มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 2 ถงเหยียนมาเยือน
ลมบนยอดเขาค่อนข้างเย็น แต่มิได้มีเสียงหวีดหวิว
เหล่าวานรที่อยู่ในป่าด้านล่างหน้าผาก็เงียบเสียงไปแล้ว
สงบเงียบไร้ซุ่มเสียง
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ฆ่าลำบาก บางทีคงต้องรอซักอีกหลายปี”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “พวกเรารุดหน้า เขาเองก็รุดหน้า หากต้องรอถึงตอนที่ฆ่าได้ค่อยฆ่า เช่นนั้นต้องรออีกกี่ปี?”
กู้ชิงกล่าว “ข้าเคยคำนวณดู ร้อยปีแรกข้าไม่มีความหวังใดๆ แต่ถ้าข้าสามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นแหวกทะเลได้ ร้อยปีหลังน่าจะมีโอกาส”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับมีความรู้สึกแน่วแน่ที่ทำให้รู้สึกหวั่นไหว
ถึงแม้นจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่มีอายุขัยยืนยาวกว่าคนธรรมดา แต่จะมีใครบ้างที่วางแผนเตรียมการทำเรื่องเรื่องหนึ่งยาวนานเป็นร้อยปี?
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเองก็เคยคำนวณเหมือนกัน เร็วที่สุดก็ต้องรอหลังจากนี้อีกห้าปี ข้าถึงจะมีโอกาสก้าวข้ามเขา”
สามปีบวกห้าปีก็คือแปดปี
นางไม่รู้เรื่องที่จิ๋งจิ่วเคยวิจารณ์ตัวเองตอนที่อยู่ในถ้ำอันหนาวเย็นเมื่อสามปีก่อน ไม่อย่างนั้นนางจะต้องได้ใจเป็นแน่ — ตอนนั้นจิ๋งจิ่วบอกไป๋เจ่าว่าเจ้าล่าเยวี่ยใช้เวลาอีกเพียงสิบปีก็จะสามารถก้าวข้ามลั่วไหวหนานได้ ดังนั้นเขาจึงเตรียมจะใช้กระบี่มิคำนึงส่งข้อความถึงนาง ให้นางสังหารลั่วไหวหนานหลังผ่านไปสิบปี
กู้ชิงกล่าว “เซียนล้างแค้น ร้อยปีไม่สาย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเป็นผู้หญิง”
กู้ชิงยิ้มเจื่อนมิกล่าวกระไร
“ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาไม่ตาย โลกในสายตาข้าล้วนแต่ดูสกปรก ใจแห่งเต๋าเปรอะเปื้อน ไม่สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจรได้เลย หากเป็นเช่นนั้นก็จะยิ่งไม่สามารถฆ่าเขาได้”
“เข้าใจ”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือสำนักจงโจวฝึกวิชาพลังจักรวาลฝ่ายธรรมะ หากเขาทำเรื่องนี้จริง เช่นนั้นเขาสามารถรักษาใจแห่งเต๋าในตอนที่ฝึกวิชาได้อย่างไร? ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่กลับรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว”
กู้ชิงกล่าว “ข้าเองก็ไม่เข้าใจ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “บ้านเจ้าสงสัยหรือเปล่า?”
ในเวลาสามปีนี้นางกับกู้ชิงบำเพ็ญเพียรอยู่ในยอดเขาเสินม่อ มิได้ออกไปจากเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว การจะทราบข่าวคราวในโลกภายนอกนั้นมิใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องของลั่วไหวหนานด้วย
เรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นครอบครัวของกู้ชิงช่วยสืบมาให้
ตอนนี้สถานะภายในตระกูลของกู้ชิงยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดใกล้จะไล่ตามกู้หานทันแล้ว
ถึงแม้กู้หานจะเคยพ่ายแพ้ให้จิ๋งจิ่ว แต่เมื่อปีก่อนเขาก็บำเพ็ญเพียรถึงขั้นมิประจักษ์ระดับสูงแล้ว
เพราะจิ๋งจิ่วตายไปแล้ว แต่เจ้าล่าเยวี่ยยังอยู่ อีกทั้งชื่อเสียงที่เขาทิ้งเอาไว้ อนาคตของยอดเขาเสินม่อจึงดูดี
ตอนนี้กู้ชิงคอยดูแลทุกเรื่องราวบนยอดเขาเสินม่อ รวมไปถึงวานรเหล่านั้นด้วย
ทางตระกูลย่อมต้องสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
กู้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าถามไปหลายเรื่อง ในตระกูลน่าจะเดาไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกเราสนใจจริงๆ คือลั่วไหวหนาน เพียงคนเดียว”
วานรภายในป่าพลันส่งเสียงร้องขึ้นมา
กู้ชิงกล่าว “เสี่ยวหยวนมาแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่พูดเรื่องนี้อีก
หลังจากคืนนั้นเมื่อสามปีก่อน นางและกู้ชิงก็มิได้พูดเรื่องลั่วไหวหนานต่อหน้าเด็กหนุ่มแซ่หยวนอีก
มิใช่เป็นเพราะสงสัยเขา หากแต่เป็นเพราะพวกเขาคาดเดาได้ถึงความเป็นมาของอีกฝ่าย จึงไม่อยากดึงเขามาพัวพันด้วย ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการรักษาความลับ เพราะเรื่องที่พวกเขาคิดจะทำนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก
