มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 44 สายลมและฝนปรอยที่วัดไท่ฉาง
พื้นที่ส่วนใหญ่ของแผ่นดินเฉาเทียนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุดเมืองไป๋เฉิงก็ผ่านพ้นฤดูหนาวของมันมา
ดอกสาลี่เบ่งบานทั่วทั้งเมือง กั้วตงกลับไปยังวัดเก่าแห่งนั้น
ดาบยักษ์ที่ดูเหมือนคานบ้านยังคงตั้งอยู่นิ่งๆ เช่นนั้น พระพุทธรูปสีทององค์นั้นยังคงยิ้มตาหยี มองดูโลกภายนอกวัดและที่ราบหิมะที่ไกลออกไป
นางเดินเข้าไปตรงหน้าพระพุทธรูปหยิบเอาผลไม้ลูกหนึ่งขึ้นมากัด ก่อนจะกลับไปนั่งบนธรณีประตู มองดูที่ราบหิมะที่ไอหมอกได้สลายหายไปหมดแล้ว พลางถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
“ทุกวันมองดูภาพแบบเดียวกัน ไม่รู้สึกเบื่อหรือ?”
“ข้ายินดีให้โลกน่าเบื่อแบบนี้ต่อไป หลายวันมานี้ที่ต่างๆ บนแผ่นดินมีความเคลื่อนไหวไม่หยุด ดูคึกคัก แต่มันกลับทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”
เสียงทุ้มต่ำและห่างไกลเสียงนั้นดังขึ้นมา ภายในเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกอับจน คล้ายกับระฆังเก่าที่มีชื่อเสียงใบนั้นของวัดกั่วเฉิง
กั้วตงเลิกคิ้ว “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารายชื่อของพวกเขามาจากไหน”
เสียงนั้นถามขึ้นมา “เจ้าคิดว่าครั้งนี้จะจัดการปู้เหล่าหลินได้หมดหรือไม่?”
กั้วตงกระทั่งคิดก็มิได้คิด กล่าวว่า “ไม่มีทางแน่นอน”
เสียงนั้นถามต่อขึ้นมา “แล้วคนนั้นล่ะ?”
กั้วตงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ยาก ต่อให้สุดท้ายเจี้ยนซีไหลถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา เขาก็ไม่มีทางทิ้งจุดอ่อนใดๆ ไว้ ยิ่งไปกว่านั้นฆ่าเขายาก”
เสียงนั้นกล่าวว่า “เจ้าอยากฆ่าเขา?”
กั้วตงโยนผลไม้ในมือทิ้งไป จากนั้นลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ต่อให้ข้าอยากฆ่าเขาก็ไม่ต้องให้เจ้าลงมือ”
……
……
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฝนตกบ่อยครั้ง
ฝนฤดูใบไม้ผลิของเมืองเจาเกอครั้งนี้ตกมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน ดูทีท่าแล้วยังคงจะตกต่อไป
ฝนตกไม่แรง แต่ตกเปาะๆ แปะๆ ค่อนข้างน่ารำคาญ โดยเฉพาะหลังจากพื้นหินที่เรียบลื่นเปียกชื้น ทำให้คนลื่นล้มได้ง่าย
ชายหลังคาสีดำของวัดไท่ฉางดูคล้ายเขามังกรฉางหลงเมื่ออยู่ในสายฝน ราวกับมีดวงตากำลังจ้องมองดูผู้คนที่กำลังหลบฝนอยู่บนถนน มองดูเด็กที่ลื่นล้ม คล้ายว่ากำลังมองดูเรื่องน่าขายหน้าของใครอยู่
ในบ้านที่อยู่ห่างจากวัดไท่ฉางไม่ไกล ตระกูลจิ๋งกำลังกินข้าวกันอยู่
จิ๋งซางกับบิดา และภรรยากำลังหารือกันเรื่องที่ลูกจะเข้าไปเรียนหนังสือในอำเภอ จากนั้นก็พูดเรื่องการแต่งงานของลูก
เด็กที่ตอนนั้นยังเดินเตาะแตะๆ ขอให้จิ๋งจิ่วอุ้มคนนั้น ตอนนี้อายุสิบเอ็ดสิบสองปีแล้ว กำลังก้มหน้ากินข้าว ดูน่ารักน่าชัง
เรือนของกั๋วกงอยู่ไม่ไกลจากเรือนตระกูลจิ๋ง สายฝนตกกระทบที่หน้าต่างเบาๆ ทำให้ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิในสวนดูไม่ชัดเจน
แสงแดดกระจายตัว ทำให้ขวดหรู่เหยาที่อยู่บนชั้นใบนั้นยิ่งดูงดงาม
ลู่กั๋วกงดึงสายตากลับมาจากขวดใบนั้น ก่อนจะมองไปทางลูกชายของตนแล้วกล่าวว่า “หลายวันมานี้อาจจะมีเรื่องบางเรื่องเกิดขึ้น เจ้าอย่าออกไปจากบ้าน”
ลู่หมิงผู้เป็นบุตรชายถามอย่างสงสัย “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
ลู่กั๋วกงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “มีเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง…ปู้เหล่าหลินจะฆ่าข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่หมิงตกใจอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าท่านพ่อได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทเสินหวงเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสามารถเข้าออกวังได้ตามใจชอบ แต่นิสัยเป็นคนเรียบง่าย น้อยครั้งที่จะผิดใจกับผู้อื่น เหตุใดถึงกลายเป็นเป้าหมายของปู้เหล่าหลินไปได้?
