มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 4 ฝนฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเมืองเจาเกออีกครั้ง
การฝึกเคล็ดกระบี่เก้ามรณาเข้าสู่ขั้นคเนจร หากมีหญ้าสามพิสุทธิ์ก็จะช่วยให้การบรรลุสภาวะได้ราบรื่นยิ่งขึ้น จิ๋งจิ่วย่อมต้องทราบในเรื่องนี้ดี แล้วเขาจะไม่เตรียมพร้อมได้อย่างไร?
กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าบนยอดเขาเสินม่อมีของดีของล้ำค่าแอบซ่อนเอาไว้มากเท่าไร
เพียงแต่ในเมื่อนางมีหญ้าสามพิสุทธิ์แล้ว เหตุใดยังต้องตามหามันอีก? หรือว่าเตรียมเอาไว้ให้กู้ชิง?
เวลายามเช้า เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่เข้ามาในห้อง ดวงตาเขาค่อนข้างแดง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่บนร่างกายกลับสะอาดสะอ้าน มุมขมับเปียกชื้นเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นแปลกใดๆ
ว่ากันว่าอาจารย์เซียนแห่งชิงซานชื่นชอบความสะอาด เขากังวลว่ากลิ่นคนธรรมดาของตนจะทำให้อาจารย์เซียนไม่พอใจ จึงตั้งใจอาบน้ำไปสองสามรอบ กระทั่งผงหอมก็มิได้ใช้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เขาหารู้ไม่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าล่าเยวี่ย เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย
นางไม่แม้กระทั่งเหลือบมองเขาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าวว่า “น่าจะมีหลายคนรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ในใจพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
ถึงแม้เหล่าปราชญ์และผู้ดูแลที่อยู่ในตึกจะจงรักภักดีและเชื่อฟังคำสั่ง แต่การเคลื่อนไหวของเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน มีใครบ้างจะไม่สนใจ ใครจะกล้ารับประกันได้ว่าจะไม่มีข้อมูลใดๆ เล็ดลอดออกไป
เจ้าล่าเยวี่ยเอากล่องส่งให้เขา กล่าวว่า “ในนี้มีหญ้าสามพิสุทธิ์อยู่กอหนึ่ง”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ตะลึงลาน ในใจครุ่นคิดว่านี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าต้องการให้หามันเจอที่ไหน เจ้าก็ทำให้มันไปปรากฏอยู่ตรงนั้น ทำได้ไหม?”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่จ้องมองพื้นที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาไม่กล้าหลุกหลิก แต่ในใจกลับครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
เขาไม่เข้าใจเจตนาของการร้องขอแปลกๆ นี้ แต่เขาก็ยังพูดออกไปอย่างไม่ลังเลว่า “ได้ขอรับ”
กู้ชิงพาเขาออกมาส่งนอกห้อง เขาโค้งคำนับ กระทั่งเอ่ยปากก็มิกล้า
“ข้าเห็นด้านนอกกำแพงและนอกหน้าต่างของเรือนเป่าซู่ล้วนแต่มีข่ายพลังป้องกันอยู่”
กู้ชิงกล่าว “ใช้สำหรับทำอะไร?”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่กล่าว “หลักๆ แล้วใช้กันเสียงและข้อมูลขอรับ”
กู้ชิงกล่าว “หากไปถูกมันเข้าจะมีเสียงเตือนหรือไม่?”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ไม่กล้าคาดเดาเจตนาของคำถามเหล่านี้ กล่าวว่า “มีขอรับ”
กู้ชิงถามอีกว่า “เรือนเจินชี่และเรือนไว่ไจก็ใช้ข่ายพลังแบบเดียวกันใช่ไหม”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่กล่าว “หลักๆ แล้วใช้ปิดกั้นไอพลังของวัตถุวิเศษ มิได้ใช้ทำอะไรอย่างอื่น ดังนั้นข่ายพลังที่พวกเราใช้จึงเป็นข่ายพลังแบบเดียวกัน ทางต้าเจ๋อเป็นคนตั้งข่ายพลังให้ขอรับ”
กู้ชิงนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าจะทำลายข่ายพลังนี้ลงได้อย่างไรโดยไม่ให้มีเสียงเตือน”
เจ้าแห่งเรือนเป่าซู่ยังคงไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เหงื่อได้แตกเต็มหลังของเขาทันที เสียงเองก็วิตกกังวลขึ้นมา กล่าวว่า “ทราบแน่นอนขอรับ”
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงขี่กระบี่ขึ้นไปทางเหนือ เมื่อมองเห็นเมืองใหญ่ตรงขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เมืองนั้นก็บินลงไปที่พื้น