ในคืนนั้นเมื่อสามปีก่อน เจ้าล่าเยวี่ยกับกู้ชิงเคยบอกว่าพวกเขาไม่เชื่อเรื่องที่ลั่วไหวหนานเล่ามา
ยอดเขาซั่งเต๋อน่าจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขากลับไม่มีการตอบสนองใดๆ
นี่แสดงให้เห็นว่ายอดเขาซั่งเต๋อไม่เชื่อการวิเคราะห์ของพวกเขา
ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายมากกว่านั้นก็คือยอดเขาซั่งเต๋อเชื่อในการวิเคราะห์ของพวกเขา แต่กลับไม่ยอมทำอะไร
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เด็กหนุ่มแซ่หยวนมาถึงริมผา ใบหน้าดูประหลาดใจ
“อาจารย์ ถงเหยียนขอเข้าพบท่าน ให้พบหรือไม่ขอรับ?”
……
……
น้อยครั้งนักที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างจะมีแขกจากสำนักอื่นมาเยือน
วันนี้มีแขกขึ้นมาเยือนยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง ลำแสงกระบี่ตรงบริเวณหน้าผาหายไป
ถึงแม้จะเป็นแขก แต่ถ้าให้พวกเขามาเห็นเพลงกระบี่ของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานก็ดูจะมิค่อยเหมาะเช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นแขกที่มาเยือนในวันนี้มาจากสำนักจงโจว
นี่คือสิ่งยืนยันว่าความสัมพันธ์ของสำนักจงโจวและสำนักชิงซานนั้นได้รับการฟื้นฟูแล้ว แต่เหล่าศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างยังคงมีความระแวงอยู่
บรรยากาศภายในถ้ำบนหน้าผามิได้ตึงเครียดเหมือนอย่างที่เหล่าศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างคิดเอาไว้
ถงเหยียนคารวะกั้วหนานซาน กู้หาน เจี่ยนหรูอวิ๋นและหม่าหวา จากนั้นนั่งลง
ทั้งสองฝ่ายสีหน้าเรียบเฉย แต่มิได้เรียบเฉยแบบแปลกหน้า หากแต่เรียบเฉยแบบมีความเชื่อใจกัน
“ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้นพวกข้าได้เคยบอกแล้ว เมื่อใดที่พวกเจ้ามาเยือนชิงซาน นั่นต่างหากถึงจะมีความหมาย” กั้วหนานซานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ถึงแม้วันนี้จะมีเจ้าเพียงคนเดียว แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพียงแต่เสียดายที่ิศิษย์น้องโหยวกับหรูซุ่ยยังเก็บตัวอยู่ ไม่อย่างนั้นคนของฝั่งข้าคงจะมากันครบ”
ถงเหยียนมองเขา
ในฐานะที่กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับหนึ่ง สถานะเทียบเท่าลั่วไหวหนานในสำนักจงโจว พรสวรรค์ในการบำเพ็ญพรตย่อมต้องไม่ธรรมดา แต่เขากลับไม่ค่อยเก็บตัวฝึกวิชา ไม่อย่างนั้นสภาวะน่าจะรุดหน้าอย่างรวดเร็ว หรือเขาไม่กลัวว่าหลังจากจัวหรูซุ่ยออกมาจากการเก็บตัวแล้วจะแย่งชิงความโดดเด่นทั้งหมดไป?
แต่แน่นอน เขาเข้าใจว่ากั้วหนานซานมีเรื่องราวมากมายที่จำเป็นต้องจัดการ นอกจากยอดเขาเหลี่ยงว่างแล้วยังมีเรื่องบางเรื่องบนยอดเขาเทียนกวง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยังมีเรื่องของพวกเขาด้วย
เขามองกั้วหนานซาน พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ลำบากเจ้าหน่อยนะ”
กั้วหนานซานเข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “ถึงแม้ศิษย์น้องไป๋จะไม่อยู่ แต่ภาพที่นางบรรยายเอาไว้เหล่านั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหัวสมองของข้า สำนักของเจ้าและข้ามีเหตุผลมากมายให้เป็นมิตรกัน ไม่มีเหตุผลใดให้บาดหมางกัน เรื่องนี้จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป จากข่าวที่ส่งมาจากเมืองไป๋เฉิง แคว้นเสวี่ยน่าจะสงบไปมากกว่าร้อยปี เผ่าหมิงตอนนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหว พวกเรามีเวลามากพอที่จะจัดการเรื่องราวภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราให้เรียบร้อย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต”
ถงเหยียนกล่าว “พรรคมารสูญสิ้นอำนาจไปหลายปี ยากจะฟื้นฟูกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ”
กั้วหนานซานกล่าว “ดังนั้นจุดสำคัญยังคงเป็นปู้เหล่าหลิน”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ตอนนี้เขาไปถึงไหนแล้ว?”