อารมณ์ตกตะลึงยังไม่จางหายไป ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความเป็นห่วง เขารู้ดีว่าปู้เหล่าหลินเป็นสถานที่ที่น่ากลัวแค่ไหน ต่อให้ท่านพ่อมีตำแหน่งและอำนาจ ไปไหนมาไหนมียอดฝีมือคอยคุุ้มกัน แต่จะป้องกันไปตลอดชีวิตได้อย่างไร?
“จริงอยู่ที่น้อยครั้งที่ปู้เหล่าหลินจะลงมือพลาด แต่ในเมื่อรู้ล่วงหน้า ก็ย่อมไม่ต้องกังวล”
ลู่กั๋วกงมองดูสีหน้าบุตรชายก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้อีกไม่นานก็น่าจะจบลง ไม่มีทางยึดเยื้อนานแน่”
ลู่หมิงไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย พลางกล่าวถามว่า “เหตุใดปู้เหล่าหลินถึงต้องการสังหารท่าน?”
ลู่กั๋วกงกล่าว “ดูแล้วน่าจะไม่ได้เป็นเพราะว่ามีคนคิดจะซื้อชีวิตข้า เช่นนั้นก็ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของข้า”
ลู่หมิงยิ่งไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าท่านพ่อเป็นเสนาบดีแห่งวัดไท่ฉาง ตำแหน่งนี้ไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มนักฆ่าอย่างปู้เหล่าหลินได้อย่างไร?
……
……
ฟ้ายังไม่ทันสาง ลู่กั๋วกงก็ลุกขึ้นจากเตียง เขาที่ปกติมักจะขอลาบ่อยๆ กลับดูขยันขึ้นมาในช่วงหลายวันนี้ ทุกวันล้วนแต่เข้าวังเพื่อว่าราชการ
ตอนที่ยืนอยู่ในอุโมงค์ประตูเมือง เขาทักทายไถ่ถามขุนนางคนอื่น ดูปกติเป็นอย่างมาก ดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไร พูดอีกอย่างคือขากำลังรออะไรอยู่
ในตอนที่ออกมาจากวัง แสงอาทิตย์ยามเช้าได้มาเยือนแล้ว สายฝนที่ตกลงมาบนถนนถูกส่องสว่างจนเปล่งประกายระยิบระยับ ดูงดงามเป็นยิ่งนัก
ลู่กั๋วกงมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แต่คิ้วกลับขมวดขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงยังไม่ลงมือ?
