มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 31 คนแบบนี้กับคนแบบนั้น
ด้านล่างยอดเขาซื่อเยวี่ย ด้านหน้าตำหนักใหญ่ รอบแท่นหินมีต้นสนปลูกไว้จำนวนนับไม่ถ้วน
ลมหนาวพัดมา หิมะบนต้นไม้ร่วงตกลงมา ส่งเสียงซ่าๆ ราวกับมีหิมะตกลงมาอีกครั้ง
หิมะที่ทับถมอยู่บนแท่นหินถูกผู้ดูแลกวาดออกไปไว้ด้านข้าง ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา มันค่อยๆ ละลายลงอย่างช้าๆ ทว่ากลับทำให้อุณหภูมิในบริเวณนั้นลดต่ำลงกว่าเดิม
สายตาของถงหลูเย็นยะเยือก มองดูศิษย์ชิงซานสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าจิ๋งจิ่วจะไม่กล้ารับคำท้า นี่ไม่เหมือนนิสัยของสำนักชิงซานเลย”
ครั้งนี้สำนักกระบี่ซีไห่มาเยือนด้วยเรื่องงานเลี้ยงซื่อไห่ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเขาคิดจะมาเชิญคนสำคัญของสำนักชิงซานไปร่วมงาน
เรื่องเหล่านั้นย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ซีไห่และอาจารย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยพูดคุยเจรจากัน ถงหลูประกาศท้าสู้ออกมาตรงๆ จากนั้นก็ถูกยอดเขาเสินม่อปฏิเสธโดยไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย
เยาซงซานกล่าว “หากสหายถงหลูอยากจะสู้จริงๆ ข้าก็อยากลองดู หรือเจ้าจะเลือกพวกเราสักคนก็ได้”
ถงหลูกล่าว “เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า พวกเจ้าก็เหมือนกัน เหตุใดต้องวุ่นวาย”
หากเป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา คนที่รับผิดชอบต้อนรับถงหลูน่าจะเป็นศิษย์อันดับต้นๆ ของยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างกั้วหนานซานหรือกู้หาน
แต่เนื่องเพราะเรื่องบางเรื่อง พวกเขาจึงถูกทางสำนักลงโทษ มิได้ออกมาจากถ้ำเป็นเวลาสองปีแล้ว
ถงหลูคล้ายเดาได้ว่าเรื่องนั้นน่าจะเป็นเรื่องการตายของลั่วไหวหนาน
เยาซงซานอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดของยอดเขาเหลี่ยงว่าง เขาย่อมต้องรู้ว่าตนเองมิใช่คู่มือถงหลู เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็มิได้โกรธอะไร
“สำหรับข้าแล้ว สหายถงก็มิใช่คู่มือของอาจารย์อาเล็กของข้าเช่นกัน เช่นนั้นไยต้องวุ่นวาย?”
ถงหลูไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขา หมุนตัวเดินไปทางตำหนักใหญ่
จิ๋งจิ่วไม่ยอมรับคำท้า เขาจะทำอะไรได้?
เยาซงซานมองดูแผ่นหลังของเขาพลางส่ายศีรษะ ก่อนกล่าวว่า “คิดว่าอาจารย์อาจิ๋งจะรับคำท้าของเขา ช่างเพ้อฝันจริงๆ”
“ใช่เพ้อฝันที่ไหนกัน นี่มันปัญญาอ่อนชัดๆ”
“ถูกต้อง คนเกียจคร้านอย่างอาจารย์อาเล็ก จะมาเปลืองแรงเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เคยเห็นเขาประลองกระบี่กับใครไหมล่ะ?”