กั้วหนานซานกล่าว “ยังห่างจากทะเลอีกไกล”
ถงเหยียนกล่าว “สี่ปีแล้วสินะ?”
“ค่อนข้างช้า” กู้หานกล่าว “นิสัยเด็กคนนั้นดื้อรั้นเกินไป อีกทั้งใจดี หลายๆ เรื่องไม่ยอมทำ ยากที่จะได้รับความเชื่อใจ”
ถงเหยียนส่ายศีรษะ กล่าวว่า “แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนี้ สิ่งที่ออกมาจากใจนั้นคือความจริง”
หม่าหวาที่ก่อนหน้านี้นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ยิ้มตาหยีพลางกล่าววว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เขายิ่งดื้อรั้น ยิ่งแปลกประหลาด ปู้เหล่าหลินก็ยิ่งไม่สงสัยเขา”
ถงเหยียนกล่าว “ถูกต้อง แต่มันก็ช้าจริงๆ นั่นแหละ บางทีเราน่าจะช่วยเขาทำอะไรเสียหน่อย”
กู้หานกล่าว “ต้องทำยังไง? หรือพวกเราต้องช่วยทำให้เขามีชื่อเสียง? สิ่งที่ปู้เหล่าหลินไม่ต้องการก็คือชื่อเสียง”
ถงเหยียนกล่าว “ชื่อเสียงของนักฆ่าไม่ได้อยู่ที่ตัวนักฆ่า หากแต่อยู่ที่ตัวเป้าหมาย”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ดวงตาของหม่าหวาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
ถงเหยียนลุกขึ้นกล่าวลา
กั้วหนานซานกล่าวว่า “ได้โปรดบอกสหายลั่วแทนข้าด้วยว่าอย่าได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นนัก ผู้บำเพ็ญพรตแบกรับภาระยิ่งเยอะ ก็ยิ่งก้าวเดินได้ลำบาก”
ถงเหยียนพยักหน้า
กู้หานกล่าวว่า “ศิษย์พี่ถงจะไปที่ใด?”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าจะไปยอดเขาเสินม่อ”
ภายในถ้ำเงียบไปครู่ สีหน้ากู้หานดูแปลกประหลาด
กั้วหนานซานยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “ยอดเขาเสินม่อไม่รับแขก เจ้าจะไปทำไม?”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าจะไปไหว้จิ๋งจิ่วเสียหน่อย”
……
……
กู้หานกล่าว “คิดไม่ถึงว่าจะไปไหว้จิ๋งจิ่วที่ยอดเขาเสินม่อ นิสัยถงเหยียนยังคงแปลกประหลาดเหมือนเดิม แต่มิได้เย็นชาอย่างนั้นแล้ว มิรู้เป็นเพราะว่าแพ้ให้แก่จิ๋งจิ่วหรือเปล่า”
กั้วหนานซานมองเขา พลางกล่าวอย่างจริงจัง “เขาเรียกแบบนี้ได้ แต่เจ้าควรจะเรียกว่าอาจารย์อาจิ๋ง”
กู้หานสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย มิกล้าโต้แย้ง กล่าวว่า “เข้าใจแล้ว”
“ในใจข้าคล้ายมีความคิดบางอย่างอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร”
หม่าหวาพลันกล่าวขึ้นมาว่า “คำพูดที่เขาพูดโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนหน้านี้ได้จุดประกายข้าพอดี”
กั้วหนานซานมองเขา กล่าวถามว่า “เรื่องใด?”