เมื่อมาถึงหน้าวัดไท่ฉาง ลู่กั่วกงเดินลงสะพาน มองดูชายหลังคาสีดำที่อยู่ในสายฝน ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มๆ พลางส่ายศีรษะ
เหล่าเจ้าหน้าที่เดินเข้ามา เขามองกลับไปด้วยสีหน้าอ่อนโยน จากนั้นเดินเข้าวัดไท่ฉางโดยมีเหล่าลูกน้องล้อมรอบ มาถึงด้านในสุด
ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังแห้งสนิท ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ำที่อยู่บนชุดขุนนางหรือบนขมับก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจออกมาอย่างสบาย ยกถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ข้างมือขึ้นมา
ทุกเช้าเมื่อเขามาถึงที่ว่าการก็จะมีถ้วยน้ำชาวางเตรียมเอาไว้ วางอยู่ข้างมือเขาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ยกขึ้นมาได้สะดวกมากที่สุด
ผ่านมาหลายปีแล้ว เหล่าคนงานที่อยู่ในห้องชายังคงจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม
อย่างเช่นชาซ่านเหมยสีแดงจางๆ ในชามวันนี้ก็เป็นชาที่เขาชอบมากที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนฤดูอื่น เขาก็ย่อมต้องมีชาอื่นที่ชื่นชอบแตกต่างกันไป
อุณภูมิที่อยู่ในถ้วยชาเองก็มีความพิถีพิถัน ไม่ร้อนและไม่เย็น เป็นอุณหภูมิที่เขาชื่นชอบที่สุด
หากเป็นเวลาปกติ ตอนนี้เขาคงจะดื่มชาไปแล้ว แต่วันนี้เขาถือถ้วยชาเอาไว้ แต่กลับไม่ยอมดื่ม คล้ายกำลังเหม่อลอย ไม่รู้กำลังคิดเรื่องใดอยู่
ด้านนอกพลันมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมา แล้วก็มีเสียงอุทานตกใจ
ลู่กั๋วกงยังคงมองดูชาซ่านเหมยที่อยู่ในถ้วย สีหน้าไม่เปลี่ยน
เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้นมา มีหลายคนกำลังมุ่งหน้ามาหาเขา ชายที่แต่งตัวเป็นคนใช้คนหนึ่งถูกผลักล้มลงไปกับพื้น
มีคนกล่าวรายงานว่า “กั๋วกง คนผู้นี้คือคนงานที่อยู่ในห้องชา แซ่โจว เขาเป็นคนใส่พิษลงไปในชาขอรับ”
ลู่กั๋วกงไม่แม้แต่จะเงยขึ้นมา กล่าวถามว่า “ตรวจดูพิษที่เหลือหรือยัง? เป็นพิษอะไร?”
“เจ้านี้มันระวังตัวเป็นอย่างมาก หลังวางยาเสร็จก็โยนห่อยาพิษลงไปในเตาไฟ ข้าห้ามไม่ทันขอรับ อีกประเดี๋ยวต้องตรวจดูพิษจากในน้ำชาขอรับ”
เมื่อดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ตอบผู้นั้นมิใช่คนของวัดไท่ฉาง หากแต่เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียน
ลู่กั๋วกงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอาถ้วยชาวางลงไปบนโต๊ะเบาๆ มองดูคนงานในห้องชาผู้นั้น ดวงตาหรี่เล็กลง
มือสังหารของปู้เหล่าหลินมิใช่ผู้บำเพ็ญพรตที่ถนัดในการลอบสังหาร หากแต่เป็นคนงานทั่วไปที่ทำงานในวัดไท่ฉางมาหลายปี
หากมิเป็นเพราะรู้เรื่องนี้ก่อน บางทีวันนี้เขาคงจะดื่มชาในถ้วยลงไปแล้ว
สำหรับคนอย่างเขา พิษธรรมดาทั่วไปมิได้น่ากลัวอะไรนัก แต่ในเมื่อปู้เหล่าหลินกล้าที่จะวางแผนเช่นนี้ ดูแล้วพิษที่อยู่ในถ้วยจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในเมื่อคนงานที่อยู่ในห้องชาผู้นั้นมิใช่ผู้บำเพ็ญพรต กรมชิงเทียนก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะฆ่าตัวตาย จึงมิได้ใช้กุญแจพลังวิญญาณ เพียงแต่ใช้เชือกมัดมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้เท่านั้น
เขารับรู้ได้ถึงสายตาของกั๋วกง ใบหน้าขาวซีด หวาดกลัวจนถึงขีดสุดจนไม่สามารถคุกเข่าได้ ร่างกายอ่อนเปลี้ยลงไปกับพื้น ตัวสั่นไม่หยุด
ลู่กั๋วกงมองดูสภาพเขาจึงรู้ว่าคนงานผู้นี้น่าจะถูกคนใช้มาหรือบีบบังคับมา ไม่มีทางที่จะรู้รายละเอียดของเรื่องนี้ได้ เผลอๆ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังคือปู้เหล่าหลิน จึงโบกมือบอกให้ลากเขาออกไป
ภายในบริเวณนั้นค่อนข้างวุ่นวาย ใต้ระเบียงทางเดือนล้วนเต็มไปด้วยคน ปกเสื้อที่ถูกฝนสาดใส่จนเปียกชื้นเสียดสีกัน
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนว่ามีเรื่องจะรายงาน เบียดเสียดกลุ่มคนเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ มาถึงหน้าห้อง
ในขณะที่เขากำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา สายฝนเล็กๆ ทางด้านล่างระเบียงทางเดินพลันปั่นป่วนขึ้นมา
ไม่รู้ว่ามีลมชั่วร้ายพัดมาจากไหนสายหนึ่ง
ลู่กั๋วกงเงยหน้าขึ้นมา
…………………………………..