มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 36 มีเรื่องเล่ารออยู่
เหอจานยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ในมือไม่มีเหยื่อที่ล่ามา แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะจุดกองไฟด้วย
“กระทั่งคำขอสุดท้ายของคนใกล้ตายก็ยังไม่ยอมทำให้ ช่างโหดร้ายนัก”
ซูจึเย่มองเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง
เหอจานผายมือทั้งสองข้างออก กล่าวว่า “หนึ่งคือข่าวดี อีกหนึ่งคือ…”
ซูจึเย่กล่าว “ข่าวร้าย”
เหอจานกล่าวว่า “ข่าวร้ายก็คือไม่มีเนื้อ ข่าวดีก็คือข้าเจอคนรู้จักในละแวกนี้พอดี”
ในป่าที่รกร้างเช่นนี้ กลับได้เจอคนรู้จัก ย่อมไม่มีใครเชื่อแน่นอน
ซูจึเย่ถอนใจพลางกล่าว “ในเวลาแบบนี้เจ้ายังยินดีคุยเป็นเพื่อนข้า นับตั้งแต่ตอนนั้น ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ากำลังรอคนอยู่
เหอเจอกล่าวอย่างรู้สึกผิด “หากให้เจ้ารู้ ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมรับ”
“ข้าเป็นคนของพรรคมาร มิใช่ตาแก่ของเรือนอี้เหมาที่ไม่ยอมกินข้าวของศัตรู”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ให้เขาออกมาเถอะ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนของเจ้าคนนี้เป็นใคร”
มีคนก้าวออกมาจากด้านหลังต้นไม้ อายุน่าจะมิใช่น้อยแต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ คล้ายกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง
ในการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น เหอจานใช้ปลาย่างแค่เพียงตัวเดียวก็เกือบทำให้เต๋อเซ่อเซ่อเปลี่ยนฝั่งได้มาได้แล้ว
คนอย่างเขา ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจะต้องมีเพื่อนอยู่มากมายอย่างแน่นอน
เพื่อนเองก็แบ่งเป็นหลายประเภท
สำหรับเหอจานแล้ว สิ่งที่โชคดีก็คือเพื่อนสองคนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาล้วนแต่เป็นเพื่อนที่แท้จริงของเขา
ที่น่าสนใจก็คือเพื่อนสองคนนี้ของเขาไม่เพียงแต่จะไม่รู้จักกัน แต่หากว่ากันตามฝักตามฝ่ายแล้ว ทั้งสองน่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
หากเป็นเมื่อก่อน เหอจานไม่มีทางที่จะให้พวกเขาทั้งสองคนพบหน้ากันแน่ แต่สถานการณ์ในวันนี้มีความพิเศษ
นอกจากถงเหยียนแล้ว เขาก็ไม่รู้จะเชื่อใจใครได้อีก
……
……
“ทำไมหน้าเจ้าถึงเป็นสีเขียว?”
นี่คือคำพูดประโยคแรกของถงเหยียน
“พ่อข้าปลูกหน่อมารลงในร่างกายของแม่ข้า สุดท้ายรักษาหน่อมารเอาไว้ได้ แต่แม่ข้าตาย”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ข้าก็คือหน่อมารนั้น มีพิษคนตายแต่กำเนิด ดังนั้นทั่วทั้งร่างจึงเป็นสีเขียว”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย อธิบายอย่างรวบรัด
ภายในป่ากลับเหมือนว่าตกอยู่ในเวลากลางคืนอันแสนมืดมิด
ลมบนภูเขาหนาวเย็นเสียดกระดูก
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะมองดูใบหน้าของเขาพลางกล่าวถามว่า “ทำไมถึงกลายเป็นสีม่วงแล้ว?”
ซูจึเย่กล่าว “พิษดอกเจดีย์คนตายที่อยู่ในร่างกายข้าปะปนกับพิษคนตายที่มีมาแต่เกิด ดังนั้นสีของร่างกายข้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย”
ถงเหยียนกล่าว “เจ้าทนได้นานเท่าไร?”
ซูจึเย่กล่าว “ใบงาม้อนก็มิได้ดูแย่ หากใช้โถดองผักของอี้โจวดองเอาไว้สามวัน แล้วเอามากินกับข้าวเปล่า รสชาติจะหอมอย่างมาก”
ถงเหยียนกล่าว “เรือนเป่าทงไม่มีเนื้อ แต่มีข้าว หากข้าออกหน้า ข้าวเปล่าก็น่าจะมีให้”
ซูจึเย่นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “หากเจ้าตกลงให้ข้าออกเงินค่าข้าวล่ะก็”
ถงเหยียนกล่าว “แน่นอน แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีเงิน อาจจะต้องทำงานนิดหน่อย”
ซูจึเย่กล่าว “ได้”
“พอแล้วๆ คุยกันแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือไง?”
