มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 22 ลอกรังไหม
เส้นไหมเส้นนั้นยิ่งดึงยิ่งยาว ลอยไปมาอยู่ในอากาศ รังไหมหิมะถูกดึง จึงหมุนขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เส้นไหมที่งดงามถูกดึงออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ กระจัดกระจายไปทั่วทั้งถ้ำ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดลงมา คล้ายกับหิมะที่กำลังลุกไหม้
สุดท้าย เส้นไหมของรังไหมหิมะก็ถูกสาวออกจนหมด เผยให้เห็นภาพที่อยู่ด้านใน
ภายใต้เส้นไหมที่ฟุ้งกระจายเต็มถ้ำ ไป๋เจ่านั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ค่อยๆ ลอยลงมาช้าๆ สองตายังปิดสนิท
ในระหว่างที่กำลังลอยลงมา นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นตื่นขึ้นมา เท้าทั้งสองข้างยืนลงไปบนพื้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ไอพลังที่สดชื่นและบริสุทธิ์สายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างกายนาง กระจายออกไปรอบทิศ สายลมพัดขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้เส้นไหมเหล่านั้นยิ่งเริงระบำอย่างเร่งร้อน จนกระทั่งขาดออกเป็นช่วงๆ ราวกับผีเสื้อกลางคืนที่โผบินไปรอบทิศ จากนั้นหายไปในความว่างเปล่า
นางก้าวเดินออกไปนอกถ้ำ กระโปรงสีขาวพลิ้วไหว คล้ายดั่งเทพเซียน
เมื่อเห็นภาพนี้ คนที่อยู่ด้านนอกถ้ำพากันตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอพลังสายนั้น เซี่ยงหว่านซูรู้สึกยินดีจนยากจะควบคุมตัวเองได้ เขาคารวะพลางกล่าว “ยินดีด้วยขอรับศิษย์พี่!”
เหล่าศิษย์สำนักจงโจวพากันโค้งคารวะ
ในกลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงแสดงความยินดีดังขึ้นมา
ไป๋เจ่าบรรลุจินตันขั้นสูงสุดแล้ว!
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นโหดร้ายเช่นนี้ การที่มีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการจะบำเพ็ญเพียรจนบรรลุสภาวะเลย
ในเวลานี้ ไป๋เจ่าถึงจะตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง แล้วก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้
แต่นางมิได้พูดอะไรกับเซี่ยงหว่านซูและศิษย์ร่วมสำนัก หากแต่มองไปยังกลุ่มคน
สุดท้ายสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่ด้านนอกกลุ่มคน
กลุ่มคนแหวกเปิดทางออก
ปลายทางเส้นนี้คือจิ๋งจิ่ว
……
……
ลั่วไหวหนานตายไปสามปีแล้ว
หลายๆ คนยังคงจำเรื่องราวที่เขาเล่าเรื่องนั้นได้
ในเรื่องราวนั้นมีการร่วมเป็นร่วมตายที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดๆ มีความรักที่แข็งแกร่งดุจหินผา มีผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ยังมิทันได้กลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรต
ไป๋เจ่าเดินเข้าไปหาจิ๋งจิ่ว
เซี่ยงหว่านซูและศิษย์สำนักจงโจวค่อนข้างเป็นห่วง เดินตามอยู่ด้านหลังนาง
กลุ่มคนเปิดทางกว้างขึ้น
ไป๋เจ่าเดินมาถึงตรงหน้าจิ๋งจิ่ว คุกเข่าคำนับ มิได้กล่าวกระไร
นี่คือการคารวะขั้นสูงสุด
มิจำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ ทุกคนพอจะเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เซี่ยงหว่านซูและศิษย์สำนักจงโจวโค้งคารวะจิ๋งจิ่ว แสดงความสำนึกขอบคุณ
……
……
เนื่องจากหมอกอันหนาวเย็นมิได้ถดถอยไปอีก หากแต่ลอยค้างอยู่ตรงด้านหน้าหน้าผา ไม่ยอมสลายไปไหน อีกทั้งเจอกับเรื่องราวที่ใหญ่โตเช่นนี้ การประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้จึงจบลงแต่เพียงเท่านี้
เหล่าศิษย์หนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองไม่มีใครแสดงความไม่พอใจออกมา ทุกคนนั่งเรือเมฆของสำนักจงโจวออกมาจากที่ราบหิมะในวันเดียวกันนั้น
