้ตอบคำถามของนาง
……
……
ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมผา ฟังเสียงร้องมีความสุขของเหล่าวานรที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อ ในใจครุ่นคิดเงียบๆ
หลังจากที่ไปพบพระสนมหูในคืนนั้น ฝ่าบาทเสินหวงทรงให้ราชองครักษ์จินนำเอากระบี่พรหมจรรย์มามอบให้นาง นี่ก็แสดงว่าเรื่องนี้มิได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่คิด
กระบี่พรหมจรรย์อานุภาพร้ายกาจ เมื่ออยู่ในมือนางเรียกได้ว่ามิได้ด้อยไปกว่ากระบี่มิคำนึง ดังนั้นในคืนนั้นจึงโจมตีลั่วไหวหนานจนบาดเจ็บสาหัสได้
กู้ชิงมาถึงริมผา กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ตรวจสอบเรียบร้อย เป็นกระบี่ของผู้หลบหนีกระบี่”
เจ้าล่าเยวี่ยค่อนข้างประหลาดใจ เลิกคิ้วถามว่า “คนที่อยู่บนทะเล?”
ปรมาจารย์รุ่นที่สามของสำนักเสวียนอินหลบซ่อนอยู่ใต้ดิน ยิ่งไปกว่านั้นไม่ถนัดในการขี่กระบี่ หลานของจักรพรรดิผู้นั้นตอนนี้น่าจะแบกกระดองเต่าอยู่ใกล้ๆ ต้าเจ๋อ เช่นนั้นก็เหลือเพียงเซียนกระบี่ขั้นทะลวงสวรรค์ผู้นั้นเท่านั้น
กู้ชิงพยักหน้า สีหน้าดูขึงขัง
ในข่าวลือเล่าว่า เซียนกระบี่ขั้นทะลวงสวรรค์ที่ถูกข่ายพลังชิงซานบีบให้ต้องไปขังตัวเองอยู่บนเกาะหมอกผู้นั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเทพกระบี่ซีไห่คนปัจจุบัน
เสินหวงยืมกระบี่ฆ่าคน พระองค์ทรงมีความปรารถนาใดกันแน่? เป้าหมายของพระองค์คือสำนักกระบี่ซีไห่หรือว่าปู้เหล่าหลิน? หรือว่าพระองค์เพียงแค่ต้องการร่วมมือกับสำนักชิงซานเพื่อข่มขวัญสำนักจงโจว?
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ สีหน้าของเจ้าล่าเยวี่ยก็ยิ่งขาวซีด พลางไอออกมาเล็กน้อย
ในการสังหารลั่วไหวหนาน นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อยทีเดียว ตอนที่อยู่ในหอเจินชี่ นางต้องใช้ปราณก่อกำเนิดไปไม่น้อยเพื่อปิดบังอาการบาดเจ็บ ในเวลานี้จึงอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
กู้ชิงมองดูนาง รู้สึกเป็นห่วง
“ส่งหนังสือไปยังยอดเขาทั้งเก้า ข้าจะเก็บตัว”
เจ้าล่าเยวี่ยมองไปทางเหนือ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
กู้ชิงเรียกเด็กหนุ่มแซ่หยวนมาก สั่งกำชับไปสองสามประโยค จากนั้นกล่าวว่า “ข้าเองก็จะเริ่มเก็บตัวเช่นกัน หากงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเริ่มขึ้น อย่าลืมปลุกข้าด้วย”
หมอกหนาวเย็นปกคลุมที่ราบหิมะ งานประลองวิถีพรตไม่อาจดำเนินได้ งานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็ย่อมไม่มีทางจัดขึ้นได้
วันที่งานชุมนุมเหมยฮุ่ยเริ่มขึ้น ก็หมายความว่าหมอกหนาวเย็นได้สลายไปแล้ว
เด็กหนุ่มแซ่หยวนเข้าใจความหมายของเขา แล้วก็คล้ายคาดเดาได้ว่าพวกเขาไปทำเรื่องอะไรมา จึงกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “ข้าไม่มีทางพูดกับทางนั้น”
กู้ชิงยิ้มพลางลูบศีรษะเขา มิได้กล่าวกระไร
เด็กหนุ่มแซ่หยวนคิดถึงเรื่องนี้ จึงกล่าวอย่างทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหลิ่วสือซุ่ย ที่แท้เขาก็ไม่เคยลืมอาจารย์อาจิ๋ง”
“ข้าเคยบอกแล้ว เขาต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของยอดเขาเสินม่อ”
กู้ชิงกล่าวกับเขาว่า “นอกจากนี้บอกทางนั้นให้ช่วยดูหมู่บ้านให้ด้วย ข้าไม่อยากให้อาจารย์ต้องโมโหหลังกลับมา”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนรู้สึกปวดหัว กล่าวว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าทางนั้นจะช่วยพวกเรา?”
