มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 29 ซือโก่ว
……
สำนักบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน รากฐานหยั่งลึก ปกติแล้วจะมีสัตว์เทพประจำสำนักอยู่ อย่างเช่นงูขาวไป๋เสอของต้าเจ๋อ นกหานเฮ่าของสำนักคุนหลุนก็ล้วนแต่มีชื่อเสียงอย่างมาก กระทั่งสำนักกระบี่ซีไห่ที่มีรากฐานด้อยกว่าเล็กน้อยก็ยังมีปลาวาฬบินที่ตัวใหญ่ดั่งขุนเขา สร้างความตกตะลึงไปทั่ว
สัตว์เทพของสำนักจงโจวคือกิเลน เป็นตัวเอกในเทพนิยายต่างๆ มากมาย เพียงแต่มังกรชางหลงที่เป็นตัวเองอีกตัวหนึ่งได้หายสาบสูญไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำนักชิงซานเองก็ย่อมต้องมีสัตว์เทพประจำสำนักของตัวเองเช่นกัน ซึ่งก็คือสี่ผู้พิทักษ์ที่เล่าลือกัน
เพียงแต่ผู้พิทักษ์ของชิงซานค่อนข้างลึกลับ เหล่าผู้บำเพ็ญพรตทราบเพียงแต่ว่าฉายาของพวกมันคือหยวนกุย[1] ไป๋กุ่ย[2] อินเฟิ่ง[3]และเย่เซี่ยว[4] แต่กลับไม่รู้ว่าหน้าตาที่แท้จริงของพวกมันเป็นอย่างไร
จนกระทั่งวันนี้หยวนฉวี่ถึงได้รู้ว่าผู้พิทักษ์ประจำสำนัก ไป๋กุ่ยคือแมวตัวหนึ่ง อินเฟิ่งคือไก่ ส่วนหยวนกุยคือเต่าแก่ตัวหนึ่ง
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะไปเปรียบกับกิเลน ต่อให้เทียบกับสัตว์เทพประจำสำนักของสำนักอื่น สัตว์เทพของชิงซานก็ดูน่าเศร้าไปหน่อย
หยวนฉวี่อยากจะลืมเรื่องเหล่านี้ไป แล้วจดจำเพียงฉายาอันน่าเกรงขามเหล่านั้น
“แล้วอีกท่านหนึ่งล่ะ?” กู้ชิงถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ท่านเย่เซี่ยว…ท่านเย่เซี่ยว…ถึงแม้จะมิใช่หมาธรรมดา….แต่ก็…เป็นหมาตัวหนึ่ง”
หยวนฉวี่คิดอยู่นานว่าควรจะบรรยายอย่างไรดี สุดท้ายพบว่ายังไงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้ จึงได้แต่ต้องถอดใจอย่างจนปัญญา พร้อมกับถลึงตาใส่กู้ชิงไปทีหนึ่ง
กู้ชิงรู้สึกผิด ในใจครุ่นคิดก็ข้าไม่รู้นี่นา
จิ๋งจิ่วกล่าว “อาต้าไม่ชอบซือโก่ว[5] ต่อไปพวกเจ้าอย่าเรียกชื่อนี้ต่อหน้ามัน”
หยวนกุย ไป๋กุ่ย อินเฟิ่ง เยเซี่ยว ฉายาเหล่านี้ฟังดูดี แต่เขายังคงเคยชินที่จะเรียกพวกมันเหมือนอย่างในอดีต อย่างเช่นอาต้า อย่างเช่นซือโก่ว
ครั้นพูดจบ เขาก็เดินไปยังริมผา นอนลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ เจ้าล่าเยวี่ยตามออกไป
กู้ชิงคิดในใจ ชื่อซือโก่วนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่พูดถึงท่านผู้พิทักษ์ผู้นี้ เหตุใดอาจารย์จึงดูหดหู่?
เขาถามหยวนฉวี่ “ที่แท้ท่านเย่เซี่ยวอยู่ที่ยอดเขาซั่งเต๋องั้นหรือ”
หยวนฉวี่ประหลาดใจ กล่าวว่า “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
กู้ชิงคิดในใจ ผู้พิทักษ์ชิงซานทั้งสี่ เจ้าดันรู้จักแต่ความเป็นมาของท่านเย่เซี่ยว หรือนี่มันยังไม่ชัดเจนอีก?