นั่นคือเมืองเจาเกอ
ที่พวกเขาบินลงมาบนพื้น มิใช่เป็นเพราะแสดงความเคารพต่อราชสำนัก แล้วก็มิใช่เพราะกลัวว่ากรมชิงเทียนจะเข้าใจผิด หากแต่เป็นเพราะพวกเขามิได้คิดที่จะไปยังเรือนซีซาน
นอกเมืองเจาเกอมีคฤหาสน์อยู่หลังหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช้เงินทองไปมากมายเท่าไรถึงสร้างบ้านที่งดงามราวกับดินแดนแห่งเซียนออกมาได้ ซึ่งนี่ก็คือเรือนอีกหลังหนึ่งของตระกูลเจ้า
ในเรือนตระกูลเจ้ามีทะเลสาบ ในทะเลสาบมีเรืออยู่ลำหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่ที่หัวเรือ มองดูก้อนเมฆที่น่าสงสารสองสามก้อนในท้องฟ้าสีคราม นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
เมื่อสามปีก่อน นางและจิ๋งจิ่วเคยนั่งสนทนาอยู่บนเรือล้ำนี้
จากนั้นจิ๋งจิ่วมีธุระต้องจากไป ตามที่นางคาดการณ์ไว้ เขาน่าจะไปเขาหลีซาน
จากนั้นมั่วซีจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยปรากฏกาย นัดหมายนางไปเจอที่หุบเขาหมิงชุ่ยแทนกั้วตง ถึงได้เกิดการลอบสังหารครั้งนั้นขึ้น
เพราะการลอบสังหารครั้งนั้น นางจึงไม่สามารถเข้าร่วมการประลองวิถีพรตได้ เพราะคำพูดบนเรือนั้น จิ๋งจิ่วจึงเข้าร่วมการประลองวิถีพรตแทนนาง จากนั้นก็ไม่กลับมาอีก
เรือลำนี้ ตอนนั้นน่าจะจมไปซะ
กู้ชิงนั่งทำสมาธิอยู่บนพื้นหญ้าริมทะเลสาบ
ในเรือนตระกูลเจ้าไม่มีคน
กระทั่งคนใช้ก็ไม่มี
เงียบสงัดเป็นยิ่งนัก
กระทั่งท้องฟ้ายามเย็นมาเยือน เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงจึงลุกขึ้นจากไป ก่อนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนจะมาถึง พวกนางได้เข้าไปยังเมืองเจาเกอ
ด้านนอกประตูเมืองฟ้ายังคงสว่างอยู่ หลังเดินผ่านอุโมงค์ประตูเมืองที่ยาวและเงียบสงัดมา ก็มีฝนหยดลงมาบนใบหน้า เจ้าล่าเยวี่ยจึงคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ
ท่ามกลางฝนที่ตกเปาะแปะๆ ลงมา พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าตรอกแห่งหนึ่ง
ที่นี่สามารถมองเห็นชายหลังคาสีดำของวัดไท่ฉางที่อยู่ไกลออกไป ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนและฝนที่ตกลงมายิ่งทำให้มันดูคล้ายเขาของมังกร
เจ้าล่าเยวี่ยเดินขึ้นไปบนบันไดหิน ก่อนจะกดอิฐก้อนหนึ่งที่อยู่บนกำแพงเข้าไป
นางรู้ว่าในที่ที่ตนเองมองไม่เห็น หินทรงกลมที่ผิวเรียบลื่นก้อนหนึ่งเริ่มกลิ้งหมุนไป จากนั้นก็จะไปทับถูกชามกระเบื้อง หรือไม่ก็กระถางที่ล้ำค่าจนแตก
ตอนที่นางได้ยินจิ๋งจิ่วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง นางไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ใช้ข่ายพลัง? ถ้าเพียงแค่ฟังเสียง เหตุใดถึงต้องใช้ภาชนะเก่าแก่ที่ล้ำค่าขนาดนั้น
ภายหลังนางถึงได้เข้าใน กลไกลยิ่งเรียบง่ายก็ยิ่งน่าเชื่อถือ ส่วนของที่ยิ่งล้ำค่า เมื่อถูกทำลายก็ยิ่งถูกให้ความสำคัญ
ประตูบ้านเปิดออก นางและกู้ชิงเดินเข้าไป
อีกด้านหนึ่งของสวน นางพยักหน้าเคารพคนในครอบครัวนั้นที่อยู่ในเรือนด้านนอก ก่อนจะเดินตามระเบียงทางเดินเข้าไปถึงห้องด้านใน
ภายในห้องไม่มีเก้าอี้ไม้ไผ่ บนชั้นวางของมีจานฝนหมึกสองสามแบบวางอยู่ บนโต๊ะมีกระดานหมากล้อมวางอยู่ชุดหนึ่ง
กู้ชิงมองดู มั่นใจว่านั่นเป็นหมากที่เล่นกันบนเขาฉีผานกระดานนั้น
ลู่กั๋วกงเดินออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง ก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ข้ารู้จักกับพ่อเจ้ามาหลายปี ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาพบกับลูกสาวของเขาด้วยสถานะนี้”
กู้ชิงค่อนข้างตกใจ มิได้กล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “เขาบอกว่าถ้ามีเรื่อง ให้มาหาท่านได้”
ลู่กั๋วกงกล่าวว่า “เชิญว่ามา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าอยากจะเข้าวัง”
“เข้าเฝ้าฝ่าบาท?”