กู้ชิงมิได้กล่าวกระไร เขาเดินไปยังป่าที่อยู่ด้านล่างหน้าผา
สถานที่เขาจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรมิใช่ถ้ำ หากแต่เป็นกระท่อมในป่าที่เขาเคยพักอาศัยอยู่เป็นเวลานานหลังนั้น
เหล่าวานรที่อยู่ในป่าส่งเสียงร้องขึ้นมา แสดงออกถึงการต้อนรับเขา
กู้ชิงนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
ในอดีตหลิ่วสือซุ่ยแอบกินตานปีศาจ ทำให้เกิดอาการผิดปกติจนถูกยอดเขาซั่งเต๋อขังเอาไว้ในคุกสะกดมาร ถูกลงโทษตลอดทั้งวันทั้งคืน ดูแล้วจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน
เขาจำสิ่งที่จิ๋งจิ่วสั่งกำชับเอาไว้ก่อนจากไปได้ เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้พวกวานร ให้พวกมันไปตามคนมาช่วย
วันที่สอง หลิ่วสือซุ่ยก็ถูกปล่อยออกมา
กระทั่งถึงตอนนี้ ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างยังคงคิดว่านี่เป็นคำสั่งของท่านเจ้าสำนัก
ตอนนั้นกู้ชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือใคร แต่หลายปีมานี้เขาสื่อสารกับพวกวานรมากขึ้น จึงรู้แล้วว่าตอนนั้นพวกมันไปยังยอดเขาไหน
……
……
ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหาร ฮูหยินของเจ้าสำนักจงโจวเคยเดินทางมาชิงซานเพื่ออธิบายเรื่องราว
ครั้งนั้นเจ้าล่าเยวี่ยไม่ตาย
หลิ่วสือซุ่ยเป็นศิษย์ที่ถูกขับออกจากชิงซาน แต่ลั่วไหวหนานตายแล้ว
ดังนั้นเจ้าสำนักชิงซานจึงเดินทางไปยังเขาอวิ๋นเมิ่งด้วยตัวเอง
เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาสองร้อยปีมานี้
หลังจากนั้นหลายวัน สำนักจงโจวและสำนักชิงซานก็ออกมาประกาศร่วมกัน โดยยืนยันว่าหลิ่วสือซุ่ยคือฆาตกรที่ัสังหารลั่วไหนหนาน ขอให้ผู้บำเพ็ญพรตทั่วทั้งแผ่นดินช่วยกันไล่ล่า ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักไหน หรือจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก ขอเพียงสามารถสังหารหรือว่าจับตัวหลิ่วสือซุ่ยมาได้ หรือสามารถให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องมากพอ ช่วยให้สำนักจงโจวและสำนักชิงซานสังหารหรือจับตัวหลิ่วสือซุ่ยมาได้ ก็จะได้รับของรางวัลจากทั้งสองสำนัก
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งโลกบำเพ็ญพรต อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ ของรางวัลที่สำนักจงโจวและสำนักชิงซานมอบให้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างมากแน่นอน
วิชาขั้นสูงสองวิชาและอาวุธวิเศษชั้นสวรรค์สองชิ้น
ภาพเหมือนของหลิ่วสือซุ่ยปรากฏขึ้นบนประตูเมือง บนถนน ในเหลาสุรา ทั่งทุกแห่งบนแผ่นดินเฉาเทียน
กระทั่งเรือสินค้าที่มุ่งหน้าออกไปยังทะเลก็ยังมีรูปของเขา
ใบหน้าของเขา นิสัย จุดเด่นของวิชาที่ใช้ ทั่วทั้งโลกต่างรับรู้
ด้วยสภาวะของเขาย่อมไม่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าผู้หลบหนีกระบี่
แต่ในความเป็นจริงเขามิได้ต่างอะไรกับผู้หลบหนีกระบี่ทั้งสามคนนั้นเลย
ชั่วชีวิตนี้เขาจะถูกไล่ฆ่า ไม่มีเวลาให้พักหายใจ มิได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก
………………………….