หากเปลี่ยนเป็นศิษย์ชิงซานคนอื่น การที่ไม่รับคำท้าของถงหลูจะต้องโดนมองว่าเป็นคนขี้ขลาด จะต้องถูกเพื่อนร่วมสำนักดูถูกอย่างแน่นอน
แต่คนผู้นั้นคือจิ๋งจิ่ว เช่นนั้นก็ไม่มีทางได้รับการดูถูกใดๆ เพราะศิษย์ชิงซานทุกคนต่างรู้ว่าเขามิใช่คนเช่นนั้น หากแต่เป็นคนเช่นนี้
ศิษย์คนหนึ่งพลันคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “มีสิ ในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนครั้งนั้น อาจารย์อาเล็กเอาชนะได้ติดต่อกันตั้งสามครั้ง”
“นั่นเป็นเพราะหลิ่วสือซุ่ย”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เสียงพูดคุยพลันหายไปทันที
ต่างคนต่างแยกย้าย
……
……
เงาขนาดใหญ่บนผิวทะเลดูคล้ายกำลังโบยบินอย่างเชื่องช้า แต่ความจริงแล้วกลับรวดเร็วเป็นอย่างมาก เพียงพริบตาก็บินข้ามโขดหินและเรือหลายร้อยลำมาถึงนอกเมืองไห่โจว
น้ำทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้า ทำให้ในเมืองไห่โจวมีฝนตกหนักลงมา แสงอาทิตย์ถูกเม็ดฝนหักเหแสงจนกลายเป็นรุ้งกินน้ำตัวหนึ่ง
วาฬสวรรค์ขยับปีกสองข้างบินออกจากเมืองไป บนทะเลเกิดคลื่นขนาดใหญ่ สาดกระทบผาหิน ส่งเสียงดังโครมคราม แต่กลับไม่สามารถกลบเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชนที่อยู่ในเมืองได้
งานเลี้ยงซื่อไห่ในปีนี้ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ในฐานะที่เป็นงานที่จัดขึ้นมาแข่งกับทางเมืองเจาเกอ สำนักกระบี่ซีไห่ได้ลงทุนในงานเลี้ยงซื่อไห่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะยังมิอาจเทียบกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือระดับชั้นก็ล้วนแต่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ผู้บำเพ็ญพรตที่มาเข้าร่วมงานก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่มาจากสำนักจงโจวในช่วงสามปีนี้ก็ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูป
แต่สำนักชิงซานกลับยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา ส่งศิษย์สองสามคนมาเข้าร่วม ท่าทีดูชัดเจนเป็นอย่างมาก
ที่น่าสนใจก็คือ ชื่อเสียงของงานเลี้ยงซื่อไห่ในตอนนี้กลับมาจากสำนักชิงซานเสียเป็นส่วนใหญ่
เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วปรากฎกายในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเป็นครั้งแรกก็คือที่นี่
ภายในงานนี้ จิ๋งจิ่วคว้าอันดับหนึ่งในการประลองหมากล้อม สาเหตุที่เขาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยและประลองหมอกล้อมที่สะเทือนฟ้าดินกระดานนั้นกับถงเหยียน ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากที่นี่
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้เข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ แต่วิธีการเปิดตัวของนางกลับทำให้ผู้คนจดจำมิรู้ลืม
ภายในตำหนักใหญ่บนลานเมฆ นางได้สังหารผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักจู๋เจี้ยต่อหน้าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ซีไห่และยอดฝีมือจากสำนักต่างๆ
ภายในเมฆอันหนาทึบเหนือท้องทะเลที่ไม่สลายหายไปไหนตลอดทั้งปีมีตำหนักจำนวนนับไม่ถ้วนแอบซ่อนตัวอยู่ ที่นั่นคือลานเมฆ
ถงหลูยืนอยู่ริมตำหนักใหญ่ ทอดตามองไกลออกไป ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านั้น สีหน้าค่อนข้างดูแย่
ลานเมฆคือสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่ รับผิดชอบในการติดต่อสื่อสารกับแผ่นดินเฉาเทียน ถึงแม้เขาจะเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ซีไห่ แต่กลับไม่ค่อยได้มาเยือนที่นี่
สำนักกระบี่ซีไห่ตั้งอยู่บนเกาะยักษ์ที่อยู่ในส่วนลึกของมหาสมุทรเข้าไปสองพันลี้ ที่นั่นต่างหากถึงจะเป็นสถานที่ที่เขาฝึกฝนวิถีกระบี่อย่างยากลำบาก
ในดวงตาของเขาในเวลานี้ อ่าวสีครามดูคล้ายอัญมณี ตึกตำหนักต่างๆ ที่อยู่ในชิงซานเหล่านั้นกลายเป็นจุดเล็กๆ
ผลการประลองในงานเลี้ยงซื่อไห่ของปีนี้ได้ออกมาแล้ว อีกประเดี๋ยวผู้ชนะเหล่านั้นก็จะโดยสารเรือเมฆมาที่นี่เพื่อรับมอบของวิเศษสี่ชิ้นจากซีหวังซุน
เขาซึ่งเป็นตัวแทนศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่ซีไห่ต้องมารับผิดชอบหน้าที่ต้อนรับแขกที่นี่
เมื่อคิดถึงการพูดคุยและงานที่น่าเบื่อเหล่านั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ่งดูแย่
หลายวันมานี้ สำนักกระบี่ซีไห่และสำนักอื่นที่มีความใกล้ชิดได้ใช้งานเลี้ยงซื่อไห่ในการประโคมข่าวที่เขาไปท้าจิ๋งจิ่งที่ชิงซาน แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่กล้ารับคำท้า
ในเวลานี้เขาโดดเด่นที่สุด แต่นั่นจะมีความหมายอะไร?
