มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 37 เขาคือใคร
“เจ้าน่าจะจำงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนั้นได้”
กั้วหนานซานมองโหยวซือลั่วพลางกล่าว “พวกเราศิษย์หนุ่มสาวนั่งอยู่ริมทะเลสาบดารา ล้อมรอบกองไฟพูดคุยกันทั้งคืน
โหยวซือลั่วคิดถึงค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุราและอุดมการณ์ บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏ จากนั้นเมื่อคิดถึงว่าสหายลั่วไหวหนานได้ตายไปแล้ว รอยยิ้มพลันหายไป
งานประลองวิถีพรตในครั้งนั้นเป็นไปอย่างดุเดือด สู้กันจนถึงช่วงสุดท้ายกว่าจะตัดสินแพ้ชนะได้
สำนักชิงซาน สำนักจงโจว สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย สำนักต้าเจ๋อ เหล่าศิษย์หนุ่มสาวของสำนักต่างๆ นั่งพักผ่อนอยู่ริมทะเลสาบ
ตอนนั้นมิรู้ใครย่างแพะขึ้นมาตัวหนึ่ง และเอาไหสุราออกมาไหหนึ่ง
ไหสุราไหนั้นเป็นของวิเศษ สุราในไหไม่ว่าดื่มอย่างไรก็ไม่มีวันหมด
อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้า และอาจเป็นเพราะมิตรภาพที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ การแบ่งแยกและความเป็นปรปักษ์ระหว่างสำนักได้ถูกพวกเขาลืมเลือนไป
พวกเขาเริ่มกินเนื้อ เริ่มดื่มสุรา ไม่มีการโคจรปราณก่อกำเนิด ดังนั้นเพียงไม่นานก็เริ่มเมามาย กล่าวคำพูดบางอย่างที่จริงใจออกมา
นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา พวกเขาเหล่าศิษย์หนุ่มสาวก็มีอุดมการณ์ร่วมกัน นั่นก็คือการนำโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดต่อสู้เพื่ออนาคตที่สดใสกว่าเดิม
เพื่ออุดมการณ์อันนี้ พวกเขาบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก แสวงหาแนวร่วมมากขึ้น จนกระทั่งตอนนี้มีสมาชิกเยอะขึ้นเรื่อยๆ
โหยวซือลั่วกล่าวทอดถอนใจว่า “คิดไม่ถึงว่าตอนที่ข้าเก็บตัวบำเพ็ญพรต พวกเจ้าจะทำเรื่องมากมายขนาดนี้”
กั้วหนานซานกล่าว “ภัยคุกคามที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือแคว้นเสวี่ย ต่อให้ภายในร้อยปีจะเงียบสงบเหมือนอย่างที่ท่านเทพดาบคาดการณ์เอาไว้ แต่หลังจากร้อยปีไปแล้วล่ะ?”
หากเป็นคนธรรมดา พวกเขาย่อมไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดว่าโลกหลังจากนี้อีกร้อยปีจะเป็นอย่างไร ต่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ก็ตาม
แต่ผู้บำเพ็ญพรตทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะพวกเขามีเวลาอยู่บนโลกนี้ยาวนานกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็นหนุ่มเป็นสาว อารมณ์เร่าร้อน เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ในใจเต็มไปด้วยอุดมการณ์
โหยวซือลั่วกล่าวว่า “ตอนนั้นสหายไป๋เจ่าเคยบอกว่าถ้าอยากจะเอาชนะภัยคุกคามจากภายนอก เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จำเป็นต้องจัดการปัญหาภายในให้ได้เสียก่อน”
“ถูกต้อง พรรคมารอ่อนแอ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวของมนุษย์ก็คือปู้เหล่าหลิน”
กั้วหนานซานกล่าว “เมื่อหลายสิบปีก่อนเสินหวงทรงต้องการบุกเข้าไปกวาดล้างภูเขาเหลิ่งซาน ภายในราชสำนักเกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ติ้งกั๋วกงที่เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญถูกนักฆ่าของปู้เหล่าหลินฆ่าตายบนถนนในเมืองเจาเกอ นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์หลายสิบปีที่ผ่านมา”
โหยวซือลั่วกล่าวว่า “คิดอยากจะกำจัดปู้เหล่าหลินนั้นยากลำบาก มิเช่นนั้นเหล่าอาจารย์คงทำไปนานแล้ว”
กั้วหนานซานกล่าว “ถูกต้อง เพราะปู้เหล่าหลินมิใช่สำนัก ยากที่จะหาศูนย์กลางของพวกมันพบได้ เผลอๆ ปู้เหล่าหลินอาจจะไม่มีศูนย์กลางอยู่ด้วยซ้ำ เพราะองค์กรนักฆ่าไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนี้ ถ้าอยากจะกำจัดปู้เหล่าหลินให้สิ้นซาก พวกเราก็จำเป็นต้องรู้รายชื่อสมาชิกภายในทั้งหมด จากนั้นก็กำจัดทิ้งให้หมดรวดเดียว มิเช่นนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน”
ปู้เหล่าหลินลึกลับเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างรู้ว่าปู้เหล่าหลินจะต้องแอบซ่อนคนจำนวนมากเอาไว้ในสำนักต่างๆ อย่างแน่นอน อย่างเช่นเว่ยเฉิงจึที่เป็นผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนนั้น
ปัญหาอยู่ที่ว่า ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านั้นคือใคร
โหยวซือลั่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ต้องมีสายอยู่ข้างใน”
กั้วหนานซานมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “ถูกต้อง พวกเราเลยเลือกหลิ่วสือซุ่ย”
โหยวซือลั่วกล่าวถาม “ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเจ้าส่งเขาเข้าไปในปู้เหล่าหลินได้อย่างไร?”