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญพรตต่างรอคอยอยู่บนทุ่งกว้าง กระทั่งเหอกั๋วกงก็ยังรีบเดินทางมาจากเมืองเจาเกอ
ท่ามกลางการจับจ้องของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน เรือเมฆค่อยๆ บินลงมายังทุ่งกว้าง
จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าเดินอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคน
ทุ่มหิมะสีขาว ด้านหลังคือเมืองสีขาว คนสองคนสวมชุดสีขาว
เมื่อเห็นภาพนี้ บนใบหน้าเหอกั๋วกงได้มีรอยยิ้มชื่นชมปรากฏขึ้นมา เขาหันไปกล่าวอะไรเบาๆ กับฟางจิ่งเทียนและเหรินเชียนจู่ที่อยู่ข้างกาย ทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
ผู้คนที่รอคอยอยู่บนทุ่งกว้างส่งเสียงโห่ร้องยินดีขึ้นมา
โลกที่หนาวเย็นขนาดนั้น คนที่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนคิดว่าตายไปแล้วกลับมีชีวิตรอดกลับมา นี่คือตำนาน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ลั่วไหวหนานเล่าออกมาเรื่องนั้นที่ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าฝังลึกเข้าไปในจิตใจผู้คน
กู้ชิงมองดูเด็กหนุ่มแซ่หยวน ในใจครุ่นคิดว่านั่นมันอาจารย์ของเจ้านะ
เด็กหนุ่มแซ่หยวนรู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่านั่นมันอาจารย์ของท่านนะ
……
……
เรือนพำนักบนทุ่งกว้างยังคงเหมือนเมื่อหกปีก่อน หลังใช้พลังเก็บกวาดทำความสะอาดก็ดูเหมือนเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่
ภายในเรือนพำนักเงียบสงบ ไม่มีใครมาวุ่นวาย กระทั่งเหล่าศิษย์ชิงซานและศิษย์สำนักจงโจวก็ยังถูกกันเอาไว้ด้านนอก
ที่นี่มีแค่คนสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอย่างเหอกั๋วกงและฟางจิ่งเทียน พวกเขาจำเป็นต้องถามให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่ากันแน่
จุดเริ่มต้นของทุกอย่างย่อมต้องเป็นเรื่องที่ลั่วไหวหนานเล่าให้ฟังเรื่องนั้น
ไป๋เจ่ามองจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วกล่าว “เรื่องนี้ไม่สำคัญ”
เหอกั๋วกงคล้ายคิดอะไรอยู่ มิได้ไล่ถามต่อ
เจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักอื่นๆ บำเพ็ญเพียรจนมีสภาวะระดับนี้ พวกเขาย่อมมิใช่คนโง่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการนิ่งเงียบของไป๋เจ่าและคำพูดประโยคนี้ของจิ๋งจิ่วหมายความว่าอย่างไร แต่เรื่องนี้อาจจะมีความเกี่ยวพันถึงสำนักจงโจว พวกเขาไหนเลยยังจะถามต่อไปได้
สมณะตู้ไห่ถามอย่างเป็นห่วงว่า “พวกเจ้ารอดมาได้อย่างไร?”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นถามประโยคนี้ คงจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการยั่วยุหรือเป็นอย่างอื่นได้ง่ายๆ แต่ไม่มีใครที่จะสงสัยในเจตนาของหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังแห่งวัดกั่วเฉิง
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
ไป๋เจ่ามองจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวว่า “หลังติดอยู่ในถ้ำ ข้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จินตันใกล้แตก ดูแล้วใกล้จะไม่ไหว ศิษย์พี่จิ๋งจิ่วใช้เพลิงกระบี่ให้ความอบอุ่น อีกทั้งยังถ่ายทอดวิชาให้ข้า จากนั้นข้าก็ทำสมาธิ จนกระทั่งวันนี้ถึงจะตื่นขึ้นมา”
เหรินเชียนจู๋ถึงได้รู้ว่าบุตรสาวอันเป็นที่รักของเจ้าสำนักประสบกับปัญหาแบบนี้ จึงถามอย่างเป็นห่วงว่า “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้ว”
เจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ พากันตกตะลึงจนพูดไม่ออก ในใจครุ่นคิดว่าจินตันแตกนั้นเป็นหายนะที่ร้ายแรงแค่ไหน แล้วก็ยังสามารถฝึกฝนวิชาจนสำเร็จได้ด้วยตนเองในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นปานนั้น?