หม่าหวายิ้มตาหยีพลางบอกความคิดของตัวเอง
กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ กล่าวว่า “เหมือนจะได้ อีกทั้งไม่มีความเสี่ยงใดๆ ด้วย”
กู้หานเองก็รู้สึกว่าความคิดนี้ยอดเยี่ยมอย่างมาก เขากล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อเจ้าคิดได้แล้ว เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่พูดกับถงเหยียน? เขากับลั่วไหวหนานเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ให้เขาเป็นคนไปบอกไม่สะดวกกว่าหรือ? อีกทั้งยังปลอดภัยกว่าด้วย”
หม่าหวาส่ายศีรษะ “ก็เพราะพวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน จึงไม่อาจให้ถงเหยียนเป็นคนไปบอกได้”
กู้หานเข้าใจทันที
ถงเหยียนกับลั่วไหวหนานนั้นเป็นตัวแทนศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักจงโจว ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีอย่างไร แต่ในอีกแง่หนึ่งพวกเขาก็เป็นคู่แข่งกัน
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีอาจารย์คนเดียวกันด้วย
สถานการณ์แบบนี้พวกเขาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง ห้ามทำเรื่องใดก็ตามที่อาจทำให้อีกฝ่ายเกิดความเคลือบแคลงสงสัย
ความสัมพันธ์แบบนี้ก็เหมือนเขากับน้องชายต่างมารดาที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อ
ตอนนี้ภายในตระกูลให้การสนับสนุนกู้ชิงเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่มีทางไปทำอะไรเช่นกัน
เหล่านั้นมิใช่ส่วนสำคัญ สภาวะการบำเพ็ญเพียรและสถานะภายในสำนักต่างหากถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง
“เรื่องนี้อย่าบอกถงเหยียน” กั้วหนานซานกล่าว “ทางสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยกับวัดกั่วเฉิงก็ยังไม่ต้องบอก ข้าจะถามความเห็นของลั่วไหวหนานก่อน หากเขาเห็นด้วย เช่นนั้นก็เริ่มดำเนินตามแผนได้ จากนั้นแจ้งเจ้าเด็กนั่น”
……
……
ถงเหยียนไปยังยอดเขาเสินม่อ
เหล่าศิษย์ชิงซานตกใจมาก ทั้งยังใคร่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร
หลังจิ๋งจิ่วตาย ยอดเขาเสินม่อคล้ายกลายเป็นสถานที่ปิดตายอีกครั้ง เจ้าล่าเยวี่ยไม่เคยลงจากเขา แล้วก็ไม่พบแขก
เต๋อเซ่อเซ่อซึ่งเป็นคุณหนูของสำนักเสวียนหลิงมาชมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนครั้งนี้ เมื่อคืนก็รออยู่ด้านล่างยอดเขาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเด็กหนุ่มแซ่หยวนเอากระบี่มามอบให้เล่มหนึ่ง จึงได้แต่ต้องกลับไปอย่างผิดหวัง
จากนั้นพวกเขารู้ว่าถงเหยียนขึ้นไปยังยอดเขาเสินม่อ โดยอ้างว่าเพื่อไปไหว้จิ๋งจิ่ว เมื่อครุ่นคิดถึงการประลองหมากล้อมที่น่าตกตะลึงในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น เหล่าศิษย์ชิงซานคิดว่าตัวเองเข้าใจอะไรบางอย่าง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างไปจากที่พวกเขาคิดไว้ บนยอดเขาเสินม่อในเวลานี้มิได้มีบทสนทนาระหว่างคนเป็นกับคนตายขออัจฉริยะสองคนนี้ แล้วก็มิได้มีการย้อนรำลึกความหลังใดๆ ทุกอย่างเรียบง่ายเป็นอย่างมาก
กู้ชิงพาถงเหยียนเดินรอบถ้ำและตำหนักบนยอดเขารอบหนึ่ง
ถงเหยียนกล่าว “ข้าขอเข้าไปดูห้องของจิ๋งจิ่วได้หรือไม่?”
กู้ชิงกล่าว “อาจารย์ไม่ค่อยนอน เวลาเหนื่อยก็จะนอนพักอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่”
ถงเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “บำเพ็ญเพียรลำบากขนาดนี้ มิน่าเขาถึงแสดงความสามารถอันน่าตกตะลึงออกมาในการประลองวิถีพรต”
กู้ชิงครุ่นคิด ข้าควรจะอธิบายเจ้าอย่างไรดีล่ะ?
ถงเหยียนเดินไปยังริมผา ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าล่าเยวี่ย
“ปกติเขาไม่เล่นหมากล้อมจริงๆ หรือ?”
“ใช่”
ถงเหยียนมิได้กล่าวกระไรอีก
ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ
สายลมพัดแผ่วเบา
……
……
หลังจากนั้นสิบกว่าวัน
เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงเดินทางออกไปจากยอดเขาเสินม่อ
จากข่าวที่ส่งมาจากยอดเขาเทียนกวง นางลงจากเขาไปหาสมุนไพรที่ล้ำค่าชนิดหนึ่งเพื่อจะบรรลุเข้าสู่สภาวะขั้นคเนจร
หลังทราบเรื่องนี้ ศิษย์ชิงซานทุกคน รวมไปถึงกั้วหนานซานและกู้ชิงต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เร็วขนาดนี้เลยหรือ?
……………………………………………..