……
……
เวลาวันหนึ่งแสนสั้น แต่วันนี้ยาวนาน
เรือกระบี่ลงจอดริมลำธาร บนยอดเขามีลมพัดขึ้นมา พวกเขาไปยังยอดเขาปี้หู มองดูทิวทัศน์ของยอดเขาสองยอด อุ้มแมวกลับมาตัวหนึ่ง ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับไปจากขอบฟ้า
จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ไม่ไผ่ จานกระเบื้องปรากฏขึ้นตรงด้านล่างมือของเขา เม็ดทรายที่อยู่ในจานคล้ายยังเยอะเหมือนเก่า
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูภาพนี้ ในใจพลันคิดถึงที่ราบหิมะเมื่อหกปีก่อน ลำบากหน่อยนะ
……
……
ยอดเขาเทียนกวงสูงที่สุด ดังนั้นย่อมสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อแสงอาทิตย์ค่อยๆ สลัวลง เงาของปลอกกระบี่แบกสวรรค์ที่อยู่บนป้ายหินก็ยิ่งหดสั้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นจุดสีดำ
เต่าหินที่อยู่ด้านล่างป้ายหินหลับตาสนิท ไม่รู้เมื่อไรมันถึงจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
……
……
ยอดเขาซีไหลและยอดเขาซื่อเยวี่ยเป็นสองยอดเขาที่อยู่ใกล้กันที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งเก้า ความสูงไม่ถือว่าสูงนัก ในภูเขาแปรเปลี่ยนเป็นมืดสลัว
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าบริเวณหน้าผาที่มีหมอกหนาทึบปกคลุมจะมีคานหินที่สูงชันแท่งหนึ่งเชื่อมยอดเขาทั้งสองแห่งเข้าไว้ด้วยกันอยู่
คานหินแท่งนั้นแอบซ่อนตัวอยู่ในหมอกอันหนาทึบมายาวนาน น้ำค้างแข็งและหิมะจับตัวตลอดทั้งปี บางครั้งลมพัดผ่าน จะสามารถมองเห็นรอยกรงเล็บที่ดูคล้ายใบไผ่กระจัดกระจายอยู่บนคานหิน
……
……
ตำแหน่งที่ตั้งของยอดเขาซั่งเต๋อมีความพิเศษอย่างมาก เห็นๆ อยู่ว่าตั้งอยู่ในขุนเขาของชิงซานที่มีสายแร่วิญญาณมารวมตัวกัน แต่มันกลับอยู่ห่างไกลจากสายแร่วิญญาณทุกๆ สาย
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ บ่อน้ำอันหนาวเย็นที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปบ่อนั้นจึงไม่มีพลังวิญญาณใดๆ ยิ่งดิ่งลึกลงไปก็ยิ่งหนาวเย็น
ส่วนที่ลึกที่สุดของบ่อน้ำนั้นคือประตูแห่งความตายของข่ายพลังชิงซาน หนาวเย็นเสียดกระดูก มิได้ด้อยไปกว่าที่ราบหิมะเลย
ที่นี่มองไม่เห็นแสงอาทิตย์ตลอดทั้งปี ราวกับเป็นโลกที่อยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดตลอดกาล
อุโมงค์หินเปียกชื้น ภายในห้องขังมีกลิ่นอายที่ชั่วร้ายและสกปรกแผ่กระจายออกมา คล้ายสามารถจับต้องได้จริง
มาตรว่ามีประตูหินที่หนาทึบขวางกั้น แต่ก็ยังสามารถได้ยินเสียงด่าสาปแช่งอย่างหยาบคาย เสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้นของพวกสัตว์ประหลาดและมารชั่วเผ่าหมิงที่อยู่ด้านในเหล่านั้น
ที่นี่ไม่มีศิษย์ชิงซานคอยเฝ้าดูแล ต่อให้เป็นผู้อาวุโสระดับแหวกทะเล หากรั้งอยู่ที่นี่นานเกินไป ก็อาจจะถูกความคิดชั่วร้ายและพลังอันสกปรกปนเปื้อนได้ ถ้าไม่รุนแรงก็อาจจะแค่ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียร แต่ถ้ารุนแรงก็อาจจะธาตุไฟเข้าแทรก วิธีหลักๆ ที่ยอดเขาซั่งเต๋อใช้ดูแลคุกกระบี่ก็คือใช้กระบี่บินบินสำรวจ แต่ในเวลาปกติหากเกินเรื่องจะทำอย่างไร?