ลู่กั๋วกงคิดในใจ ด้วยสถานะของเจ้าในตอนนี้ ถือได้ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว แต่ในเมื่อให้ตนเองจัดการ เห็นทีคงต้องการเข้าเฝ้าอย่างลับๆ?
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “พระสนม รบกวนจัดการให้ด้วย”
ลู่กั๋วกงมองดูนางเหมือนกำลังคิดอะไร กล่าวว่า “ได้”
……
……
ตอนนี้เมื่อพูดถึงพระสนมในวัง ก็ย่อมต้องหมายถึงพระสนมหู
ทุกคนต่างทราบในเรื่องนี้
บุตรชายผู้สืบทอดของลู่กั๋วกงคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังภายในสามปีนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์ของพระสนมหู จึงเหม่อลอยเล็กน้อย
“เหตุใดนางต้องการพบพระสนมหูนั้นไม่สำคัญ”
ลู่กั๋วกงยื่นนิ้วเคาะไปเบาๆ บนโต๊ะ ทำให้บุตรชายได้สติขึ้นมา พลางกล่าวว่า “การปรากฏตัวของนางในวันนี้ ข้อมูลที่สำคัญที่สุดคืออะไร?”
บุตรชายตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “คนที่เรือนกั๋วกงของพวกเรารับใช้มาโดยตลอดก็คือยอดเขาเสินม่อ?”
ลู่กั๋วกงกล่าว “ถูกต้อง”
บุตรชายตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “หรือว่าคนที่ทำสัญญากับท่านปู่ในตอนนั้นก็คือ…นักพรตจิ่งหยาง?”
ลู่กั๋วกงกล่าว “นอกจากนี้แล้วก็ไม่อาจมีคำอธิบายอื่นอีก เจ้าคิดยังไง?”
บุตรชายหัวร่อพลางกล่าว “ยังจะคิดอะไรได้อีกล่ะท่านพ่อ? ตอนนี้ลูกรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ถึงขนาดอยากจะออกไปตะโกนดังๆ ว่า —- ตระกูลข้าเยี่ยมที่สุดเลย!”
ลู่กั๋วกงยิ้มพลางส่ายศีรษะ ก่อนกล่าวเตือนว่า “นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนไปแล้ว”
บุตรชายนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ ก่อนจะคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “แล้วจะจัดการอย่างไรขอรับ? ต่อให้ฝ่าบาททรงไว้พระทัยท่านแค่ไหน แต่ก็เป็นไปได้ยากที่จะพาคนเข้าไปในวังโดยไม่มีใครรู้ได้ ตอนนั้นคนที่จิ๋งจิ่วเข้าวังไปพบคือฝ่าบาท สถานการณ์มันไม่เหมือนกันนะขอรับท่านพ่อ”
“ไม่ยาก หลังฝ่าบาททรงรู้ว่านางออกมาจากชิงซาน และอาจจะมายังเมืองเจาเกอ พระองค์ทรงให้ข้า…”
ลู่กั๋วกงคิดถึงบทสนทนาในห้องทรงพระอักษร สีหน้าดูแปลกประหลาดไป ก่อนกล่าวว่า “เตรียมพานางเข้าวัง”
……………………………………………………………