เหอจานที่นั่งเงียบไม่พูดอะไร ทนฟังอยู่นานจนทนไม่ไหว เขาสบถด่าไปสองสามประโยค ก่อนกล่าวว่า “ข้ายอมรับว่าพวกเจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก ข้าสู้พวกเจ้าไม่ได้ ข้ายอมเป็นอันดับสามดีไหม?”
“ไม่ได้ เจ้าเป็นได้แค่อันดับสี่”
ถงเหยียนชี้ไปบนท้องฟ้าที่ถูกยอดไม้แหวกออกพลางกล่าวว่า “จิ๋งจิ่วอยู่สูงสุด”
สายตาของซูจึเย่มองตามนิ้วเขาไปบนท้องฟ้า ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “หากมีชีวิตรอดต่อไปได้ ข้าก็อยากจะไปชิงซานเพื่อดูว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่”
……
……
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแผ่นดินเฉาเทียน แต่มีบางที่ยังคงหนาวเย็นอยู่
ในทุ่งกว้างอันรกร้าง มองเห็นแค่เพียงตะไคร่น้ำที่แห้งจนเป็นสีเหลือง บางครั้งพอจะมองเห็นต้นสนุ่นสองสามต้น แต่มันก็ถูกอะไรบางอย่างแทะจนไม่เหลือใบแล้ว
คล้ายกับภูเขาหินที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้น
เขาเหลิ่งซานนั้นหนาวอย่างมาก ลมหายใจที่พ่นออกมาเวลาพูดคุยกันกลายเป็นควันสีขาว ดูคล้ายกำลังเซ่นไหว้อะไรบางอย่างอยู่
ความวุ่นวายภายในสำนักเสวียนอินสิ้นสุดลง หลังผ่านการเข่นฆ่าอันโหดร้าย เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหวังเสี่ยวหมิงก็ถูกเหล่าผู้อาวุโสยกให้เป็นนายน้อยคนใหม่ของสำนัก
สิ่งที่น่าสนใจหรือพูดอีกอย่างก็คือสิ่งทำให้รู้สึกหดหู่ก็คือ เจ้าสำนักเสวียนอินที่ธาตุไฟเข้าแทรกจนเป็นอัมพาตอยู่หลายสิบปีผู้นั้นกลับยังมีชีวิตอยู่
“เจ้ารับปากข้าแล้วว่าจะให้พวกเขาสู้กันอย่างยุติธรรม เหตุให้ถึงให้ปู้เหล่าหลินไปลอบฆ่าเขา?”
จมูกชายชราเตี้ยผอมที่พูดเป็นสีแดง แต่มันมิได้เกี่ยวข้องกับความหนาวเย็น อาจเป็นเพราะความโกรธ
เขาก็คือผู้หลบหนีกระบี่ที่มีชื่อเสียงผู้นั้น ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอิน
หลังออกมาจากใต้ดินที่มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน คนที่เขาพูดคุยด้วยก็มีอยู่เพียงคนเดียว
อินซานกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานของเจ้าคนนั้นจะฝีมือดีขนาดนี้ ก็เลยเพิ่มอะไรลงไปอีกนิดหน่อย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อปู้เหล่าหลินเชื่อฟังเจ้าขนาดนั้น เหตุใดตอนนั้นถึงยังต้องฆ่าเว่ยเฉิงจึให้ตาย?”
“น้ำยิ่งขุ่นยิ่งดี ขอเพียงบรรลุเป้าหมายได้ก็พอ”
อินซานกล่าว “เสี่ยวล่าเยวี่ยเป็นศิษย์ชิงซาน ต้องให้ขยะจากสำนักจงโจวมาเป็นคนฆ่าตั้งแต่เมื่อไร?”
ปรมาจารย์ของสำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เจ้ากับปู้เหล่าหลินมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?”
อินซานกล่าว “เอาไว้ถึงวันที่ปู้เหล่าหลินล่มสลาย ข้าจะบอกเจ้าแน่นอน”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวถามว่า “เจ้าอยากทำลายปู้เหล่าหลิน?”