อุโมงค์อันดำมืดมีเสียงที่แผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คล้ายกับเกล็ดหิมะที่ตกกระทบลงบนพื้น
ไม่รู้ว่าลำแสงอันเบาบางส่องลงมาจากไหน อุ้งเท้าสีดำข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนพื้นหินที่เปียกชื้น
นี่คือหมาดำตัวหนึ่ง ขาทั้งสี่เรียวยาว ร่างกายสีดำสนิท ขนเป็นมันวาว
ลำแสงตกกระทบลงบนตัวมัน คล้ายว่าถูกกลืนกินไปในพริบตา
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือร่างกายของมันมีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก ราวกับภูเขาสีดำลูกหนึ่ง
อุโมงค์ที่ยาวหลายร้อยจ้างในคุกกระบี่ สำหรับมันแล้วเป็นเหมือนโพรงสุนัขที่ธรรมดาที่สุด
การเคลื่อนไหวของมันแผ่วเบาเป็นยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเสียงหิมะที่ตกลงมาก่อนหน้านี้คือการจงใจ มิเช่นนั้นไม่มีทางที่จะมีเสียงเด็ดขาด
ข่ายพลังปิดกั้นที่ขวางกั้นระหว่างประตูหินและคุกกระบี่เปิดออกอย่างต่อเนื่องเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
มันค่อยๆ ย่างก้าวไปในอุโมงค์ สายตาเย็นยะเยือก คล้ายกับกำลังลาดตระเวนอยู่ในดินแดนของตัวเอง
เสียงกรีดร้องและเสียงด่าทอสาบแช่งในคุกกระบี่พลันหายไป
กระทั่งกลิ่นอายที่สกปรกและชั่วร้ายเหล่านั้นก็หายไปด้วย
ทั้งคุกกระบี่เงียบสงัดเป็นยิ่งนัก สะอาดเป็นยิ่งนัก
ไม่ว่าคนที่ถูกขังอยู่ในห้องขังเหล่านั้นจะเป็นศิษย์ทรยศขั้นแหวกทะเลหรือว่ายอดฝีมือของเผ่าหมิงที่แข็งแกร่งดุจเทพปีศาจก็ล้วนแต่แสดงออกถึงความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
หมาดำย่างเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งออกมาจากคุกกระบี่
ด้านนอกถ้ำมีหมอกหนาทึบ ภายในหมอกมีจิตสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ด้านนอกหมอกคือทะเลเมฆ
ภายใต้การส่องสว่างของแสงสุดท้ายของวัน ทะเลเมฆคล้ายกำลังลุกไหม้
ในเมฆที่กำลังลุกไหม้มียอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วนแอบซ่อนตัวอยู่
ที่นี่คือยอดเขาเร้นลับของชิงซาน
หมาดำเริ่มวิ่ง รวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้ กระทั่งกระบี่บินก็มิอาจเทียบได้
ทะเลเมฆปั่นป่วน ไอหมอกทอดตัวยาวเป็นเส้นติดอยู่บนร่างกายของมัน ดูแล้วช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เมื่อมาถึงหน้ายอดเขาแห่งหนึ่ง มันก็เหยียบก้อนเมฆพุ่งขึ้นไป กระโจนที่หนึ่งก็ไปได้ไกลหลายร้อยจ้าง เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง
บนยอดเขามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านนอกเต็มไปด้วยใบไม้ที่กองทับถมและเศษฝุ่น บนหน้าผาหินมีอัญมณีฝังอยู่เม็ดหนึ่ง ส่องแสงสีแดง
หมาดำมองดูประตูหินที่ปิดสนิท นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
มันจำได้ชัดเจน ศิษย์ที่อยู่ในถ้ำนี้มาจากยอดเขาปี้หู
เมื่อสามปีก่อน ศิษย์ผู้นี้ก็บำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงขั้นแหวกทะเลระดับกลางไปแล้ว เขาคิดอยากจะบรรลุไปถึงขั้นทะลวงสวรรค์ แต่กลับมองไม่เห็นความหวังใดๆ สุดท้ายจึงมายังยอดเขาซ่อนเร้น
ผนึกปิดกั้นเปิดออก มันเดินเข้าไปในถ้ำ ก่อนจะมองเห็นศพของศิษย์ผู้นั้น
ศิษย์ผู้นั้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แก่ชราเป็นอย่างมาก ผมสีขาวยุ่งเหยิง ผิวหนังแห้งเหี่ยว ไม่มีความชุ่มชื้นใดๆ
ภาพแบบนี้มันเห็นมาแล้วมากมาย ในสายตายังคงเฉยชา มิได้มีความรู้สึกเศร้าเสียใจใดๆ
มันก้มหน้างับศพศพนั้นขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากถ้ำ
อัญมณีที่อยู่บนหน้าผาเปลี่ยนเป็นสีเขียว
หมาดำกระโจนออกไป เท้าตกลงไปบนทะเลเมฆ ท่องเมฆทะยานไปข้างหน้า
พระอาทิตย์ยามเย็นตกลง โลกกลับคืนสู่ความมืดมิด
หมาดำมาถึงหน้าภูเขาหินแห่งหนึ่ง
บนหน้าผามีถ้ำเป็นจำนวนมาก
ภายในถ้ำแต่ละถ้ำมีรูปปั้นหินตั้งอยู่ตัวหนึ่ง
มันก้มหน้าเอาศพที่อยู่ในปากศพนั้นวางลงไปในถ้ำถ้ำหนึ่ง
มีรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
หมาดำกลับไปยังคุกกระบี่
มันเดินผ่านอุโมงค์อันมืดมิดมายังสถานที่แห่งหนึ่ง
กำแพงที่อยู่รอบด้านเป็นทรงกลม ดูเหมือนบ่อน้ำบ่อหนึ่ง แต่พื้นด้านล่างแห้งสนิท
หมาดำนั่งลงเงียบๆ
แสงสว่างสายหนึ่งส่องลงมาจากบนท้องฟ้า ตกกระทบลงไปบนร่างกายของมัน
…………………………………………………….
[1] หยวนกุย แปลว่า เต่าต้นกำเนิด
[2] ไป๋กุ่ย แปลว่า ผีสีขาว
[3]อินเฟิ่ง แปลว่า หงส์จันทรา
[4]เย่เซี่ยว แปลว่า หอนยามราตรี
[5]ซือโก่ว หมาล่าศพ