เหอกั๋วกงรู้สึกใคร่รู้เป็นยิ่งนัก กล่าวถามว่า “วิชาอะไรกัน ทำไมถึงได้มหัศจรรย์เช่นนี้?”
พอหลุดปากพูดออกไป เขาก็รู้ว่าตัวเองเสียมารยาทเข้าแล้ว วิชานั้นถือเป็นความลับสุดยอดของผู้บำเพ็ญพรต จะมาบอกกล่าวกันง่ายๆ ได้อย่างไร จึงรีบโบกมือเพื่อบอกไป๋เจ่าว่าไม่ต้องสนใจ
ถูกหมอกอันหนาวเย็นคุมขังอยู่หกปี แต่ไป๋เจ่ากลับใช้คำพูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียวบอกเล่าจนจบ แต่ถ้าหากครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็ย่อมต้องเข้าใจถึงความยากลำบากและอันตรายที่อยู่ในนั้นได้
หลายคนมองไปทางจิ๋งจิ่ว
หมอกอันหนาวเย็นร้ายกาจถึงเพียงนั้น หากใช้เพลิงกระบี่ในการช่วยเพิ่มอุณหภูมิภายในถ้ำ อย่างนั้นมิเท่ากับว่ามิอาจพักผ่อนได้แม้เพียงครู่เลยหรอกหรือ? ปราณก่อกำเนิดถูกใช้ออกไปรวดเร็วปานนั้น แต่เขากลับทนอยู่ได้ถึงหกปี?
ปราณกระบี่ของเขามันมหาศาลแค่ไหนกันแน่? พลังใจของเขาต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกัน? นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
เหอกั๋วกงกล่าวชมว่า “สมแล้วที่สหายธรรมจิ๋งเป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ของสำนักชิงซาน!”
คนอื่นเองก็พากันชื่นชม แต่ก็รู้สึกเสียดายเช่นเดียวกัน
ในเวลานี้หกปีนี้ จิ๋งจิ่วต้องคอยทำให้เพลิงกระบี่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา เขาย่อมไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ดูแล้วสภาวะน่าจะหยุดอยู่ที่เดิมไม่ก้าวหน้าไปไหน
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาวะไหน?”
คนที่กล่าวถามคือฟางจิ่งเทียน
จิ๋งจิ่วมองเขา กล่าวว่า “มิประจักษ์ขั้นกลาง”
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ครุ่นคิดว่าเป็นอย่างที่คิดจริงด้วย พวกเขายิ่งรู้สึกเสียดาย
“รีบไปพักผ่อนก่อนเถอะ หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรไร้ที่สิ้นสุด ช้าไปหกปีไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
เหอกั๋วกงตบไหล่จิ๋งจิ่วเพื่อปลอบโยน
จิ๋งจิ่วมองมือที่อยู่วางอยู่บนหัวไหล่ รู้สึกมิค่อยชิน แต่ก็มิได้กล่าวกระไร
……
……
บนทุ่งกว้างนอกเมืองไป๋เฉิง
ภายในเรือนพำนัก
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูกู้ชิงและเด็กหนุ่มแซ่หยวนที่อยู่ตรงหน้าพลางกล่าวถามว่า “ระหว่างทางฟางจิ่งเทียนมีอะไรผิดปกติไหม?”
เด็กหนุ่มแซ่หยวนไม่ค่อยสบายใจ ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้อาจารย์อาจะเป็นศิษย์สืบทอดของปรมาจารย์อาจิ่งหยาง ความอาวุโสเทียบเท่ากับอีกฝ่าย แต่การเรียกชื่อของเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลออกมาตรงๆ มันดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร หากศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่เรือนด้านหน้ามาได้ยินเข้าจะทำอย่างไร?
กู้ชิงมิได้กังวลเรื่องเหล่านี้ เขากล่าวตรงๆ ว่า “ความรู้สึกที่ข้ามีต่ออาจารย์ลุงฟางก็มิค่อยดีเท่าไร แต่เขาไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ”
…………………………..