“ก่อนหน้านี้พวกเรารู้ถึงเบาะแสบางอย่าง มีบางคนน่าสงสัย” เจี่ยนหรูอวิ๋นก้าวออกมา แล้วเริ่มเล่ารายละเอียดของเรื่องนั้น “ตอนที่ไปกำจัดปีศาจยังแม่น้ำจั๋ว พวกเราก็พบปัญหาอย่างหนึ่ง ตานปีศาจในร่างของกุ่ยมู่หลิงตัวนั้นมีอาคมที่ปิดบังกลิ่นพลังของตานปีศาจเอาไว้ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตที่อายุน้อยแล้วถือเป็นความเย้ายวนที่รุนแรงอย่างมาก หลังปรึกษาหารือกันแล้ว ในคืนนั้นพวกเราก็ได้ยืนยันแผนการนี้ ให้หลิ่วสือซุ่ยกินตานปีศาจนั้นเข้าไป”
โหยวซือลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “แผนการนี้ใครเป็นคนคิด?”
หม่าหวาที่นั่งอยู่ในมุมมืดยกมือขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าอันเย็นยะเยือกของศิษย์พี่สอง เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร รีบกล่าวอธิบายว่า “สหายถงเหยียนเสนอแผนการเอาไว้ล่วงหน้ายี่สิบเจ็ดแผน สถานการณ์ในตอนนั้นมันประจวบเหมาะพอดี ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วสือซุ่ยเป็นคนเสนอตัวที่จะทำเรื่องนี้เอง พวกเรามิได้บังคับเขาเลย”
กั้วหนานซานพยักหน้า จากนั้นพูดต่อว่า “เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นไปตามที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้ ศิษย์น้องหลิ่วถูกตัดเส้นลมปราณ หลังถูกขับออกจากสำนักได้ไม่ถึงปีก็ถูกคนของปู้เหล่าหลินพาตัวไป ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น เชื่อว่าผ่านไปอีกยี่สิบปี เขาจะต้องได้สัมผัสกับรายชื่อที่สำคัญที่สุดอย่างแน่นอน”
โหยวซือลั่วขมวดคิ้วกล่าวว่า “อย่างนั้นทำไมภายหลังถึงเกิดเรื่องนั้นขึ้นได้?”
“พวกเราเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดศิษย์น้องหลิ่วถึงได้ไปเข้ากับปู้เหล่าหลินจริงๆ และทำเรื่องที่ชั่วช้าแบบนี้ออกมาได้”
กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง ต่อไปข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง”
……
……
ในส่วนลึกของลานเมฆ บนหน้าผาที่หันหน้าเข้าหาทะเลแห่งหนึ่ง ที่นี่ไม่มีทางถูกใครมองเห็น
หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่บนหน้าผา มองดูท้องทะเลที่อยู่ภายใต้แสงดาว สีหน้าเรียบเฉย
เขาได้ยินชื่อปู้เหล่าหลินครั้งแรกคือตอนที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยน
ในเวลานั้นเขาเพิ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก จิ๋งจิ่วยังคงนอนขี้เกียจอยู่ที่ศาลาหนานซงอีกปีหนึ่ง
ศิษย์พี่กู้หานให้ความสำคัญกับเขา เล่าเรื่องราวต่างๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตให้เขาฟังมากมาย อีกทั้งความทุกข์ยากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยประสบมาในประวัติศาสตร์
ในเหตุการณ์อันมืดมนเหล่านั้น มีหลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปู้เหล่าหลิน
ขุนนางในราชสำนักต้องถูกสังหารเพราะอำนาจ ผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะต้องถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมเพื่อล้างแค้น พ่อค้าต้องตายโดยไม่รู้เรื่องราวเพราะเงินทอง
ในเรื่องราวเหล่านี้ มีคนธรรมดาจำนวนมากต้องตายอย่างน่าเศร้าใจ
ปู้เหล่าหลินอาจจะเป็นพันธมิตรกับมารชั่วเผ่าหมิงได้ด้วย
เดิมที่เรื่องแบบนี้มันไม่ควรมีอยู่
แต่ในเวลานี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว เช่นนั้นมันก็ควรถูกทำลาย