กว่างานเลี้ยงซื่อไห่จะจบลงก็น่าจะอีกสักพักหนึ่ง ถงหลูเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ก่อนจะพบว่าบนโต๊ะมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่
มีใครสามารถเข้าออกในสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ไห่ได้อย่างอิสระเช่นนี้?
เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบดู ก่อนจะมั่นใจว่าบนจดหมายไม่มีข่ายพลังหรือว่าพิษประหลาด จึงหยิบขึ้นมาเปิดออกอ่าน
บนจดหมายเขียนข้อมูลอย่างง่ายๆ เอาไว้สองอย่าง ได้แก่เวลาและสถานที่ นี่คือการท้าสู้
ที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือตรงตำแหน่งที่เป็นชื่อผู้ส่งนั้นมีกระบี่สีแดงอยู่เล่มหนึ่ง
กระบี่มิคำนึง?
……
……
หลังจากนั้นสิบกว่าวัน
บนทะเลที่อยู่นอกเมืองไห่โจว ที่นี่อยู่ห่างไกลจากฝั่งทะเล แต่กลับมีผืนน้ำขนาดใหญ่ที่มีหินโสโครกโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลซัดสาดอยู่ในหินโสโครกเหล่านั้น กลายเป็นเกล็ดปลาสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน
ในตอนที่คลื่นซัดมาเร็วที่สุด น้ำทะเลจะพุ่งออกมาจากในหินโสโครก เหมือนปลาวาฬกำลังพ่นน้ำ ดูแล้วค่อนข้างตระการตา
ม่านหมอกบดบังทัศนวิสัย ในที่ที่อยู่ไกลออกไปยากจะมองเห็นได้ชัด
คนชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ในหินโสโครกอย่างเงียบๆ คล้ายกำลังจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับก้อนหิน หากไม่สังเกตดูดีๆ ก็ยากจะมองเห็นเขาได้
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งลงมา ถงหลูปรากฎกายขึ้น
คนชุดดำมองเขาพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ถึงขนาดกล้ามาที่นี่คนเดียว หรือเจ้าไม่กลัวว่านี่จะเป็นกับดักลอบสังหารเจ้า?”
ถงหลูกล่าว “ที่นี่คือทะเลตะวันตก ไม่มีใครที่จะวางกับดักสังหารข้าที่นี่ได้”
คนชุดดำกล่าว “หรือบางทีอาจเป็นเพราะเจ้ารู้ว่ามือสังหารเหล่านั้นคือใคร?”
ถงหลูกล่าว “ที่้ข้าสงสัยมากกว่าก็คือใครกล้าดีสวมรอยเป็นศิษย์ชิงซาน”
คนชุดดำกล่าว “จริงอยู่ที่ตอนนี้ข้ามิใช่ศิษย์ชิงซาน แต่ก็ไม่อาจถือเป็นการสวมรอยได้”
ถงหลูคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร จึงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เผยตัวออกมาซะ”
“ได้ยินว่าเจ้าคิดจะล้างแค้นให้ลั่วไหวหนาน ก็เลยไปที่ชิงซานเพื่อท้าจิ๋งจิ่วสู้”
คนชุดดำปลดผ้าสีดำที่คลุมใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ดำขึ้นกว่าแต่ก่อน สีหน้ายังคงดูจริงใจเหมือนอย่างในอดีต
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น เจ้าน่าจะมาหาข้าเลย มิใช่ไปรบกวนผู้อื่น”
…………………………