อินซานส่ายศีรษะ กล่าวว่า “มิใช่ข้า หากแต่เป็นเด็กพวกนั้นที่อยากทำเรื่องนี้”
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยพวกเขา?”
อินซานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “หากศิษย์น้องข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มันไร้ความหมายอย่างแน่นอน แต่ว่าข้าชอบนี่นา”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็ยกขลุ่ยกระดูกในมือขึ้นมา
เสียงขลุ่ยดังเป็นท่วงทำนอง จามรีมุ่งหน้าไปในทุ่งรกร้าง
……
……
เต๋อเซ่อเซ่อจากไปแล้ว
ค่ำคืนค่อยๆ มาเยือน
ความครึกครื้นจากงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของชิงซานยังไม่จางหายไปจนหมด
เมื่อยืนอยู่ริมผา จะสามารถได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสาวน้อยที่ดังมาจากยอดเขาฝั่งตรงข้าม
ในอดีตเขารู้สึกว่ายอดเขาชิงหรงอยู่ใกล้เกินไป
ไป๋กุ่ยและจักจั่นเหมันต์นอนหลับอยู่ในถ้ำ
จิ๋งจิ่วมิได้นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เหมือนอย่างทุกที หากแต่มายืนอยู่ริมผา
เขามองดูหมู่ยอดเขาชิงซานที่อยู่ภายใต้แสงดาว มิรู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากในถ้ำ มายืนอยู่ข้างกายเขา
“ข้าคือคนที่เหมาะจะเป็นนักฆ่าที่สุดบนโลก”
จิ๋งจิ่วกล่าว
คำพูดประโยคนี้มาอย่างกะทันหัน
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงภาพที่ทั้งสองคนสังหารจั่วอี้บนยอดเขากระบี่เมื่อในอดีต ในใจครุ่นคิดเป็นจริงดั่งว่า
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อไปว่า “นี่คือความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในตอนที่ข้าไล่สังหารอสูรขาหิมะในที่ราบหิมะคืนนั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เจ้าอยากจะบอกว่าเจ้าควรจะแสดงบทบาทนั้นแทนหลิ่วสือซุ่ย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่มีทางทำ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เพราะว่าขี้เกียจ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพราะการทำเรื่องเหล่านั้นมันไม่มีความหมายใดๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “หมายความว่าอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ขอเพียงเจ้ามีอายุยืนยาวมากพอ เจ้าก็จะพบว่าเรื่องราวบนโลกมันเป็นแค่เพียงการซ้ำไปซ้ำมาอันน่าเบื่อ ไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงมาก่อน”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขา จากนั้นชี้ไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ยอดเขาเหลี่ยงว่างและยอดเขาเสินม่อต่างก็มีทางขึ้นเขาเพียงเส้นเดียวเหมือนกัน
สองข้างทางของทางขึ้นเขา ทุกๆ ระยะสิบจ้างจะมีตะเกียงที่ลุกไหม้ตลอดทั้งวันทั้งคืนตั้งอยู่ดวงหนึ่ง เมื่อมองจากที่ไกลๆ จะคล้ายเป็นเส้นแสงสองเส้นที่ขนานไปด้วยกัน คดเคี้ยวขึ้นไปตามภูเขาจนกระทั่งขึ้นไปถึงยอดเขา
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวว่า “ถนนพอขึ้นไปถึงยอดเขาก็สิ้นสุด ทำได้เพียงลงมาใหม่อีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา”
……
……
คืนนี้ยอดเขาเหลี่ยงว่างส่องสว่าง เนื่องเพราะต้องการให้ศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่จากงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อวานนี้ได้เห็นสภาพภูเขาที่อันตรายในยามค่ำคืน
ตามธรรมเนียมแล้ว ในเวลานี้เหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่าง รวมไปถึงกั้วหนานซาน กู้หานและเจี่ยนหรูอวิ๋นจะมากล่าวสั่งสอนศิษย์ใหม่ แต่วันนี้กลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
เพราะโหยวซือลั่วที่เป็นศิษย์อันดับสองของยอดเขาเหลี่ยงว่างออกมาจากการเก็บตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถามคำถามที่ยากจะตอบได้คำถามหนึ่ง
“เจ้าหลิ่วสือซุ่ยนั่น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สายตาเขากวาดมองไปบนใบหน้าของศิษย์พี่ศิษย์น้อง
ไม่มีใครตอบคำถามเขา กู้หานดูลังเล
กั้วหนานซานตบบ่าเขา กล่าวว่า “เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟังเอง”
…………………………..