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนที่รักทุกชีวิตและโลกใบนี้ควรจะทำ
ยอดเขาเหลี่ยงว่างเลือกเขาไปยังปู้เหล่าหลิน เป็นเพราะพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเขาสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งจะเข้าสำนักมาไม่นาน เป็นเหมือนดั่งกระดาษขาว ง่ายต่อการได้รับความเชื่อใจจากอีกฝ่าย
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจ ที่มากกว่านั้นก็คือความรู้สึกรับผิดชอบ
หลังสือตานปีศาจเม็ดนั้นที่ใต้แม่น้ำจั๋ว เขาก็เริ่มเป็นไข้ ทำให้เกิดความสงสัยมากมาย
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ถูกทำร้ายจิตใจนับครั้งไม่ถ้วน ถูกไป๋หรูจิ้งผู้เป็นอาจารย์ทอดทิ้ง ถูกเพื่อนร่วมสำนักสงสัย ถูกกล่าวโทษ ถูกยอดเขาซั่งเต๋อทำโทษ
ในสามปีนั้น เขาใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาเทียนกวงเหมือนผีตัวหนึ่ง แต่เขามิได้เจ็บปวด เพราะในใจของเขารู้สึกสงบเป็นอย่างมาก
เขาเพียงแต่รู้สึกผิดต่อจิ๋งจิ่ว
ในงานทดสอบกระบี่ของชิงซานวันนี้ จิ๋งจิ่วโจมตีหม่าหวาและกู้หานจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งหักกระบี่ของศิษย์พี่หนานซาน เห็นได้ชัดว่าเพื่อระบายความโกรธให้เขา
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เขาจะรู้สึกเศร้าใจ แล้วก็รู้สึกดีใจ จนกระทั่งในตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่
ท้องทะเลที่ส่องประกายสีเงินมีเสียงคลื่นดังซัดสาด
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิ่วสือซุ่ยค่อยๆ หายไป
เดิมเขาเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีในการได้รับความไว้วางใจ
แต่การตายของลั่วไหวหนานได้มาเร่งเวลาตรงนี้
สถานะในปู้เหล่าหลินของเขาถูกยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ระดับชั้นของข้อมูลที่ได้สัมผัสก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เขาเริ่มเผชิญหน้ากับการเลือก
เลือกว่าจะทนต่อไปอีกสักหลายปี เก็บข้อมูลให้เยอะกว่านี้ อย่างเช่นหลักฐานว่าปู้เหล่าหลินจับมือกับเผ่าหมิง หรือว่าจะหนีไปจากที่นี่ก่อนที่จะถูกสงสัย?
ในคืนนี้เขาได้ทำการตัดสินใจออกมาแล้ว เขาเลือกอย่างแรก เพราะยังมีเรื่องที่สำคัญอีกมากที่เขายังไม่เข้าใจ
เทพกระบี่ซีไห่รู้เรื่องปู้เหล่าหลินหรือไม่? ซีหวังซุนเป็นใครกันแน่?
ว่ากันว่าซีหวังซุนและเทพกระบี่ซีไห่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ทั้งคำพูดที่ซีหวังซุนกล่าวในบางครั้ง ทั้งสถานะและอำนาจของเขาในสำนักกระบี่ซีไห่ก็คล้ายจะพิสูจน์ให้เห็นในจุดนี้
ปัญหาอยู่ที่ว่าซีหวังซุนเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ มิใช่ว่าอยู่ที่สำนักกระบี่ซีไห่มาตลอด
กุ่ยมู่หลิงในแม่น้ำจั๋วเป็นฝีมือของซีหวังซุน กับดักคล้ายๆ กันยังมีอีกมาก เขาสามารถควบคุมปีศาจจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร?
ปีศาจในตำนานที่น่ากลัวเหล่านั้นล้วนแต่เป็นหายนะที่เผ่าหมิงส่งเข้ามายังแผ่นดินเฉาเทียนผ่านทางน้ำวนยักษ์
หรือว่าความเป็นมาของซีหวังซุนจะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนหมิง?
เหตุใดเขาถึงเชื่อใจตนเองขนาดนี้
หลิ่วสือซุ่ยมองดูท้องทะเลที่อยู่ภายใต้แสงดาว ร่างกายค่อยๆ รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น
หลายปีมานี้เขามักจะรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ คอยจับตาดูแต่ละก้าวที่ตนเองเดินอย่างเงียบๆ
เจ้าคือใคร?
……………………………….